บทที่ 231 การแสดงเริ่มต้นขึ้น

ฮ่องเต้เซี่ยเจินอยากกินเป็นอย่างมาก เขาลุกขึ้นจากตั่งและเปิดผ้าม่านมองออกไปด้านนอกทันที

เยี่ยมจริง ๆ มิน่าเล่าถึงได้หอมเพียงนี้ ราวกับว่ากำลังย่างอยู่ใต้จมูกเขาอย่างไรอย่างนั้น! และที่นั่งอยู่หน้ากระโจมข้าง ๆ กองไฟนั่นมิใช่เจ้าถังกั๋วกงและเสิ่นฉางซานหรอกหรือ แถมตอนนี้พวกเขาก็กำลังถือมีดเล็ก ๆ หั่นเนื้อแกะกินกันอยู่!

จะกินก็กินไปเงียบ ๆ สิ แต่นี่ยังมาทำเป็นมือหนึ่งคีบอาหารยัดใส่ปาก อีกมือก็ถือแป้งอบที่ห่อต้นหอมและเนื้อแกะชุ่มฉ่ำที่เพิ่งจะย่างเสร็จเอาไว้ ไหนจะท่าทางที่กัดลงไปแล้วมีน้ำมันจากเนื้อไหลย้อยลงมาจากมุมปากนั่นอีก

ฮ่องเต้เซี่ยเจินกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะสะบัดม่านด้วยความโมโห

“พวกเขา…พวกเขาทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน?!”

เจียงเต๋อเช็ดเหงื่อบนหน้าผากเล็กน้อย “พวกเขาบอกว่าได้รับพระราชทานอาหารมาจากไท่ซ่างหวง จะไม่กินก็ไม่ได้ และต้องมากินที่นี่เท่านั้นจึงจะสามารถแสดงถึงความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของไท่ซ่างหวงได้พ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้เซี่ยเจินได้แต่ต้องสะกดคำหยาบมากมายไว้ในลำคอ เขาไม่สามารถพูดมันออกมาได้

การกระทำนี้ของถังกั๋วกงไม่ได้ผิดอะไร แต่หากจะผิดก็ผิดที่ฮ่องเต้อย่างเขายังคงหิวอยู่!

อีกทั้งฮ่องเต้เซี่ยเจินก็ไม่อยากเสียหน้า และไปขออาหารจากพวกเขามากิน

ไม่กินก็ไม่กิน ความหิวจะทำให้เขาตายได้อย่างไรกัน?

ด้วยความโมโห ฮ่องเต้เซี่ยเจินจึงตั้งใจไว้ว่า ตอนกลางคืนจะไม่ตื่นขึ้นมากินข้าวอีก

เวลานี้มีคนหิวอยู่ในค่ายที่พักแรมจำนวนมาก ทว่าอีกด้านกลับกินดื่มกันอย่างอิ่มหนำสำราญ

“หลี่ฮูหยิน ท่านมาที่หมู่บ้านของพวกเราก็คิดเสียว่าเป็นบ้านของตัวเอง ดังนั้นไม่ต้องเกรงใจนะเจ้าคะ!” ท่านป้าหยางยกชามและตะเกียบมาให้ พลางทักทายหลี่ฮองเฮาอย่างเป็นมิตร

กับคนนอกจี้จือฮวนบอกเพียงว่าหลี่ฮองเฮาเป็นญาติของนาง ดังนั้นชาวบ้านจึงเข้ามาทักทายนางอย่างกระตือรือร้นทันที

หลี่ฮองเฮาไม่เคยกินอาหารหม้อใหญ่ร่วมกับชาวบ้านมาก่อน จึงรู้สึกว่าทุกอย่างล้วนมีชีวิตชีวา ไม่มีกฎระเบียบมากมายเหมือนในวัง กินข้าวมื้อหนึ่งก็ต้องมีคนคอยล้อมหน้าล้อมหลัง ไม่อาจกินอย่างสงบสุขได้

อาฉือตักน้ำแกงส่งให้หลี่ฮองเฮาด้วยตัวเอง พลางกระซิบบอก “พวกชาวบ้านเป็นคนซื่อ ๆ และเป็นมิตร ท่านย่าไม่ต้องเกร็งนะขอรับ”

หลี่ฮองเฮาเพียงรู้สึกขอบคุณ ตอนนี้หลานชายของนางยังอยู่ บนโลกนี้จะยังมีอุปสรรคอะไรอีก “ย่าไม่ได้เกร็ง ย่าเพียงแต่ดีใจเท่านั้น”

ดีใจที่ยังมีคนมากมายปฏิบัติต่อเขาเป็นอย่างดี ดีใจที่เด็กคนนี้ไม่ได้โศกเศร้าอยู่ตลอดหรือทำเพียงแค่ใช้ชีวิตอยู่ไปวัน ๆ

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเขาได้รับการดูแลอย่างดี เวลานี้หลี่ฮองเฮาจึงต้องการที่จะลืมเรื่องราวเลวร้ายในวังหลวงเหล่านั้นไปจากสมองให้หมด ไม่ไปคิดถึงมันอีก

ขณะที่หลี่ฮองเฮากำลังเพลิดเพลินกับความสุขของการได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน ไป๋จิ่นก็กระโดดเข้ามาจากข้างนอกพอดิบพอดี เขาเก่งเรื่องพิษแต่วิชาตัวเบากลับไม่ได้เรื่องสักเท่าไร เรื่องที่จี้จือฮวนมอบหมายให้เขาทำ เขาต้องใช้ความพยายามไม่น้อยเลยทีเดียวจึงจะสามารถทำให้สำเร็จได้

แต่เพราะกลัวว่าจะพลาดเวลากินข้าว พอทำงานเสร็จเขาก็รีบกลับมาพุ้ยข้าวเข้าปากในทันที

เซียวเย่เจ๋อรีบขยับที่ให้เขา “เหตุใดถึงไปนานเพียงนี้เล่า เนื้อแกะย่างนี่ข้าเก็บเอาไว้ให้เจ้าเชียวนะ”

ไป๋จิ่นรู้สึกว่าเซียวเย่เจ๋อก็ไม่ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์ไปเสียทั้งหมด อย่างน้อยก็ไม่เอาแต่กินอยู่คนเดียว

“ไปทำงานให้ลูกพี่ฮวนฮวนมา”

“ฮะ? นางให้เจ้าไปทำอะไร?”

“อือ เพิ่มของบางอย่างในอาหารให้คน”

เซียวเย่เจ๋อ “???”

“คนผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”

“ไม่ตายหรอก แต่เช่นนั้นก็น่าจะยิ่งกว่าตายเสียอีก”

“…”

ภายในกระโจม

ในที่สุดฮ่องเต้เซี่ยเจินก็รอจนได้กินเครื่องเคียงบ้าน ๆ ที่พ่อครัวใช้เงินจำนวนมหาศาลซื้อมา หลังจากกินไปได้สองชามใหญ่ จึงนึกถึงเรื่องที่อัดแน่นอยู่ในใจขึ้นมาได้ “หานกุ้ยเฟยเล่า?”

เจียงเต๋ออดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือน “ฝ่าบาท ฐานะของหานเหม่ยเหรินตอนนี้ เกรงว่าคงจะอยู่รวมกับนายหญิงคนอื่น ๆ ของวังหลังพ่ะย่ะค่ะ”

“ไปเรียกคนมาเถอะ สองวันนี้ทำให้นางลำบากแล้ว”

หานเหม่ยเหรินเป็นคนอ่อนโยน ใส่ใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ และรู้จักปรนนิบัติคน นอกจากนี้นางยังเกิดในตระกูลสูงศักดิ์ เมื่อเทียบกับฮองเฮาที่ชอบทำสีหน้าเรียบนิ่งแล้ว ฮ่องเต้เซี่ยเจินจึงรักหานเหม่ยเหรินมากกว่า

เรื่องตำแหน่งขอเพียงเขาพอใจก็ยังสามารถให้นางกลับขึ้นมาได้อีก ตอนนี้เขาแค่ไว้หน้าฮองเฮาเพราะเห็นแก่ไท่ซ่างหวงก็เท่านั้น

หานเหม่ยเหรินที่กำลังนั่งตบยุงอยู่ด้านหลัง และเพิ่งจะจิบน้ำแก้หิวไปไม่กี่อึก เมื่อเห็นเจียงเต๋อมาหานาง นางจึงร่าเริงขึ้นมาทันทีโดยไม่สนใจสายตาของคนอื่นที่มองมาเลยสักนิด จากนั้นก็กลับไปเปลี่ยนมาสวมชุดของนางสนมยศกุ้ยเฟยเช่นเดิม ก่อนจะเดินวางท่าเข้าไปในกระโจมของฮ่องเต้เซี่ยเจินอย่างโอ้อวด

วันนี้เพื่อกลับคืนตำแหน่งกุ้ยเฟย หานเหม่ยเหรินถึงกับเอาของรักของหวงออกมาและสวมมันไว้ข้างใน

ทันทีที่เข้าไปในกระโจม ปล่อยให้เจียงเต๋อเฝ้าอยู่ด้านนอก หานเหม่ยเหรินก็ปลดเสื้อคลุมบาง ๆ บนร่างออก แล้วเดินไปหาฮ่องเต้เซี่ยเจินด้วยท่าทางอ่อนช้อย ปากก็เอ่ยอย่างออดอ้อน “ฝ่าบาทเพคะ~”

ดวงตาของสาวงามสั่นไหว ถึงแม้ว่านางจะอายุสามสิบกว่าแล้ว ทว่าความงามยังคงอยู่ ผิวกายขาวเนียนละเอียด ทำให้คนเห็นแล้วเลือดลมพลุ่งพล่านขึ้นมาทันที

ดวงตาของฮ่องเต้เซี่ยเจินเหยียดตรง วิญญาณหลุดลอยตามหานเหม่ยเหรินไปเรียบร้อยแล้ว

ทันทีที่ทั้งสองสบตากันก็ราวกับฟืนแห้งติดไฟ ขณะกำลังกอดรัดกันอยู่บนเตียงนั้น ก็มีกลิ่นเหม็นรุนแรงลอยเข้ามาจนฮ่องเต้เซี่ยเจินถึงกับหน้ามืด

ฮ่องเต้เซี่ยเจินไม่อยากจะเชื่อ เขาคิดว่าไม่มีทางที่จะเป็นกลิ่นกายของหานเหม่ยเหริน หรือของเขาอย่างแน่นอน

เขาก้มศีรษะลงและสูดดมกลิ่นนั้นอีกครั้ง ขณะที่หานเหม่ยเหรินก็ปลดเปลื้องเสื้อผ้าออก พลางใช้เรียวแขนโอบรอบคอของฮ่องเต้เซี่ยเจินเอาไว้ พลันนั้นกลิ่นเหม็นรุนแรงก็โชยมาอีกครั้ง ฮ่องเต้เซี่ยเจินจึงผลักหานเหม่ยเหรินออกทันที ก่อนจะโก่งคออาเจียนอยู่ข้างเตียง

“ฝ่าบาทเพคะ!” หานเหม่ยเหรินเข้าไปลูบหลังของฮ่องเต้เซี่ยเจินด้วยความตกใจ

แต่ยิ่งนางขยับตัวมากเท่าไร กลิ่นตัวของนางก็ยิ่งแรงมากขึ้นเท่านั้น จนทำให้ฮ่องเต้เซี่ยเจินรู้สึกหน้ามืดยิ่งกว่าเดิม และสำรอกอาหารที่กินเข้าไปเมื่อครู่ออกมาจนหมด

“แหวะ!” ฮ่องเต้เซี่ยเจินทนไม่ไหวอีกต่อไป หานเหม่ยเหรินผู้นี้ราวกับไปแช่สระคนตายมาอย่างไรอย่างนั้น กลิ่นนี้รุนแรงราวกับจะทำให้คางคกในบริเวณสองลี้นี้ต้องกระโดดไปมา พร้อมทั้งส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาอย่างไรอย่างนั้น

ฮ่องเต้เซี่ยเจินไม่ทันบอกให้หานเหม่ยเหรินไสหัวออกไป เขาก็ทนไม่ไหวและพุ่งตัวออกไปนอกกระโจมเสียเอง ทิ้งหานเหม่ยเหรินให้นั่งงุนงงอยู่ที่เดิม

นี่มัน…นี่มันเรื่องอะไรกัน!? เหตุใดฝ่าบาทถึงทรงพระอาเจียนเช่นนี้ได้! จะต้องเป็นเพราะอาหารที่พ่อครัวหลวงทำไม่สะอาดเป็นแน่!

หานเหม่ยเหรินสวมเสื้อผ้า และกำลังเตรียมจะออกไปหาคนมาชำระความ เจียงเต๋อก็เข้ามาเพื่อจะบอกให้นางออกไปก่อน ให้เขาทำความสะอาดกระโจมให้เรียบร้อยเสียก่อน แต่ใครจะคิดว่าเมื่อเจียงเต๋อเข้ามาใกล้ กลิ่นเหม็นที่รุนแรงนั้นก็ทำให้เขาแทบจะลืมตาไม่ขึ้น

หานเหม่ยเหรินผู้นี้ไปตกบ่ออึมาหรืออย่างไร!?

เหตุใดถึงได้เหม็นเพียงนี้!!!

หานเหม่ยเหรินเห็นท่าทางเช่นนี้ของเจียงเต๋อก็ตระหนักได้ทันที หรือปัญหาจะอยู่ที่ตัวนางเอง แต่นางไม่ได้กลิ่นอะไรเลยนี่นา!?

หานเหม่ยเหรินถูกส่งกลับไปที่กระโจมท่ามกลางความไม่เข้าใจ ระหว่างทางสีหน้าของราชองครักษ์เหล่านั้นก็ยากจะอธิบายได้

สุดท้ายหลังจากถูกส่งตัวกลับมา เหล่าสนมที่ต้องการเยาะเย้ยถากถาง แม้แต่ปากก็ไม่สามารถเปิดได้ แต่ละคนรีบพุ่งตัวออกไปทันที

คราวนี้หานเหม่ยเหรินจึงทนไม่ไหวอีกต่อไป นางร้องไห้ออกมาเสียงดัง ทั้งยังโวยวายจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าประเดี๋ยวนี้เสียให้ได้ แต่ตอนนี้นางเป็นเพียงเหม่ยเหริน ขนาดกระโจมยังต้องเบียดกับคนอื่น ใครจะไปเตรียมน้ำร้อนมากมายขนาดนั้นมาให้นางอาบกัน?

หลังจากถูกหานเหม่ยเหรินสร้างความวุ่นวายให้ ฮ่องเต้เซี่ยเจินก็ไร้สิ้นซึ่งเรี่ยวแรงแล้ว รอจนด้านในทำความสะอาดเรียบร้อย เขาก็ดื่มชาเข้าไปหนึ่งอึกและเตรียมจะเข้านอน

ฮ่องเต้เซี่ยเจินไม่สามารถทนอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป เขาต้องรีบกลับไปที่วังให้เร็วที่สุด พรุ่งนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาต้องเข้าเฝ้าไท่ซ่างหวงให้จงได้

ฮ่องเต้เซี่ยเจินคิดได้ดังนั้น ก็ค่อย ๆ เข้าสู่นิทรา…

เดิมทีคิดว่าคืนนี้จะสามารถผ่านไปได้อย่างราบรื่น เมื่อแสงเทียนในค่ายพักแรมค่อย ๆ ดับลง เหลือเพียงเสียงของราชองครักษ์ที่เดินตรวจตรา

ทางหมู่บ้านตระกูลเฉินก็เลิกราแล้วเช่นกัน จันทราเฉิดฉายเหนือกิ่งหลิว ภูตผีปีศาจทั้งหลายก็ได้เวลาออกมาแล้ว

ระหว่างเปลี่ยนเวรยาม จู่ ๆ ราชองครักษ์คนหนึ่งก็เงยหน้าขึ้นและเอ่ยถามออกมา “ฝนตกหรือ?”

“มีฝนที่ใดกัน” คนข้าง ๆ ตอบกลับมา ก่อนจะหันไปมองเขา ทว่ากลับต้องถอยหลังไปหนึ่งก้าวด้วยความตกใจ

เขาเห็นใบหน้าของราชองครักษ์ผู้นั้นกำลังมีเลือดไหลย้อยลงมา น่าสยดสยองยิ่งนัก

และด้านหลังของเขาก็มีดวงไฟกำลังลอยอยู่ บวกกับใบหน้าที่เปื้อนเลือดนั้น มันช่างดูราวกับผีที่ขึ้นมาจากขุมนรกก็มิปาน

.

.

.