ตอนที่ 97-2 พี่ซิวมาหา
เฉียวเวยตรวจสอบบัญชีทั้งหมดเสร็จหลังจากนั้นสองเค่อ นางอ้าปากหาวพลางยืดเหยียดแขนยาวๆ บิดขี้เกียจอย่างสบายอุรา แต่พอยืดเสร็จเอนตัวพิงพนักเก้าอี้กลับพบว่าศีรษะชนเข้ากับท้องของใครบางคน นางเลิกคิ้วด้วยความตกใจ ไม่พูดพร่ำคำที่สองชักมีดสั้นที่ซ่อนในแขนเสื้ออกมา หมุนตัวไปทักทาย
จีหมิงซิวขยับตัวมาด้านข้างเก้าอี้แล้วยึดข้อมือของนางไว้ หลบพ้นมีดสั้นของนางได้สำเร็จ นางจุดศูนย์ถ่วงไม่มั่นคงจึงล้มไปทางโต๊ะด้านหลังอย่างแรง แขนของจีหมิงซิวรองศีรษะของนางจึงไม่ล้มจนเจ็บตัว แต่นั่นก็ยังทำให้ศีรษะนางมึนงงหนักพอสมควรอยู่พักหนึ่ง
เฉียวเวยมึนงงเล็กน้อย “เหตุใด…เหตุใดท่านอยู่ที่นี่ ท่านมาตั้งแต่เมื่อใด ทำไมชอบเล่นลอบโจมตีนัก นี่ท่านฝีมือดีเกินไปหรือข้าฝีมือด้อยเกินไปกันแน่”
แววตาของจีหมิงซิวดูอันตรายขึ้นมาเล็กน้อย “อยากลองสัมผัสฝีมือของข้ามากหรือ หืม”
นึกถึงเรื่องที่เอาเขาไปวาดบนภาพเช่นนั้น โชคดีที่เป็นนาง หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นใจกล้าหลบหลู่เขาเช่นนี้ ตายร้อยหนก็ยังมิพอ
เฉียวเวยไม่เข้าใจความนัยในถ้อยคำของเขาในทีแรก รู้สึกแต่ว่าคำว่า ‘หืม’ คำสุดท้ายนั้นฟังดูหยอกเย้า มีเลศนัยจนหัวใจนางเต้นตึกตัก ราวกับทำสิ่งใดที่ผู้คนไม่สมควรเห็นแล้วถูกเขาจับได้
แต่นางไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย!
จีหมิงซิวมองนางด้วยแววตาล้ำลึก “เจ้าเล่ห์นักนะ หัวหน้าพรรคเฉียว”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ท่านจะทำอะไร มาถึงก็มาทำตัวลามก”
จีหมิงซิวยกพัดขึ้นมา “ผู้ใดลามกกันแน่”
พัดเล่มนี้เฉียวเวยได้มาอย่างไม่ตั้งใจระหว่างเดินซื้อของสมัยยังยากจนอยู่ นางเป็นสตรีวัยบรรลุนิติภาวะ ซื้อหนังสือลามกไม่ไหว ซื้อพัดลามกสักเล่มจะเป็นอันใดไป ผิดกฎหมายหรืออย่างไร
นางไม่เชื่อหรอกว่าในบ้านเขาไม่มีของแบบนี้ ไม่แน่ว่าในบ้านเขาอาจมีเป็นตั้งก็ได้!
แต่ที่เขาโกรธเช่นนี้ น่าจะไม่ได้กำลังโกรธพัดของนาง แต่โกรธที่นางวาดบุรุษบนนั้นเป็นหน้าเขามากกว่า
สวรรค์เป็นพยาน นางมิได้ตั้งใจเสียหน่อย บุรุษบนพัดอัปลักษณ์เกินไปแล้วจริงๆ เห็นแล้วขัดลูกตานัก เดิมทีนางคิดจะขูดใบหน้านั้นออกเสีย แต่หากขูด พัดย่อมเสีย นางจึงคิดได้ว่าเปลี่ยนใบหน้าคนบนนั้นเสียก็สิ้นเรื่อง แต่นางวาดภาพไม่เก่งนัก วาดอยู่นานก็สู้ของเดิมมิได้ นางจนปัญญาจึงได้แต่วาดหน้ากากชิ้นหนึ่งทับลงไป
ตั้งแต่นางมาถึงยุคโบราณก็เคยเห็นหน้ากากของเขาเพียงคนเดียว ไม่วาดของเขาแล้วจะวาดของผู้ใดเล่า
“ท่านอย่าโกรธสิ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำอะไรเช่นนั้นกับท่านเสียหน่อย”
แม้ว่าความจริงแล้วจะแอบคิดอยู่นิดหนึ่ง แค่นิดหนึ่งก็เถอะ ผู้ใดให้เขาหน้าตาหล่อเหลา ทั้งยังรูปร่างดีอีกเล่า แต่นางสาบาน นั่นเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นจริง ไม่ได้มีความคิดจะทำอะไรๆ กับเขาจริงๆ แม้แต่น้อย
จีหมิงซิวไม่เชื่อเด็กโกหก “ข้าโกรธมาก”
เรื่องนี้ตนเองทำไม่ถูกก่อน ไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคล วาดรูปเขาตามใจได้เช่นไรเล่า หากรู้ก่อนวาดดอกไม้สองสามดอกเพิ่มลงไปบนหน้ากากชิ้นนั้นสักหน่อยก็คงแตกต่างกับเขาแล้ว
ล้วนต้องโทษตนเองที่วาดอย่างอื่นไม่ได้เรื่อง แต่พอวาดหน้ากากของเขากลับวาดได้อย่างง่ายดาย ผีตัวไหนเข้าสิงเป็นแน่แท้
เฉียวเวยถอนหายใจ “ถ้าเช่นนั้นทำอย่างไรท่านจึงจะหายโกรธ”
“เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า” จีหมิงซิวถามกลับ
สวี่ซื่อเจี๋ยลำบากนักกว่าจะลากร่างกายอันเหนื่อยล้าทำความสะอาดห้องสุขาจนเสร็จ เขาปวดเมื่อยหมดเรี่ยวแรงจนถึงที่สุด คิดจะขึ้นชั้นบนไปหาเฉียวเวยขอความดีความชอบสักหน่อย ได้ยินว่าเฉียวเวยอยู่ลำพังภายในห้อง เขาย่อมฉวยโอกาสได้สะดวก ไหนเลยจะรู้ว่าเขาเพิ่งผลักประตูเปิดก็เห็นภาพผิดจารีตที่มิอาจมองดูได้ เขาตกใจรีบร้อนถอยออกไป!
เมื่อเขาออกไปแล้วจึงเพิ่งตระหนักได้ว่าไม่ถูกต้อง สตรีผู้นั้นด้านในเหมือนจะเป็น ‘ภรรยา’ ของเขานะ
“ภรรยา!”
เขาผลักประตูเปิดอย่างแรง “เจ้าเป็นผู้ใด ปล่อยภรรยาข้า‘’”
จีหมิงซิวกำลังดื่มด่ำกับรสชาติโอชา จู่ๆ ถูกขัด ความโกรธจึงแผ่ออกมาทั่วร่าง
สวี่ซื่อเจี๋ยสาบานว่าตนไม่เคยเห็นสายตาที่เย็นชาเช่นนี้มาก่อน มันรู้สึกราวกับคมมีดกระหายเลือด แม้ห่างกันอยู่ครึ่งค่อนห้องแต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงไอสังหารหนักหน่วงนั่น อีกฝ่ายแต่งกายไม่ธรรมดา รูปร่างกำยำ บรรยากาศรอบตัวดูทรงอำนาจ เขาไม่สงสัยแม้แต่น้อยหากตนพูดเพิ่มอีกสักคำแล้วถูกเขาหักคอ
เขากลืนน้ำลายดังเอื้อก “ข้า…ข้า…ข้าจำคนผิด พวกท่านเชิญต่อ”
เขาขาอ่อนหันหลังกลับ
“ประตู” จีหมิงซิวเอ่ยขึ้นมา
สวี่ซื่อเจี๋ยไม่กล้าหันกลับ ยื่นแขนข้างหนึ่งออกไปทั้งแบบนั้น แล้วคลำสะเปะสะปะมาด้านหลัง สุดท้ายก็คลำถูกมือจับประตูจนได้ แล้วปิดประตูลงเบาๆ…
“ภรรยาหรือ” จีหมิงซิวมองไปทางเฉียวเวยอย่างหยอกล้อ แววตากำลังยิ้ม แต่กลับอันตรายจนทำให้คนขนลุกขนชัน
เฉียวเวยตอบสีหน้าจริงจัง “ท่านก็มิใช่ไม่รู้เสียหน่อยว่าข้าเคยแต่งงานแล้ว”
“เจ้ากระจอกนั่นน่ะนะ” นัยน์ตาของจีหมิงซิวฉายแววดูแคลนวูบหนึ่ง
เฉียวเวยอดกลั้นไม่ไหวต้องหัวเราะออกมา ความจริงตั้งแต่แรกนางก็ทราบแล้วว่าสวี่ซื่อเจี๋ยไม่มีทางเป็นบิดาของเด็กๆ กล่าวกันว่ามังกรให้กำเนิดลูกมังกร หงส์ให้กำเนิดลูกหงส์ ลูกของมุสิกย่อมขุดโพรงเป็น จิ่งอวิ๋นยอดเยี่ยมเช่นนี้ บิดาของเขาจะเป็นคนธรรมดาไม่ประสบความสำเร็จสักอย่างเช่นสวี่ซื่อเจี๋ยได้เช่นไร
ยิ่นอ๋องแม้จะสารเลวไปหน่อย แต่อย่างน้อยก็เคยได้อันดับหนึ่งในการสอบเสินถง แล้วยังมีสายเลือดของราชวงศ์ ความเป็นไปได้ที่จะเป็นเขามากกว่าสวี่ซื่อเจี๋ยอยู่เล็กน้อย
เพียงแต่นางรังเกียจยิ่นอ๋องอย่างแท้จริง จึงเก็บสวี่ซื่อเจี๋ยเอาไว้ขัดขวางยิ่นอ๋อง
“ไม่ใช่เขาก็เป็นคนอื่น ผู้ชายของข้าบางทีอาจยังไม่ตาย แต่เพียงพลัดพรากกับข้าเท่านั้น ย่อมมีสักวันที่เขาตามหาจนเจอ”
“เจ้าตั้งตาคอยมากหรือ”
“แน่นอนว่าไม่ได้ตั้งตาคอย” บุรุษที่ทอดทิ้งภรรยากับลูกมาหลายปี มีอะไรให้น่าตั้งตาคอย อีกอย่างหนึ่ง นางก็มิใช่เจ้าของร่างคนเดิม เจ้าของร่างแต่งงานหรือไม่แต่งงานกับใคร เกี่ยวอันใดกับนางเล่า ให้นางใช้ชีวิตไปวันๆ กับบุรุษที่ไม่เคยแม้แต่พบหน้าคนหนึ่ง นางยอมเป็นม่ายชั่วชีวิตเสียดีกว่า
จีหมิงซิวเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ตั้งตาคอยก็ดี”
ไม่อย่างนั้น…
เขาเองก็ไม่เคยเป็นคนดีอะไร
…
จีหมิงซิวไม่ได้เดินทางมาเอาเปรียบใครบางคนเท่านั้น จวนอัครมหาเสนาบดีได้ลิ้นจี่มาใหม่หนึ่งร้อยชั่ง เขาจึงนำไปมอบให้จีหว่านกับท่านย่าคนละส่วน ส่วนที่เหลือทั้งหมด จีหมิงซิวนำมามอบให้เฉียวเวย
เฉียวเวยแบ่งให้คนที่เหลาสุราคนละน้อย แล้วมอบให้เฉินต้าเตาสิบชั่ง ก่อนจากกันยังให้จีหมิงซิวเอาไปห้าชั่ง ส่วนที่ลิ้นจี่หนึ่งตระกร้าใหญ่ที่เหลือนางนำกลับไปบ้านตระกูลหลัว
การขนส่งสินค้าในยุคโบราณยังไม่พัฒนา ลิ้นจี่ส่งมาถึงเมืองหลวงได้ แต่ต่อให้ส่งมาถึงก็ไม่สดใหม่เท่าไรแล้ว แต่ของที่จีหมิงซิวนำมามอบให้แต่ละลูกล้วนอวบอ้วน ผลสีแดงใบสีเขียว เหมือนเพิ่งเด็ดลงมาจากต้น
คนบ้านตระกูลหลัวไม่เคยกินลิ้นจี่มาก่อน เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองยิ่งไม่ต้องพูดถึง เช้าตรู่วันต่อมายามทั้งสองลุกจากเตียง แล้วเห็นผลไม้สีแดงสดถาดใหญ่อยู่บนโต๊ะก็ตกตะลึงจนปากเกือบปิดไม่ลง
วั่งซูกะพริบตาถามว่า “ท่านแม่ นี่คือสิ่งใดหรือ”
“ลิ้นจี่” เฉียวเวยปอกเปลือกป้อนเข้าปากบุตรสาว “หวานหรือไม่”
วั่งซูกินไปคำหนึ่ง ดวงตาพลันเปล่งประกาย “หวานๆ! หวานนัก!”
หากมีน้ำแข็งสักหน่อยจะยิ่งหวาน น่าเสียดายในบ้านไม่มีห้องเก็บน้ำแข็ง ต่อให้ขนก้อนน้ำแข็งมาจากหรงจี้ไม่พ้นหนึ่งชั่วยามก็คงละลาย
เฉียวเวยปอกผลไม้อีกลูกให้บุตรชาย
จิ่งอวิ๋นก็ชอบรสชาติของลิ้นจี่เช่นกัน หวานหอม อร่อยยิ่งกว่าผลไม้ป่าที่ดีที่สุดบนภูเขา
ป้าหลัวกับหลัวหย่งจื้อและชุ่ยอวิ๋นทยอยชิมคนละเล็กละน้อยทีละคน พวกเขาต่างชื่นชอบผลไม้รสหวานหอมชนิดนี้ยิ่งนัก
“น้องสาว นี่เอามาจากที่ใดกัน รสชาติเยี่ยมจริงๆ!” หลัวหย่งจื้อเอ่ยถาม
“สหายมอบให้” เฉียวเวยปอกอีกลูกหนึ่งให้วั่งซู จิ่งอวิ๋นมองดูมารดาปอกอยู่หลายครั้งก็เรียนรู้ที่จะปอกเองได้
หลัวหย่งจื้อจี้ไม่ได้ถามต่อว่าสหายของน้องสาวเป็นผู้ใด น้องสาวมากความสามารถ จะรู้จักคนสูงศักดิ์ก็ไม่แปลก เขาถามว่า “ลิ้นจี่คงแพงมากสินะ ข้าไม่เห็นในตัวเมืองขายเลย”
เฉียวเวยไม่เคยซื้อลิ้นจี่ในยุคโบราณ แล้วก็ไม่เคยเห็นบันทึกที่เกี่ยวข้องกับด้านนี้ แต่ของหายากย่อมแพง ลิ้นจี่ในเมืองหลวงย่อมไม่ถูก เพียงแต่นางก็ไม่คิดว่าจะแพงไปถึงไหน “รอครั้งหน้าเขามาแล้วข้าจะลองถามดู”
ทุกคนล้วนชอบกินเช่นนี้ หากไม่แพง ตนเองก็จะซื้อกลับมาสักหน่อย
รับประทานอาหารเช้าเสร็จ เฉียวเวยก็หอบลิ้นจี่ออกมาสี่ชั่ง สองชั่งให้ซิ่วไฉเฒ่า สองชั่งให้จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูนำไปแบ่งเด็กๆ ในชั้นเรียน หลังจากนั้นจึงให้ชุ่ยอวิ๋นนำไปมอบให้บ้านตระกูลจ้าวเล็กน้อย
ชุ่ยอวิ๋นขอบคุณอย่างซาบซึ้ง ถือลิ้นจี้ไปให้บิดามารดากับเหล่าน้องชายได้ชิม
หลังจากนั้นเฉียวเวยก็หยิบใส่ตะหร้าคู่กับถั่วเขียวต้มยกไปให้บรรดานายช่างที่ลงแรงสร้างบ้านอยู่บนเขา
นายช่างเจิ้งเอ่ยล้อ “เจ้าไม่ต้องหาของอร่อยขนาดนี้มาบ่อยนักหรอก! ทำเอาทุกคนเกรงใจหมดแล้ว ทุกวันทำงานสุดแรงเกิด จนเวลาทำงานหดมาครึ่งหนึ่ง! เป็นเช่นนี้ต่อไป คงไม่ได้เงินกันพอดี!”
เงินค่าแรงจ่ายตามรายวัน ยิ่งลากยาวจึงยิ่งแพง บางครั้งทุกคนก็จะคุยเรื่องขีดจำกัดกันไว้ก่อน หากทำงานเสร็จก่อนขีดจำกัดจึงนับว่าเหมาะสม แต่ครั้งนี้บรรดานายช่างที่ลานก่อสร้างราวกับได้ฉีดเลือดไก่ ประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น
เฉียวเวยอดไม่ได้คลี่ยิ้ม “ผู้ใดให้บรรดานายช่างทั้งหลายล้วนคอยดูแลข้าเล่า!”
“ฮ่าๆ” ทุกคนหัวเราะอย่างเบิกบานใจ
พวกเขาในตอนนี้ยังไม่รู้ว่าลิ้นจี้เป็นของแพงมหาศาลปานใด เพียงคิดว่าเสี่ยวเฉียวเป็นคนใจกว้าง เงินค่าจ้างก็ให้มาก อาหารการกินก็ดี ปฏิบัติต่อนายช่างทั้งหลายก็ให้ความเคารพ สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือนางลำบากจริงๆ ตั้งแต่เช้าจรดค่ำทำการค้า ทำนา ล่าสัตว์ เลี้ยงลูก ความขยันของนาง ทุกคนล้วนเห็นอยู่กับตา ชวนให้คนนึกเอ็นดูยิ่งนัก
“ข้าขอบอกพวกเจ้า ผลไม้นี่อยากซื้อก็หาซื้อไม่ได้! เสี่ยวเฉียวจ่ายราคาแพงขนมาจากเมืองหลวง! กินเสร็จแล้วก็ทำงานให้ดีๆ ! อย่าให้ผิดต่อลิ้นจี่ของผู้อื่น!” นายช่างเจิ้งยามปกติเคร่งขรึม แต่ยามปลุกใจลูกน้องก็ไม่ด้อยแม้แต่น้อย
เฉียวเวยยิ้มแย้มลงจากเขา ‘สามี’ กำมะลอสองคนก็มาอีกแล้ว
ยิ่นอ๋องทั้งลงทั้งรากตลอดทั้งคืน จนฮ่องเต้ยังตกพระทัย คิดว่าบุตรผู้นี้ติดโรคร้ายอันใดมา ตระหนกจนรีบส่งคนไปตรวจอาการของเขาที่จวน หากติดโรคร้ายมาจริงก็จะส่งเขาออกจากเมืองหลวงไปอยู่ให้ห่าง เพื่อพิสูจน์ว่าตนร่างกายแข็งแรง ฟ้ายังไม่สว่าง ยิ่นอ๋องจึงฝืนลุกจากเตียง แม้สีหน้าจะซีดเผือดประหนึ่งพบเจอภูตผีมา
เฉียวเวยมองเขา ดวงตารูปเมล็ดซิ่งเบิกโต “คุณชายหลี่! ท่านถูกผีร้ายเล่นงานมาหรือไร สีหน้าจึงย่ำแย่เช่นนี้!”
เขาถูกผีร้ายเล่นงานหรือ เขากินของในบ้านนางเลยท้องเสียต่างหาก!
สงสัยจริงๆ ว่านางใส่บางอย่างลงในถั่วต้มหรือเปล่า แต่ถั่วต้มนั่น จิ่งอวิ๋นเป็นผู้ยกมา ไม่ใช่เขาคนเดียวที่กิน สวี่ซื่อเจี๋ยก็กินด้วย แต่สวี่ซื่อเจี๋ยไม่เห็นเป็นอะไร คิดว่าปัญหาคงมิได้อยู่ที่ถั่วต้ม
เขาไม่เชื่อเด็ดขาดว่าจิ่งอวิ๋นจะเล่นสกปรกกับถั่วต้ม ในความคิดของเขา จิ่งอวิ๋นชอบเขา ขอเพียงเขามาหาเพิ่มสักหลายครั้ง สร้างความสัมพันธ์กับจิ่งอวิ๋นให้ดี ถึงตอนนั้นต่อให้สตรีคนนี้ไม่ตามเขากลับจวน เขาก็พาจิ่งอวิ๋นกลับไปได้
ยิ่นอ๋องหยัดร่างที่โงนเงนเล็กน้อยให้ยืนมั่น แล้วมองนางอย่างเย็นชา แล้วเอ่ยว่า “ข้าเพียงอ่านหนังสือทั้งคืน นอนไม่พอก็เท่านั้น”
“คุณชายหลี่ขยันเสียจริง” เฉียวเวยตอบอย่างไม่ใส่ใจจบก็ไม่สนใจพวกเขาสองคน แต่ไปนั่งบนเก้าอี้แล้วเปิดกล่องอาหารออก เริ่มดื่มด่ำกับลิ้มจี่หวานอร่อย
ยิ่นอ๋องมองลิ้นจี้ที่ทั้งลูกโตทั้งสีแดงสดบนโต๊ะของนาง ทันใดนั้นคิ้วก็พลันขมวดอย่างเหลือเชื่อ “นี่มันลิ้นจี่หรือ”
“ใช่แล้ว คุณชายหลี่อยากลองชิมหรือไม่ แม้ท่านล่วงเกินข้า แต่ผู้มาเยือนล้วนเป็นแขก น้ำใจเท่านี้ข้ายังพอมีอยู่บ้าง” พูดพลาง เฉียวเวยก็ดันกล่องอาหารไปไว้ตรงกลางอย่างใจกว้างยิ่งนัก
จีหมิงซิวมอบให้มาหลายสิบชั่ง นางนำไปแจกครึ่งหนึ่ง เหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง เปลืองอย่างไรก็ไม่ปวดใจ
สีหน้าของยิ่นอ๋องฉาบย้อมหลากหลายอารมณ์ ทุกปีทางใต้จะส่งลิ้นจี่สดใหม่เข้าวังมาเป็นบรรณาการ หลังแบ่งลูกที่ใหญ่ที่สุดดีที่สุดให้องค์จักรพรรดิ ก็จะแบ่งสันปันส่วนให้พระสนมที่ได้รับความโปรดปรานทั้งหลายและทายาทจักรพรรดิอย่างพวกเขา เมื่อแบ่งมาถึงเขาก็มักจะเหลือเพียงไม่กี่ลูก แต่ที่ตัวนางกลับมีเต็มหนึ่งกล่องใหญ่ ไม่สิ ด้านข้างยังมีอีกตะกร้าเบ้อเริ่ม แต่ละลูกอวบอ้วน
ลิ้นจี่สดใหม่มากมายเช่นนี้ มาจากที่ใดกันแน่
ยิ่นอ๋องมองนางโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าลิ้นจี้ที่เป็นเครื่องบรรณการของราชสำนักปีนี้ยังส่งมาไม่ถึง”
“อ้อ” ไม่ถึงก็ไม่ถึงสิ นางมิได้ทำงานในราชสำนักเสียหน่อย ราชสำนักเองก็ไม่มีทางแบ่งให้นาง
ยิ่นอ๋องเห็นนางไม่เข้าใจความหมายของตน จึงเอ่ยตรงๆ “แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังไม่ทันได้เสวยลิ้นจี่” เจ้าหญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่งกลับได้กินแล้ว ไม่เพียงได้กิน แต่ของที่กินยังเป็นลิ้นจี่ชั้นยอด จากที่เขาเคยเห็นมา ฮ่องเต้ยังไม่เคยกินของดีเท่านี้เลย
เฉียวเวยขานตอบอย่างไม่ใส่ใจ ฮ่องเต้เสวยหรือยังไม่เสวย เกี่ยวอันใดกับนางเล่า
“ลิ้นจี่ของเจ้ามาจากที่ใด” ยิ่นอ๋องถามอย่างสงสัย
เฉียวเวยคายเมล็ดลิ้นจี่ออกมา “ท่านจะสนทำไมว่าข้าเอามาจากที่ใด ไม่ใช่ท่านมอบให้ก็แล้วกัน”
สวี่ซื่อเจี๋ยขยับเข้ามาใกล้แล้วชิมไปหนึ่งผล ไม่เสียทีเป็นลิ้นจี่ที่ทำให้หยางกุ้ยเฟยน้ำลายไหลยาวสามฉื่อ หวานเหลือเกิน อร่อยเหลือเกินจริงๆ!
เฉียวเวยเลือกแต่ลูกโตๆ ลูกเล็กๆ นางรังเกียจจึงไม่กิน
ยิ่นอ๋องขมวดคิ้วเป็นปมยิ่งกว่าเดิม ส่วนที่แบ่งสันปันส่วนมาให้เขาเมื่อปีกลาย ก็คือ…ลิ้นจี่ลูกเล็กที่ถูกเฉียวเวยรังเกียจไม่กินเหล่านั้น