ตอนที่ 109.1 ศิษย์พี่ยิ้ม (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ตามที่ศิษย์ผู้รับผิดชอบการลาดตระเวนของสำนักกล่าวว่า มีผู้บำเพ็ญมาเยี่ยมและบอกว่าพวกเขามาหาใครบางคนจากยอดเขาหยกน้อย

หลี่ฉางโซ่วแผ่พลังสัมผัสเซียนรับรู้ของเขาออกไป และในขณะนั้น ฟางห่าวก็เห็นร่างสองร่างออกมาจากก้อนเมฆนอกประตูสำนัก ดูเหมือนว่า พวกเขาจะฝากอะไรบางอย่างไว้กับเซียนผู้พิทักษ์ประตู

ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็โบกมือและขอให้หลิงเอ๋อร์ไปก่อน ตามกฎของโลกบรรพกาล ผู้อาวุโสจะสั่งให้ผู้น้อยคอยอยู่ในบริเวณรอบๆ เท่านั้น

จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็สำรวจอย่างระมัดระวังเพื่อดูว่ามียุงในยอดเขาหยกน้อยหรือไม่

การปรากฏตัวของยุงย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย

อาจเป็นเพราะเมื่อเร็วๆ นี้ หลี่ฉางโซ่วเหนื่อยเกินไป แต่บัดนี้เขาฟื้นคืนพลังแข็งแรงขึ้นมาอีกครั้ง ในขณะที่รู้สึกกังวลในใจเล็กน้อย…

ในเวลานี้ เขายืนอยู่ข้างทะเลสาบท่ามกลางกลุ่มกบหยกกินวิญญาณ และกวาดพลังสัมผัสเซียนรับรู้ของเขาออกไปเพื่อตรวจสอบส่วนต่างๆ ทั่วภูเขา

ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักถึงบางสิ่งในใจและใช้ทักษะในการสัมผัสสภาพแวดล้อมของเขา

นั่นหมายความอันใดกัน

อันที่จริง นี่เป็นเพียงทักษะการใช้พลังสัมผัสเซียนรับรู้ ซึ่งไม่มีวิธีการฝึกฝนที่เป็นระบบ และผู้บำเพ็ญต้องทำความเข้าใจและคิดได้ด้วยตัวเขาเอง

ด้วยทักษะนั้น เขาสามารถทำลายสิ่งกีดกั้นภายในหนึ่งร้อยลี้ได้เมื่อพบมดที่อยู่ห่างออกไปนับพันลี้

ดังนั้น หลิงเอ๋อร์จึงบินออกไปจากประตู

ยามเมื่อพลังสัมผัสเซียนรับรู้ของหลี่ฉางโซ่วจดจ่ออยู่กับร่างของนาง เขาก็มองเห็นเพียงแต่รูปร่าง ใบหน้า และสีหน้าท่าทางของนางเท่านั้น และแทบจะไม่อาจจดจำช่วงที่เส้นผมของนางพลิ้วปลิวไสวได้

ทว่าบัดนี้มันแตกต่างออกไป ในเวลานี้ พลังสัมผัสเซียนรับรู้ของเขายังสามารถมองเห็นเส้นเลือดบนผิวของนางได้…

ต้องบอกว่า ความจริงแล้ว ผิวพรรณของหลิงเอ๋อร์นั้นดีจริงๆ แม้หลี่ฉางโซ่วได้ใช้พลังสัมผัสเซียนรับรู้ของเขาส่องสังเกตดู ก็ยังไม่พบรอยตำหนิใดๆ ผิวของนางเปล่งปลั่งเรียบเนียนราวกับหยกและดูเปราะบางราวกับจะแตกร้าวได้เพียงเมื่อถูกปลายนิ้วสัมผัส

ด้วยผิวพรรณเปล่งปลั่งสมบูรณ์แบบเช่นนี้…การที่เขาให้สมุนไพรวิญญาณแก่นางเพื่อใช้บำรุงผิวนั้น ไม่ทำให้ผิดหวังเลยจริงๆ

หลี่ฉางโซ่วถอนพลังสัมผัสเซียนรับรู้ของเขากลับมาและกวาดค้นหาส่วนต่างๆ ของยอดเขาหยกน้อยต่อไป และด้วยทักษะในการตรวจจับของเขา จึงทำให้สามารถตรวจสอบได้รวดเร็วและสะดวกยิ่งขึ้น

ยุงอยู่ที่ใดกัน

ก่อนหน้านี้ เขาได้ทำการสังหารหมู่บรรดายุงอย่างครอบคลุมเต็มรูปแบบในยอดเขาหยกน้อยมาก่อนแล้ว ทำให้เวลานี้ไม่มียุงเลยสักตัวเดียว

“ศิษย์พี่เจ้าคะ! ดูสิว่าข้าได้อะไรกลับมา!”

หลิงเอ๋อร์กระโดดลงมาจากก้อนเมฆและร้องตะโกนราวกับว่ากำลังอวดผลงาน

แล้วยันต์หยกชิ้นหนึ่งก็ค่อยๆ หมุนไปบนฝ่ามือของหลิงเอ๋อร์ มันเปล่งแสงระยิบระยับและดูค่อนข้างธรรมดา

“เจ้าตรวจสอบแล้วหรือ”

หลิงเอ๋อร์กล่าวว่า “ข้าตรวจสอบแล้ว มันเป็นเพียงแค่ยันต์หยกสื่อสารผ่านตัวอักษร ไม่มีกฎห้ามใดๆ เจ้าค่ะ”

จากนั้นหลี่ฉางโซ่วคว้ามันขึ้นมาแล้วตรวจสอบอีกสองสามครั้ง

หลิงเอ๋อร์จึงรีบกล่าวว่า “ศิษย์พี่ นี่เป็นของอาจารย์ เราจะเปิดอ่านมันโดยไม่สนใจไม่ได้นะเจ้าคะ”

“ของอาจารย์หรือ”

“เจ้าค่ะ เซียนผู้พิทักษ์ประตูกล่าวว่ามีผู้บำเพ็ญสองคนฝากยันต์หยกนี้เอาไว้ เห็นว่าพวกเขามีเรื่องสำคัญที่ต้องไปจัดการ พวกเขาจึงออกไปก่อน และพวกเขาทั้งสองคนยังถามว่ามีผู้ใดในยอดเขาหยกน้อยอีกหรือไม่ บอกว่าสหายเก่าของท่านอาจารย์ขอให้พวกเขานำยันต์หยกนี้มาที่นี่ พวกเขาอยากให้เราส่งต่อให้ท่านอาจารย์เจ้าค่ะ…”

“หากเจ้าไม่บอกเรื่องนี้ ข้าคงไม่สนใจ” หลี่ฉางโซ่วเลิกคิ้ว และชั่งยันต์หยกในมือ ราวกับว่าเขาต้องการดูกฎห้ามภายในนั้น

เขาไม่กล้าเปิดมันโดยตรง เพราะลือกันว่า มียันต์หยกจำนวนมากถูกสร้างขึ้นมาอย่างหยาบๆ และหลังจากอ่านเนื้อหาแล้ว เนื้อหานั้นจะหายไปด้วยตัวมันเอง แต่หากนี่คือกับดัก และมีอันตรายซ่อนอยู่ในนั้น…

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ท่านอาจารย์จะกลายเป็นเซียนจั๋ว แม้ในอนาคต เขาจะทำงานในศาลสวรรค์ แต่ก็แทบจะไม่อาจคงชีพอยู่ได้หลายหมื่นปี เขาย่อมไม่อาจทนต่อการทรมานเช่นนี้ได้

หลิงเอ๋อร์กระซิบกล่าวว่า “ศิษย์พี่ ท่านอาจารย์มีสหายข้างนอกหรือไม่เจ้าคะ เท่าที่ข้ารู้ ท่านไม่มีนะเจ้าคะ”

หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “ไม่ต้องพูดถึงคนที่อยู่นอกสำนักเลย เพราะแม้แต่ในสำนักก็มีเพียงไม่กี่คนที่รู้จักคุ้นเคยกับท่านอาจารย์ และในช่วงนับพันปีที่ผ่านมา ท่านอาจารย์ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ฝึกฝนอย่างหนักมาตลอด”

หลิงเอ๋อร์พลันถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ท่านอาจารย์เป็นเซียนที่น่าสงสารยิ่ง” และหลี่ฉางโซ่วก็กล่าวเสียงเบาว่า “แผ่นหยกสื่อสารนี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของแผนการผู้อื่น…หลิงเอ๋อร์ เจ้าจำข่าวลือที่เจ้าเล่าให้ข้าฟังเมื่อข้ากลับมาจากการเฝ้าหลุมฝังศพได้หรือไม่”

แล้วทั้งสองศิษย์พี่ศิษย์น้องต่างก็มองหน้ากันและตระหนักถึงปัญหาร้ายแรงได้ในทันที

จากนั้น…ทั้งคู่จึงกลับไปที่กระท่อมมุงจากของหลี่ฉางโซ่วและเปิดค่ายกลขนาดเล็กหลายแห่งก่อนจะรวมตัวและลงมือจัดการ

ชั่วครู่ต่อมาหลังจากนั้น

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ศิษย์พี่ ข้าบอกแล้วเจ้าค่ะ!”

ทันใดนั้น หลิงเอ๋อร์ก็ทรุดตัวลงบนเตียงของศิษย์พี่นางและหัวเราะออกมาดังลั่นจนปิ่นปักผมสีแดงเอียงและเส้นผมของนางก็กระจัดกระจายยุ่งเหยิง

น่าเสียดายที่อาจารย์อาน้อยไม่อยู่ที่นี่ ไม่อย่างนั้น ย่อมจะเป็นภาพที่น่าดูและประทับใจอย่างยิ่งที่ได้เห็นนางหัวเราะอย่างหนักถึงปานนี้

ที่ข้างโต๊ะเตี้ย บัดนี้หลี่ฉางโซ่วเงียบงันและดูเคร่งเครียดขณะจ้องมองไปที่ ‘สารจากครอบครัว’ ที่ปรากฏอยู่บนยันต์หยก และถ้อยคำที่กำลังจะหายไป…

เป็นสารธรรมดาจริงๆ…

นอกจากนี้ ยังเป็นสารจากคนสำคัญที่ลงนามว่า ‘ว่านเจียงอวี่’

หากหลี่ฉางโซ่วจำไม่ผิด เมื่อครั้งที่เขายังเยาว์ ท่านอาจารย์ของเขาเคยเรียกนามนี้ออกมาดังๆ หลังจากเมาสุราแล้ว…น่าจะเป็นท่านอาจารย์ป้าของเขาเองแน่ๆ

หลี่ฉางโซ่วไม่คิดจะอ่านเนื้อหาในสาร และทำได้เพียงเขียนถ้อยคำเหล่านั้นก่อนที่ข้อความจะหายตัวไป

หลี่ฉางโซ่วต้องการใช้ยันต์หยกสื่อสารนี้อีกครั้ง แต่ก็พบว่าพลังวิญญาณภายในนั้นถูกใช้จนหมดลงแล้ว

เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบผ้าผืนหนึ่งออกมาแล้วใช้มือซ้ายจับปากกาจดเนื้อหาลงไป จากนั้นก็ใช้พลังเซียนเพื่อทำให้หมึกแห้งและปลอมสารขึ้นมา

หลังจากนั้นเขาก็ได้วางแผ่นยันต์หยกไว้ข้างๆ ซึ่งบนนั้นยังมีลมปราณของ ‘ว่านเจียงอวี่’ หลงเหลืออยู่เล็กน้อย

“ศิษย์พี่ ในสารเขียนว่าอะไรหรือเจ้าคะ”

หลี่ฉางโซ่วกล่าวตอบว่า “ผู้เขียนบอกท่านอาจารย์ว่านางทำได้ดีในช่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางมีชีวิตที่ดี และบอกว่านางทำผิดในอดีต ในฐานะศิษย์พี่หญิงของท่านอาจารย์ นางไม่อาจปกป้องเขาได้…หยุนหยุน”

หลิงเอ๋อร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย มุมปากของนางกระตุกขณะที่กล่าวกระซิบว่า “ศิษย์พี่ ข้าไม่ชอบอาจารย์ป้าคนนี้เลยจริงๆ เจ้าค่ะ”

“อืม เป็นเวลาแปดถึงเก้าร้อยปีแล้ว ที่นางไม่เคยกลับมา และไม่เคยสนใจติดต่ออาจารย์เลย ข้าก็ไม่ชอบนางเช่นกัน”

หลี่ฉางโซ่วกล่าวช้าลงพร้อมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่หาได้ยาก

“ข้ามักจะเตรียมตัวเองให้พร้อมรับมือกับสิ่งที่เลวร้ายที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมนุษย์หรือเรื่องอื่นๆ ด้วยวิธีนี้เท่านั้น จึงจะสามารถจัดการกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดได้ แต่สำหรับเรื่องนี้ ข้าเพียงหวังในใจว่ามันจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด”

“ศิษย์พี่ แล้วท่านคิดว่ามันน่าจะดีที่สุดอย่างไรหรือเจ้าคะ”

หลิงเอ๋อร์รวบกระโปรงของนางพลางคุกเข่าลงข้างศิษย์พี่ของนางพร้อมด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนขณะตั้งใจฟังเขากล่าวอย่างระมัดระวัง

“ให้ดีที่สุด…ก็คือการที่อาจารย์ป้าผู้นี้ออกไปค้นหาสมบัติเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บและฟื้นฟูรากฐานเต๋าของท่านอาจารย์ได้ แต่เวลาหลายร้อยปีก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วในขณะที่นางยังทำไม่สำเร็จจนทำให้นางรู้สึกสิ้นหวัง แต่ก็ยังไม่กล้ากลับมาด้วยกลัวว่านางจะเห็นท่านอาจารย์ทำลายตัวเอง หรือพบกองกระดูกและหลุมศพของท่านอาจารย์…

…ดังนั้นนางจึงต้องใช้เวลาแปดหรือเก้าร้อยปีจนในที่สุดก็กล้าที่จะส่งสารทักทายมา…” หลังจากที่หลี่ฉางโซ่วกล่าวจบ หลิงเอ๋อร์ก็ตกอยู่ในภวังค์ครุ่นคิดขณะที่จ้องมองด้วยดวงตาของนาง