บทที่ 201 เป็นหัวเรี่ยวหัวแรง

Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว

บทที่ 201 เป็นหัวเรี่ยวหัวแรง

บทที่ 201 เป็นหัวเรี่ยวหัวแรง

ซูโย่วอี๋กำลังจะบอกว่าไม่ต้องรอให้เริ่มกินกันได้เลย แต่จู่ ๆ ก็มีเสียงของฮันเจ๋อหยางดังมาจากด้านหลัง

“มาแล้ว เอินจีก็อยากลองกินฝีมือของสุดยอดเชฟเหมือนกัน”

เหมยเหมยจำฮันเอินจีได้ และเมื่อเห็นว่าซูโย่วอี๋ไม่คัดค้าน เธอจึงพูดว่า “นั่งลงก่อนค่ะ คุณฮัน ฉันจะไปเอาชุดรับประทานอาหารมาให้”

เห็น ๆ อยู่ว่าบนโต๊ะจัดชุดรับประทานอาหารไว้สำหรับสี่ที่ ต้องเอาถ้วยเอาตะเกียบมาเพิ่มทำไมอีก?

แต่ฮันเอินจีไม่ได้ถาม เธอนั่งลงข้าง ๆ ฮันเจ๋อหยางและเริ่มรับประทานอาหาร

อาหารเช้าไม่ได้หลากหลายมาก แต่ครบครันและมีความประณีต มีบะหมี่ไก่ฉีก โจ๊กธัญพืช ฮะเก๋า และเครื่องเคียงอีกหลายอย่าง

เมื่อคิดว่านี่คือเชฟที่ได้ลู่เฉินได้จ้างมาเป็นพิเศษ ฮันเอินจีก็รู้สึกไม่อยากอาหารขึ้นมา

และรู้สึกไม่ค่อยพอใจ

“โห วันนี้อบอุ่นเป็นพิเศษเลยนะ เพราะว่าฮันเอินจีมาถึงที่นี่สินะ”

ในช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง ช่วงเช้าอากาศจะเย็นสบาย สวีโหมวสวมเสื้อโคตบาง ๆ และเดินเข้าไปด้วยท่าทีสบาย ๆ

เมื่อฮันเอินจีหันไปมอง ก็พบว่านั่นคือผู้กำกับสวี!

ดวงตาของฮันเอินจีเต็มไปด้วยความประหลาดใจ แต่เธอก็ทักทายเขาโดยไม่ลุกขึ้น “สวัสดีค่ะ ผู้กำกับสวี”

“ปกติพวกคุณมากินข้าวด้วยกันเหรอ”

สวีโหมวมองไปที่อาหารเช้าของวันนี้ มีบะหมี่ไก่ฉีกที่เขาโปรดปราน เขาจึงนั่งลงอย่างพอใจ “เอาล่ะ เริ่มกินกันเถอะ”

เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วคีบอาหารที่อยู่ในชามตรงหน้า พร้อมกับสูดเข้าปากคำโต

เขาไม่มีความสุภาพ มีแต่ความหยาบโลน

บางครั้งเขาก็เงยหน้าขึ้นมาเพื่อพูดคุยสองสามคำ

“เอินจี ช่วงนี้คุณทำอะไรอยู่เหรอ”

“ฉันเพิ่งจบคอร์สการเรียนเต้นเมื่อสองวันก่อน พอดีมีเวลาว่างก็เลยมาที่โม่เป่ย แล้วถือโอกาสมาเที่ยวด้วยค่ะ”

คอร์สที่ฮันเอินจีกล่าวถึงคือเป็นการฝึกเต้นที่ต่างประเทศที่จัดขึ้นปีละครั้ง และระดับความยากนั้นเทียบได้กับการฝึกของผู้ฝึกที่ยังไม่เดบิวต์

สวีโหมวเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าโดยไม่ถามคำถามเพิ่มเติม

“คุณมาที่นี่แล้วก็เที่ยวให้สนุกนะ เจ๋อหยาง คุณต้องการพักผ่อนไหม ผมจะได้เอาฉากของคุณไว้ถ่ายวันพรุ่งนี้”

ฮันเจ๋อหยางที่รักและเป็นห่วงน้องสาวของเขาเสมอ เมื่อเห็นว่าฮันเอินจีมาเยี่ยมเขาถึงที่นี่ เขาก็รู้สึกซึ้งใจมาก “ครับ รบกวนผู้กำกับสวีด้วยนะครับ”

สวีโหมวเช็ดมุมปากของเขาด้วยกระดาษแผ่นหนึ่ง “เที่ยวให้สนุกนะ”

“ค่อย ๆ กินนะ ผมขอตัวไปที่สตูดิโอก่อน”

สวีโหมวกินเสร็จแล้วเดินออกไป บรรยากาศรอบข้างก็ดูอึมครึมลง ฮันเจ๋อหยางต้องการทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองผ่อนคลายลง เขาจึงคีบฮะเก๋าด้วยตะเกียบแล้ววางลงในถ้วยของซูโย่วอี๋ “ทำไมไม่กินล่ะ เธอไม่ชอบเหรอ”

ฮันเอินจีมองไปที่ฮะเก๋าในถ้วยของซูโย่วอี๋ สายตาของเธอก็ชาวาบไปทันที

ซูโย่วอี๋จึงยิ้มฝืน ๆ และกินอย่างเงียบ ๆ

ส่วนฮันเจ๋อหยางหันกลับมามอง เมื่อเห็นว่าน้องสาวของเขามีสีหน้าผิดปกติ เขาจึงรีบคีบฮะเก๋าลงในถ้วยของฮันเอินจีราวกับขอโทษ “เธอก็กินด้วยสิ”

ฮันเอินจีแค่นเสียง เขาเลือกที่จะคีบให้คนอื่นก่อน?

แล้วค่อยนึกถึงเธอเนี่ยนะ

เธอคีบฮะเก๋าออกมาจากถ้วยแล้ววางบนโต๊ะอย่างไม่พอใจ

เหมยเหมยเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าก็กระพริบตาปริบ ๆ และสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น?

ส่วนฮันเจ๋อหยางก็เหงื่อแตกพลั่ก เวลาสาว ๆ โกรธนี่เป็นกันขนาดนี้เลยเหรอ?

เขาทำได้เพียงมองไปที่ซูโย่วอี๋ราวกับกำลังขอความช่วยเหลือ เสมือนมีตัวอักษรขนาดใหญ่เขียนอยู่บนใบหน้าของเขาว่า ‘ช่วยฉันด้วย’

ซูโย่วอี๋จึงหัวเราะออกมาดัง ๆ

ซูโย่วอี๋ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ฮันเจ๋อหยางลำบากใจ เธอจึงวางตะเกียบลง “ฉันอิ่มแล้ว”

เธอกับเหมยเหมยก็เลยเตรียมตัวที่จะออกไป

ฮันเจ๋อหยางตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เขาไม่ได้ต้องการไล่ซูโย่วอี๋ไป จึงรีบยืนขึ้นทันที “ซูโย่วอี๋ เธออยากไปเที่ยวกับเราไหม”

“ไม่ล่ะค่ะ แค่เลื่อนการถ่ายทำฉากของรุ่นพี่ออกไปก็ลำบากมากแล้ว คงไม่ง่ายที่ฉันจะขอให้ผู้กำกับสวีเลื่อนของฉันออกไปด้วย เที่ยวให้สนุกนะคะ”

ที่เธอพูดก็มีเหตุผล ฮันเจ๋อหยางเลยไม่ได้ค้านอะไร

เขารอให้ซูโย่วอี๋ลับสายตาไปจึงกลับไปที่โต๊ะ

ส่วนฮันเอินจีเม้มริมฝีปาก “จะอาลัยอาวรณ์อะไรขนาดนั้น แล้วนี่พี่กลับมาทำไม”

ตาของเธอแทบถลนออกมา

ฮันเจ๋อหยางหัวเราะออกมา

“เอินจี เธอก็อายุเท่ากับซูโย่วอี๋ แต่ทำไมพี่ถึงคิดว่าเธอเหมือนเด็กกันนะ เธอรักษาท่าทางหน่อยสิ อย่าหักหน้าคนอื่นและอย่าทำให้พี่ลำบากใจนัก เข้าใจไหม?”

เมื่อคืนฮันเจ๋อหยางได้แนะนำกับทุกคนแล้วว่าฮันเอินจีเป็นน้องสาวของเขา นี่เป็นความจริงที่เถียงไม่ได้ และเธอไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับใคร

ไม่ใช่ว่าฮันเอินจีไม่เข้าใจความจริงนี้ แต่เธอไม่สามารถเอาชนะความตะขิดตะขวงในใจของเธอได้ต่างหาก

นอกจากนี้ ตั้งแต่เด็ก องค์หญิงตัวน้อยของครอบครัวฮันคนนี้ถูกตามใจมาโดยตลอด และเธอก็เป็นคนที่ยอมใครไม่เป็น

ดังนั้นเธอจึงทำสีหน้าบึ้งตึงและไม่ต้องการคุยกับฮันเจ๋อหยาง

“พี่ ถ้าพี่ไม่อยากอยู่เป็นเพื่อนฉันก็บอกมาตรง ๆ ฉันจะได้ไม่ทำให้งานของพี่ล่าช้า แล้วฉันก็จะกลับไปเดี๋ยวนี้เลย อีกอย่าง นี่ก็ได้เวลาพอดี อีกสองวันพ่อแม่จะกลับมาที่ปักกิ่ง ฉันก็จะได้รีบกลับไปทำความสะอาดด้วย”

เขาถึงกับเอามือก่ายหน้าผาก

ฮันเจ๋อหยางพูดไม่ออก เขาไปขอให้น้องสาวทำความสะอาดตั้งแต่เมื่อไหร่?

“ไป พี่เรียกคนขับรถมาแล้ว เธออยากไปไหนล่ะ”

“ถ้ำหินเสวียนเหมิน!”

เมื่อพูดเรื่องการไปเที่ยว อารามณ์ของฮันเอินจีก็สดใสขึ้นเป็นกอง เธอจับมือฮันเจ๋อหยางด้วยความรักใคร่และดีใจอีกครั้ง พี่ชายของเธอดีที่สุด

อีกด้าน ซูโย่วอี๋นั่งอยู่ในรถของคนดูแล เธอพักสายตาเพื่อพักผ่อน

เหมยเหมยคลุมผ้าห่มบาง ๆ บนร่างกายของเธอเบา ๆ ซูโย่วอี๋ลืมตาขึ้นทันที

“ตื่นแล้วเหรอคะ”

ซูโย่วอี๋ส่ายหัว “ฉันไม่ได้หลับ”

“คุณซู เมื่อเช้าเหมือนคุณฮันจะดูแปลก ๆ ไปนะคะ”

“เขาคงไม่อยากให้ฉันกับฮันเอินจีเข้าใกล้กันมั้ง”

เหมยเหมยมองออกเหมือนกัน แต่เธอก็ต้องการคุยกับซูโย่วอี๋ก่อนเพื่อความมั่นใจ

เนื่องจากฮันเจ๋อหยางขอลา ดังนั้นฉากของซูโย่วอี๋ในวันนี้จึงมีความสำคัญเป็นพิเศษ

ซีนเดิมของการถ่ายทำคือหลังจากที่หลี่จื้อพาอวิ๋นเหมี่ยวกลับไปที่ต้าเซี่ยแล้ว เขาก็เล่าให้ทุกคนทราบถึงสิ่งที่เขาทำในช่วงเวลาที่เขาหายตัวไป

และหารือถึงวิธีการช่วยเหลือฮั่วเสวียน

เพียงแต่ว่าฮันเจ๋อหยางไม่ได้อยู่ด้วย ดังนั้นการถ่ายทำจึงถูกระงับไว้

พูดให้ชัดคือ ไม่สามารถถ่ายทำฉากทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับฮันเจ๋อหยางได้

อวิ๋นเหมี่ยวรอนานแล้วแต่ไม่เห็นฮันเจ๋อหยาง เธอจึงหันมาถามซูโย่วอี๋ “รุ่นพี่ฮันลาเหรอ?”

“ใช่ พอดีน้องสาวเขามาหาน่ะ”

“แบบนี้นี่เอง” อวิ๋นเหมี่ยวพยักหน้าอย่างเข้าใจ “โย่วอี๋ บ่ายวันนี้แฟนของฉันมาที่โม่เป่ยแล้วจะมาที่กองถ่ายนี้ด้วย ฉันอยากเชิญทีมงานไปกินข้าวเย็นด้วยกัน เธอมาได้ใช่ไหม”

แม้ว่าก่อนหน้านี้ซวี่เฟิงแฟนหนุ่มของอวิ๋นเหมี่ยวจะเคยมาที่กองถ่าย แต่ซูโย่วอี๋กำลังถ่ายรูปฟิตติ้งอยู่ในขณะนั้น เธอจึงไม่เคยได้พบเขา

ซูโย่วอี๋เห็นแววตาคาดหวังของอวิ๋นเหมี่ยว และเธอก็ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร “ตกลง ถ้าไม่มีอะไรฉันจะไปนะ”

อวิ๋นเหมี่ยวยิ้ม “น่าจะเป็นหลังถ่ายทำเสร็จนะ เราค่อยไปกินข้าวกัน ถ่ายเสร็จแล้วก็ไม่น่าจะมีอะไรแล้วล่ะ”

สวีโหมวเรียกซูโย่วอี๋โดยใช้โทรโข่ง อวิ๋นเหมี่ยวเองก็มีไหวพริบมาก “ไหน ๆ ซีนของฉันในวันนี้ก็ถ่ายไม่ได้อยู่แล้ว ถ้างั้นฉันก็ขอลากลับไปพักผ่อนดีกว่า”

ทั้งสองเดินไปหาสวีโหมวด้วยกัน

ในขณะที่อวิ๋นเหมี่ยวขอสวีโหมวลา เธอก็ได้ชวนผู้กำกับและคนที่เกี่ยวข้องไปกินอาหารเย็นด้วยกัน

สวีโหมวไม่ได้รับปาก “ต้องดูการถ่ายทำก่อน อีกอย่างรักในฝันจะออกอากาศคืนนี้ คงไม่มีเวลา”

“ไม่เป็นไรค่ะ หรือว่าพวกเราสั่งอาหารมาที่ห้องประชุมเพื่อกินข้าวและดูละครไปด้วยดี”

เพียงเท่านี้ก็เพียงพอที่จะแสดงความจริงใจของอวิ๋นเหมี่ยว

ซึ่งสวีโหมวไม่สามารถปฏิเสธได้อีก “งั้นผมรับปากแทนทีมงานแล้วกัน”

“ค่ะ งั้นเดี๋ยวฉันกลับก่อนนะคะ”

มื้ออาหารนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว สวีโหมวมองไปที่ซูโย่วอี๋ “วันนี้คุณต้องถ่ายทำคนเดียว เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงเลยนะ”