บทที่ 203 จำเป็นต้องลองดู

Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว

บทที่ 203 จำเป็นต้องลองดู

บทที่ 203 จำเป็นต้องลองดู

สายตาของฮั่วเสวียนชำเลืองมองเหล่าทหารผู้เลือดเย็นและโหดเหี้ยมของหร่งตี๋ เหงื่อซึมหยดลงมาตามหน้าฝาก เลือดทั่วร่างกายเผยให้เห็นถึงการทรมานอย่างไร้มนุษยธรรมที่นางได้รับ

แต่รัศมีที่แผ่ออกมาจากตัวเธอนั้นทำให้เห็นว่าเธอยอมตายดีกว่าต้องยอมจำนน!

“ดี ข้าเองก็ชอบความกล้าหาญเช่นนี้ ยิ่งกล้าหาญข้ายิ่งชอบ ยิ่งไม่กลัวตายข้ายิ่งตื่นเต้น!”

“ดูท่าทางแล้วท่านคงพูดไม่ได้แล้วสินะ?”

ฮั่วเสวียนยังคงนิ่งเงียบ

ผู้คุมรู้ดีว่าฮั่วเสวียนไม่มีทางยอมสารภาพง่าย ๆ แต่ก็ไม่ได้รีบร้อน “เก็บกวาดได้แล้ว พวกเราไปกินข้าวกันก่อน”

พูดจบเขาก็เดินออกไปจากห้องสอบสวนที่มีกลิ่นคละคลุ้งไปด้วยเลือด

ภาพจากกล้องที่ถ่ายร่างของฮั่วเสวียนที่ถูกทรมานค่อย ๆ ถอยออกมาช้า ๆ

“คัต!” ตอนที่สวีโหมวหยิบโทรโข่งและตะโกนออกมานั้น คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่น ไม่ใช่เพราะว่าฉากนี้หนักหนามากเกินไป แต่เป็นเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่การแสดงของซูโย่วอี๋ไม่ดีเอาเสียเลยตั้งแต่ถ่ายทำละครมานาน

การแสดงความเจ็บปวดระหว่างถูกทรมานนั้นดูเป็นเพียงความผิวเผิน อารมณ์ไม่ชัดเจน และดูเกินจริงไปนิดหน่อย ทำให้ระดับอารมณ์ไม่พอดี

แต่สวีโหมวไม่ได้กังวลมากเกินไป คุณภาพในการแสดงของเธอยังดีอยู่ ดูจากผลงานที่ผ่านมาของซูโย่วอี๋ เธอแสดงออกมาได้โดดเด่นมาก เพียงแต่ว่าการแสดงความเจ็บปวดนั้นเธอยังทำได้ไม่ดีพอ

อีกอย่างหนึ่ง ตัวของซูโย่วอี๋ก็รู้สึกว่าการแสดงของเธอผิดแปลกไปเช่นกัน เธอรู้สึกได้ว่าการแสดงนี้ต้องใช้อารมณ์และทักษะเกินความสามารถในปัจจุบันของตัวเองมาก

จากนั้นสวีโหมวเรียกเธอให้ไปหา

“โย่วอี๋ คุณลองมาดูตัวเองตอนที่อยู่ในกล้องก่อน”

การโดนดูถูกในตอนแรกแล้วนิ่งเงียบถือว่าพอใช้ได้ แต่พอถึงตอนที่ต้องถูกลงโทษ เห็นได้ชัดว่าใบหน้าของเธอดูมึนงงและตอนที่ถูกเข็มทิ่มหน้าตาก็ดูเกินจริงไปมาก

ซูโย่วอี๋ขมวดคิ้วมุ่น ตอนนั้นเธอต้องการแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาทางด้านอารมณ์ แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นใช้อารมณ์มากเกินไป

บทฮั่วเสวียนผู้กล้าหาญและไม่ยอมใครกลับถูกแสดงออกมาแค่เพียงในจินตนาการเท่านั้น!

สวีโหมวได้แนะนำเธอในหลาย ๆ จุด สุดท้ายก็หยิบบุหรี่ขึ้นมา “ปัญหามันชัดเจนมาก ไม่ว่าใครก็มองออก คุณจะแสดงอย่างไรผมสามารถแนะนำวิธีให้ได้ แต่ท้ายที่สุดก็อยู่ที่คุณแล้ว”

ถ้าเล่นฉากนี้ได้ดี มันจะต้องดังระเบิดแน่นอน

แต่ถ้าแสดงออกมาได้ไม่ดีก็จะมีแต่คำเยาะเย้ย โดยเฉพาะซูโย่วอี๋ที่แสดงเป็นฮั่วเสวียนซึ่งเป็นที่ยอมรับของผู้คนในตอนแรก เหล่าคนดูคงรับไม่ได้กับฝีมือการแสดงของนักแสดงที่แย่ลงแน่!

กลองที่ดีตีเบา ๆ ก็ดัง สวีโหมวจึงไม่ได้กดดันเธอมากจนเกินไป “ตอนนี้ก็พอใช้ได้ แต่มันยังดีได้มากกว่านี้”

“คุณลองไตร่ตรองดูนะ หรือจะถ่ายอีกรอบ?”

ซูโย่วอี๋ส่ายหน้า “ฉันอยากทบทวนอารมณ์ก่อนค่ะ”

พูดจบก็กลับไปยังที่พัก เหมยเหมยไม่ได้อยู่ดูการแสดงของซูโย่วอี๋ แต่เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ของซูโย่วอี๋ไม่ได้ผ่อนคลายเหมือนตอนที่ถ่ายเสร็จแบบเมื่อก่อน

“พี่ซู อยากกินของว่างหน่อยไหมคะ?”

“ไม่ล่ะ” ซูโย่วอี๋เงยหน้ามองเหมยเหมย “เจอปัญหาในการถ่ายทำนิดหน่อยน่ะ”

ด้วยไหวพริบของเหมยเหมย เธอรู้ว่าไม่ควรเข้าไปรบกวน มีเพียงแค่ตอนที่ซูโย่วอี๋เรียกเธอด้วยตัวเองเธอจึงเข้าไปหา

ซูโย่วอี๋มองดูเวลา มันใกล้จะสิบเอ็ดโมงครึ่งแล้ว ถ้าตามขั้นตอนปกติ ประมาณเที่ยงจะเริ่มพักกินอาหารเที่ยง ถ้าเอาเวลาช่วงนี้มาถ่ายละครก็คงจะเร่งมากเกินไป

ซูโย่วอี๋คิดไปคิดมา เธอจึงเข้าไปเสนอแนะกับสวีโหมว “ผู้กำกับสวี อารมณ์ของฉันตอนนี้ยังไม่ดีพอ ถ้ายังบังคับถ่ายต่อไปก็จะเป็นการเปลืองแรงของทุกคนเสียเปล่า ๆ ค่ะ”

“หืม” สวีโหมวคิดตาม “แล้วคุณจะทำอย่างไร?”

“ให้เวลาฉันหน่อย ซักสี่โมงเย็น… ค่อยถ่ายใหม่ค่ะ!”

ช่วงเวลาห่างกันถึงสี่ชั่วโมง ระยะเวลาในการถ่ายทำไม่เคยมีเวลาพักนานมากขนาดนี้ สวีโหมวเองจึงไม่ค่อยเห็นด้วย

“โย่วอี๋ ถ่ายไปด้วยเรียนรู้ไปด้วยก็ได้ วันนี้พวกเราจำเป็นจะต้องถ่ายฉากนี้ของคุณให้เสร็จ ถ้าเกิดว่าตอนแรกเสียเวลาไปมากขนาดนั้น ต่อจากนั้นก็จะลำบาก”

ซูโย่วอี๋รู้ถึงเหตุผลนี้ดี แต่เวลาสี่ชั่วโมงนี้เธอจำเป็นจะต้องปล่อยวางอารมณ์!

เธอตัดสินใจเข้าเกมสวมบทบาทในระบบ เธอจะได้ลองสวมบทเป็นฮั่วเสวียนที่ติดอยู่ในคุกโดยไม่เห็นเดือนเห็นตะวันถึงสี่วันเต็ม

“ผู้กำกับสวี กรุณาเชื่อใจฉันเถอะค่ะว่าสี่ชั่วโมงนี้จะไม่เสียเวลาเปล่าแน่นอน และพอต้องถ่ายต่อ ฉันจะแสดงผลงานที่คุณพอใจให้ดูค่ะ!”

ผู้ช่วยผู้กำกับที่อยู่ข้าง ๆ ได้ยินที่ทั้งสองคนคุยกันและเห็นสวีโหมวดูลำบากใจมาก “คุณซู คุณฟังผู้กำกับสวีหน่อยเถอะครับ เอาตามแผนการของพวกเราในตอนแรกเถอะ…”

ยังไม่ทันพูดจบ สวีโหมวยกมือขึ้นเพื่อหยุดไม่ให้ผู้ช่วยผู้กำกับพูดต่อ

“ได้ ผมตกลง”

สีหน้าของซูโย่วอี๋ดีใจ “ขอบคุณค่ะ ผู้กำกับสวี”

เมื่อจนเธอจากไป ผู้ช่วยผู้กำกับจึงพูดขึ้น “ผู้กำกับสวี คุณผ่อนปรนกับซูโย่วอี๋มากเกินไปหรือเปล่าครับ?”

ให้ทั้งกองละครหยุดทุกอย่างเพื่อเธอแค่คนเดียวเนี่ยนะ!

ทุกอย่างนี้มันคือเงินนะ

สวีโหมวมักโอ้อวดตัวเองว่าสูงส่งอยู่เสมอ ถ้าเลือกบทบาทก็จะเลือกแต่ที่ตัวเองถูกใจ ทั้งดื้อรั้นและแน่วแน่ เขาปฏิเสธนักลงทุนมาแล้วไม่น้อย

เพราะอย่างนั้นกองละครของพวกเขาถึงได้จนมาก ไม่เข้าใจเลยหรือไง?

สวีโหมวมองไปที่เขาอย่างเฉยชาและเข้าใจในความคิดของผู้ช่วยผู้กำกับดี “กลัวอะไร? อย่างแย่ที่สุดก็แค่ไปขอเงินจากลู่เฉิน คุณอย่าเพิ่งดูถูกซูโย่วอี๋ เธอพึ่งพาเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งอย่างตระกูลลู่ได้!”

ซูโย่วอี๋ไม่ได้หยุดพัก แต่เธอรีบพาเหมยเหมยกลับไปยังรถพี่เลี้ยง

“เหมยเหมย ฉันง่วงแล้วขอไปนอนก่อนนะ ถ้าไม่ถึงสี่โมงเย็นไม่ต้องมาเรียกฉัน เข้าใจไหม?”

เหมยเหมยไม่เข้าใจ ไม่ใช่ว่าต้องมาขัดเกลาทักษะการแสดงเหรอ?

ที่ทำมาทั้งหมดเพื่อนอนเท่านั้นเหรอ?

การกระทำทั้งหมดนี้ทำให้เหมยเหมยมึนงง เธอพูดด้วยน้ำเสียงอันมีไหวพริบ “พี่ซู จริง ๆ ไม่ต้องกดดันมากก็ได้ ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปก็ได้ค่ะ”

“การนอนไม่ช่วยแก้ไขปัญหาอะไรหรอก”

ซูโย่วอี๋ปรับเบาะหลังเป็นเตียงอย่างชำนาญ สายตามีความเจ้าเล่ห์เล็กน้อย “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? เธอเชื่อหรือเปล่าว่าความฝันของฉันมีพลังพิเศษที่สามารถพัฒนาทักษะการแสดงของฉันได้?”

เหมยเหมย “…”

เมื่อเห็นว่าซูโย่วอี๋เริ่มพูดจาไร้สาระ เธอจึงไม่กล้าพูดอะไรอีก เหมือนมีเสียงระฆังดังขึ้นในหัวใจของเหมยเหมย “งั้นพักผ่อนเถอะค่ะ การแสดงนี้จะดีหรือจะแย่มันก็เหมือนกันนั่นแหละ”

แล้วหันหลังกลับมาก็ส่งข้อความหาลู่เฉิน [ช่วงนี้แรงกดดันในการถ่ายละครของคุณซูสูงมาก เธอเลยค่อนข้างวิตกกังวล]

โทรศัพท์ที่เหมยเหมยติดต่อไปเป็นโทรศัพท์ที่ใช้ในการทำงานของลู่เฉิน ผ่านไปสักพักจึงยังไม่มีการตอบกลับ

เธอไม่กล้ารบกวนเวลาซูโย่วอี๋พักผ่อน จึงออกมาหาที่นั่งอยู่ไกล ๆ ผ่านไปพักหนึ่งก็มองดูโทรศัพท์

ภายในรถพี่เลี้ยง หลังจากที่ซูโย่วอี๋นอนลงและแกล้งทำท่าเหมือนจะนอนหลับ จิตใต้สำนึกก็เข้าไปถึงพื้นที่โฮโลแกรม สุนัขจิ้งจอกมองดูซูโย่วอี๋ด้วยความเคร่งขรึม [ซู่จู่ คุณควรคิดให้ดี ๆ นะ]

ซูโย่วอี๋มีท่าทีเฉยเมย [ฉันคิดดีแล้ว]

พูดจบก็กดเปิดการสวมบทบาทตอนที่ [ฮั่วเสวียนถูกคุมขังไว้ในคุกใต้ดิน]

[ยืนยันการเข้าเกม]

ซูโย่วอี๋ยกมือขึ้นเพื่อกด [ยืนยัน] แต่สุนัขจิ้งจอกใช้อุ้งมือของมันดึงเธอไว้

[ซู่จู่ คุณเกิดในประเทศจีนในสมัยใหม่ ไม่เคยมีประสบการณ์ในอำนาจเผด็จการของยุคเก่า ทันทีที่เข้าร่วมการสวมบทบาทฮั่วเสวียนที่เป็นนักโทษ แม้แต่ศักดิ์ศรีและอำนาจที่จะต่อสู้กลับก็ไม่มีเลย]

[เป็นเพียงลูกแกะที่รอโดนเชือด อีกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อร่ายกายของคุณ คุณรู้หรือเปล่า?]

ความเจ็บปวดทางร่างกาย ไม่ใช่เรื่องสนุก

ฮั่วเสวียนยิ้มอย่างเกร็ง ๆ “ฉันไม่รู้ ฉันถึงแสดงฉากนี้ได้ไม่ดีไง”

“ฉันเองก็กลัวมาก แต่ฉัน… จำเป็นต้องไปลองดู”

หากไม่ได้รับรู้มันด้วยตัวเอง แล้วจะแสดงเป็นฮั่วเสวียนที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงได้อย่างไร?