บทที่ 201 มรดก

ฟางเจี๋ยกับฟางจวิ่นถูกเรียกเข้าไปหาชายชราเพื่อพูดคุยเรื่องต่าง ๆ พวกเขาถูกทิ้งไว้ข้างในกับผู้เป็นบิดาเพียงลำพัง ถังหลี่ยืนอยู่ด้านนอกเคียงข้างกับเอ้อร์เป่า

เด็กชายคิดว่าปู่ของตนสบายดี ทำให้ใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาดูมีความสุข แต่ถังหลี่รู้ดีว่า ไฟชีวิตของท่านผู้เฒ่าเริ่มมอดใกล้ดับแล้ว เมื่อเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของลูกชาย นางจึงรู้สึกทนไม่ได้

ไม่นานนัก ข่าวการเสียชีวิตของท่านผู้เฒ่าสกุลฟางก็มาถึง เอ้อเป่าร์ยืนนิ่งตกตะลึง ถังหลี่รวบตัวบุตรชายมากอดไว้

“ท่านแม่… ท่านปู่…เขา..” ดวงตาของเอ้อร์เป่าเต็มไปด้วยความสับสน

“ท่านปู่ของเจ้าจากไปแล้ว” ถังหลี่กล่าว

ไปแล้ว… ไม่มีท่านปู่อีกต่อไปแล้ว…เขาจะไม่ได้เจอท่านอีกแล้ว..

เอ้อร์เป่าซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของมารดาเงียบ ๆ

หลังจากนั้นไม่นานฟางเจี๋ยก็ออกมาจากห้องของบิดาด้วยความโกรธ ที่ด้านหลังของเขามีน้องชายเดินตามมาติด ๆ

“ท่านพี่ ท่านจะไปไหน?” ฟางจวิ่นเรียก

หากฟางเจี๋ยไม่สนใจน้องชาย ใบหน้าของเขามืดครึ้มอย่างน่ากลัว เขารีบเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อฟางจวิ่นไล่ตามเขาไปถึงครึ่งทางก็จำต้องหยุดฝีเท้าลง ก่อนจะถอนหายใจ เดินหันหลังกลับไปทำหน้าที่จัดงานศพให้บิดา

หลังจากนั้นผู้คนต่างพากันหลั่งไหลเข้ามามากขึ้น ทั้งจวนระงมไปด้วยเสียงร่ำไห้ไว้อาลัย

“ท่านแม่ เหตุใดคนเราต้องตายด้วย ท่านย่าจางจากไปแล้ว ท่านปู่ก็จากข้าไปเช่นกัน ข้าไม่อยากให้พวกเขาไปเลย” เอ้อร์เป่าพูดอย่างโกรธแค้น

เรื่องชีวิตและความตายนั้นเป็นเรื่องหนักหน่วงเกินไปสำหรับเด็ก ๆ หญิงสาวไม่ต้องการอธิบายความหมายของความตายอย่างโหดร้ายให้บุตรชายฟัง

“พวกเขาไม่ได้จากเจ้าไปไหน เพียงแต่เปลี่ยนสถานะตัวตนของเขาต่างออกไปเท่านั้น” ถังหลี่พยายามใช้คำพูดง่าย ๆอธิบายให้ลูกชายฟัง

“อาจจะเป็นดวงดาวบนท้องฟ้า ดอกไม้ หรือต้นหญ้า เพื่อคอยเฝ้าดูเจ้าเติบโตขึ้นอย่างเงียบ ๆ หากวันใดคิดถึงเขา เจ้าจะสัมผัสได้ถึงความรักที่พวกเขามีต่อเจ้า”

ดวงตาที่หม่นหมองของเด็กชายส่องประกายแวววาวขึ้น

“ท่านปู่ยังอยู่เคียงข้างข้าใช่หรือไม่?”

“ใช่แล้ว ดังนั้นเอ้อร์เป่าต้องมีความสุข ไม่เช่นนั้นท่านปู่จะรู้สึกเป็นทุกข์ได้”

เอ้อร์เป่าพยักหน้าอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มกระจายไปทั่วใบหน้า

“ท่านปู่ ข้ามีความสุขมาก!”

แต่รอยยิ้มของเด็กชายนั้นดูไปแล้วกลับบิดเบี้ยว ยิ่งกว่าการร้องไห้เสียอีก หญิงสาวกอดลูกชายไว้แน่น ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงเล็ก ๆ พูดขึ้นว่า

“ท่านแม่ ข้าอยากเจอท่านปู่อีกสักครั้ง”

ถังหลี่และเว่ยฉิงพาเด็กชายเข้าไปในห้องทำพิธี บนเตียงหลังเดิมมีร่างของผู้อาวุโสสกุลฟางนอนหลับตาอย่างสงบราวกับเขานอนหลับ ในวาระสุดท้ายของชีวิต เขาได้พบกับหลานชายที่เขาคิดถึงมากที่สุด ดังนั้นเขาจึงไม่มีห่วงกังวลอีกต่อไป

เอ้อร์เป่าเดินเข้าไปจับมือของชายชราไว้

“ท่านปู่ ข้าจะมีความสุข…ท่านไม่ต้องห่วงข้าแล้วนะ…” เอ้อร์เป่าพูดอย่างจริงจัง

หลังจากที่เอ้อร์เป่ากล่าวอำลากับปู่ของตน เขาก็เดินออกจากห้องไป

“ท่านแม่ ท่านจะอยู่กับข้าตลอดไปหรือไม่?”

“แม่จะอยู่กับเจ้าตลอดไป”

“ท่านแม่ ข้าอยากร้องไห้”

“ถ้าเจ้าอยากร้องไห้ก็ร้องเถิด”

“ท่านอย่าบอกท่านพ่อนะ”

“ถ้าพ่อดุเจ้า แม่จะตีพ่อให้”

“ท่านแม่ใจดี”

เด็กชายตัวเล็ก ๆ ซบไปที่บ่าของหญิงสาว สะอื้นไห้เบา ๆ หลังจากที่ได้ระบายความเสียใจไป ความขุ่นมัวในใจของเขาก็บรรเทาลงไปมาก ถังหลี่อยู่กับเอ้อร์เป่าตลอด ความทรงจำของเอ้อร์เป่าในช่วงเวลานี้ได้ฝังแน่นอยู่ในส่วนลึกที่สุดของเด็กน้อยไปตลอดชีวิต

แม้ในภายภาคหน้าเขาจะนั่งอยู่บนจุดสูงสุดเป็นบุคคลที่ร่ำรวยของแผ่นดิน เขาก็ยังจำความรู้สึกในตอนนี้ได้

ว่ามารดาเป็นผู้ที่จับมือเขาไว้แน่นมากแค่ไหน

มารดาที่อยู่เคียงข้างและแบ่งปันความกล้าหาญให้แก่เอ้อร์เป่า

ท่านแม่ของเขาเป็นเพียงสตรีตัวเล็ก ๆ แต่มีจิตใจที่กว้างขวางและมีเมตตาอย่างหาใครเปรียบยาก …..

ในอีกด้านหนึ่ง

ฟางเจี๋ยเดินเข้าไปในลานบ้านด้วยความโมโห ก่อนที่จะเจอกับนางถังที่กำลังเดินรี่เข้ามาหา นางคงได้ข่าวการเสียชีวิตของพ่อสามีเช่นกัน ใบหน้าของภรรยาเขาเต็มไปด้วยความสุข

การมีตัวตนของฟางเหยียนทำให้นางแน่ใจว่าผู้นำตระกูลฟางจะต้องมอบทรัพย์สินและตำแหน่งผู้นำตระกูลให้ฟางเจี๋ยอย่างแน่นอน นี่คือการเยียวยาความทุกข์ที่นางไช่และถังหลี่ทำให้นางโกรธ

นางถังไม่จำเป็นต้องถ่อมตัวเพื่อเอาใจฟางเหยียนอีกต่อไป

นางไม่ได้ชอบเด็กชายตั้งแต่แรกอยู่แล้ว อีกทั้งถังหลี่และนางไช่ยิ่งทำให้นางเกลียดฟางเหยียนเพิ่มมากขึ้น

หากนางได้ดูแลตระกูลฟางเมื่อไหร่ นางจะไล่พวกที่ทำให้นางรำคาญใจออกไป!

ดังนั้นการตายของนายท่านฟางคือสิ่งที่นางถังรอคอยมาตลอด แต่เหตุใดสีหน้าของฟางเจี๋ยกลับดูไม่ค่อยดี

หัวใจของนางถัง ‘สั่นไหว’ รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา

“ท่านพี่ ท่านเป็นอะไรไป?” นางถังถามอย่างกังวล

“ท่านพ่อยกร้านขายข้าวให้น้องชายข้า” ฟางเจี๋ยพูดด้วยใบหน้าบึ้งตึง

ตระกูลฟางนั้นทำกิจการเกี่ยวกับการค้าข้าวเป็นหลัก โดยมีกิจการย่อยอื่น ๆ และโฉนดที่ดินที่ครอบครองเป็นรายได้เสริม ใครก็ตามที่ได้ควบคุมดูแลกิจการค้าข้าวก็เท่ากับว่าได้มรดกของสกุลฟางไป!

นางถังรู้สึกราวกับโดนสายฟ้าฟาดลงมาที่ตัว!

ความสุขที่วาดฝันมลายหายไปกลางอากาศ

“นี่…ปะ เป็นไปได้อย่างไร?” นางถังตกตะลึง

“กลับไปที่คุยที่เรือนเถอะ” ฟางเจี๋ยกล่าว

ทั้งสองเดินกลับไปยังเรือนของตน

“เกิดอะไรขึ้น? ท่านพ่อรักฟางเหยียนมาก ท่านพูดเสมอไม่ใช่หรือว่าสกุลฟางเป็นของเขา แล้วทำไมจู่ ๆ ถึงได้ยกให้แก่น้องชายท่าน?”

นางถังถามอย่างไม่เชื่อ

“มันเป็นการตัดสินใจของท่านพ่อ ถามข้าจะมีประโยชน์อะไร เจ้าอยากรู้นักก็ไปถามเขาเองสิ!”

“เขาตายแล้ว จะให้ข้าไปถามอย่างไร!” ใบหน้าของนางถังบิดเบี้ยว

“ท่านพ่อไม่พูดอะไรกับท่านพี่ก่อนตายเลยหรือ?”

“ท่านพ่อว่าข้าเป็นพวกเห็นแก่ผลประโยชน์มากเกินไป ตระกูลฟางคงล่มสลายหากส่งมอบให้ข้า”

ฟางเจี๋ยพูดอย่างเศร้าซึม

เขารู้สึกว่าตัวเองเก่งกว่าฟางจวิ่นมาก การส่งมอบสกุลฟางให้แก่ฟางจวิ่นน่าจะทำให้ตระกูลล่มสลายมากกว่า

“มันเป็นข้ออ้าง”

“ใช่ ข้ออ้าง! เป็นแบบนี้ได้อย่างไร?”

หากนางรู้ก่อนหน้านี้คงไปอยู่กับฟางเหยียน ตอนนี้จะทำอะไรให้เด็กชายพึงพอใจได้?!

ความพยายามที่ผ่านมาของนางไร้ประโยชน์หรือ?

ทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลได้ตกไปอยู่ในมือของฟางจวิ่นและนางไช่ไปเสียแล้ว!

แม้แต่เสื้อผ้าของนางก็จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของสตรีผู้นั้น! นางถังรู้สึกอึดอัดใจมาก นางไช่คงเชิ่ดหน้าขึ้นฟ้าแล้ว!

นางไม่อยากไปทำดีกับนางไช่อีกต่อไป แต่ถ้าไม่ทำ ชีวิตภายหน้าจะเป็นอย่างไร?

แต่นี่คือข้อเท็จจริง พวกเขาทั้งคู่ราวกับตกจากก้อนเมฆจมลงสู่บ่อโคลน สองสามีภรรยาเต็มไปด้วยความตระหนกตกใจจนไร้ซึ่งเรี่ยวแรง

นางถังเองยังรู้สึกได้ว่า แม้แต่บ่าวรับใช้ของสกุลฟางยังดูถูกนาง นางโยนหน้ากากอ่อนโยนของตนทิ้งไป เปิดเผยใบหน้าที่กระด้างและเย็นชาเข้ามาแทน

….

ห้องโถงสำหรับทำพิธีไว้ทุกข์ถูกจัดขึ้นในไม่ช้า กลุ่มลูกหลานของชายชราแต่งกายด้วยผ้าป่านกระสอบ บุตรจำต้องคุกเข่าไว้ทุกข์หน้าศาลา ฟางจวิ่นเองต้องวิ่งวุ่นดำเนินการจัดพิธีศพให้บิดาอยู่จนค่อนคืน ก่อนที่เขาจะมานั่งไว้ทุกข์ให้บิดาอยู่หน้าโถง

เด็กที่ยังเล็กนั้น ไม่สามารถนั่งคุกเข่าติดต่อกันเป็นเวลานานได้ พวกเขาจึงได้รับการยกเว้นให้กลับไปพักผ่อน เหลือเพียงเอ้อร์เป่าที่มีใบหน้าเคร่งขรึมจริงจังเท่านั้น เด็กชายยังคงคุกเข่าตัวตรง จ้องมองไปด้านหน้าของตนเอง

“เอ้อร์เป่า ไม่เหนื่อยหรือ?” ฟางจวิ่นถาม

เด็กชายส่ายหัว

หลังจากเวลาผ่านไปสองชั่วยาม ร่างเล็ก ๆ ของเขาก็เริ่มสั่นเทา

“เอ้อร์เป่า เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถิด เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่นะ” ฟางจวิ่นกล่าว

“ข้าอยากอยู่กับท่านปู่” ดวงตาของเด็กชายฉายแววดื้อรั้น

เด็กคนนี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ

เหตุใดบิดาจึงไม่รักไม่เอ็นดูเขา?

เด็กชายฉลาดมาก นับว่าเป็นบุญของพี่ชายที่สะสมมาจากชาติที่แล้วถึงได้บุตรชายแสนดีเช่นนี้

เมื่อท่านพ่อจากไป พี่ชายก็ไม่เอาธุระ

แม้แต่จะมาเฝ้าศพบิดาก็ยังไม่มาด้วยซ้ำ !