บทที่ 197 หน้าหนาวที่หนาวเย็นของนอร์ซิน

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 197 : หน้าหนาวที่หนาวเย็นของนอร์ซิน

“สุดยอดเลย” เชอร์รี่อดอุทานอย่างทึ่ง ๆ ไม่ได้ “เขาจัดแจงทุกอย่างไว้หมดแล้ว”

เธอเหลือบมองสัญญาระหว่างคอนกรีฟและโบสถ์แห่งจุดสูงสุดก่อนจะส่ายหน้าแล้วพึมพำ “ไม่สิ อาจจะนานกว่านั้นอีกก็ได้…”

จากมุมมองของไวลด์ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสามฝ่าย หอการค้าแอช วิถีแห่งดาบอัคคีและตัวเขาเอง ซึ่งต่างก็เป็นตัวหมากที่เจ้าของร้านหลินวางเอาไว้

แต่ที่จริงแล้ว ที่ใจกลางเรื่องทั้งหมดยังมีโบสถ์แห่งจุดสูงสุดอยู่

แล้วคุณพ่อวินเซนต์จากโบสถ์แห่งจุดสูงสุดก็ติดต่อกับร้านหนังสือมาก่อนที่เจ้าหน้าที่ของหอการค้าแอชจะมาเยือนร้านหนังสืออีก

ยิ่งกว่านั้น เจ้าของร้านหลินยังให้เขาไปพบคล็อดที่ร้านข้าง ๆ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของอัศวินแห่งแสง หมายความว่าหอพิธีกรรมต้องห้ามก็พัวพันกับเรื่องนี้ด้วย

และยังมีบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์ที่มาตั้งป้ายไว้ที่หน้าร้านหนังสืออย่างอธิบายไม่ถูกอีก

คุณหลินมีลูกค้ามากกว่าที่เชอร์รี่กับไวลด์ได้เห็นมาก…

เชอร์รี่รู้สึกจนปัญญาเล็กน้อย ความห่างชั้นระหว่างเธอกับเจ้าของร้านหลินกว้างขึ้นอีกแล้ว

แต่ละครั้งที่เธอรู้สึกเหมือนว่าเธอกำลังพัฒนา สิ่งที่เธอเรียนรู้หลังจากนั้นก็มักจะบอกเธอว่าเธอยังไม่เหมาะสมอย่างมากอยู่ดี และเป็นเพียงหนึ่งในตัวเบี้ยหลาย ๆ ตัวของเจ้าของร้านหลินเท่านั้น

ในขณะเดียวกัน ไวลด์นั้นอยู่ในสภาวะตื่นเต้นกระสับกระส่าย เขาเดินไปเดินมาอย่างตื่นเต้น “สมกับที่เป็นเจ้าของร้านหลินจริง ๆ ฉันได้รับคำสอนจากเขาอย่างสมบูรณ์แล้ว! นี่คือมุมมองของผู้ทรงปัญญา พระเจ้าและผู้กอบกู้ นายท่านผู้รู้ทุกสิ่ง!”

ทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้อาจจะดูเหมือนเรื่องบังเอิญ แต่ก็ยังมีสัญญาที่ชัดเจนว่าแต่ละเรื่องนั้นล้วนแต่เป็นการเคลื่อนไหวที่คิดมาอย่างถี่ถ้วนแล้วของเกมหมากรุกที่สมบูรณ์แบบเกมหนึ่ง!

บางที คนบางคนอาจคิดว่าอำนาจยิ่งใหญ่เคลื่อนฟ้าสะเทือนดินได้จะเป็นเครื่องหมายของยอดฝีมือที่แท้จริง

ทว่าไวลด์คิดว่าตัวตนแบบนี้ที่มีจิตใจและความสามารถที่จะคำนวณเรื่องยิบย่อยให้ลงตัวได้นี้ต่างหากที่เป็นอำนาจไร้ผู้เทียบเทียมอย่างแท้จริง!

จะมีใครที่สามารถดีดเส้นด้ายชะตากรรมของคนอื่น ๆ อย่างสบายใจเฉิบแล้วทำให้ไพ่ทุกใบเรียงตัวกันได้อย่างงดงามได้เพียงการดันเบา ๆ ครั้งเดียวบ้าง?

มันสามารถอธิบายได้ว่าเป็นเรื่องที่ผ่านการเรียบเรียงมาอย่างดี ถึงจะแปลกไปหน่อย แต่ไวลด์ก็รู้สึกราวกับว่าเจ้าของร้านหลินกำลังจัดห้องของตนเองอยู่โดยนำทุกคนไปวางไว้ในที่ที่สมควร แล้วให้พวกเขาทำในสิ่งที่พวกเขาควรทำอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

“นี่คือความแข็งแกร่งที่มีแค่พระเจ้าเท่านั้นที่จะมีได้อย่างแท้จริง!”

ไวลด์ตะโกนสรรเสริญเจ้าของร้านหลินในใจซ้ำ ๆ หลายต่อหลายครั้ง

แล้วเขาก็คิดว่าบางที กัล…หรือเจ้าของร้านหลินจะหยั่งรู้ถึงเขาด้วย?

นั่นสินะ เจ้าของร้านหลินรู้ถึงความรู้สึกลึกล้ำต่อศิษย์ทั้งสองของเราที่คนหนึ่งตายไปอย่างไม่คาดฝัน แล้วอีกคนก็ยังมาทรยศเรา เพราะงั้นเขาต้องมอบโอกาสนี้ให้เราได้เริ่มใหม่แน่ ๆ

เฮ้อ…เหมือนเคย เจ้าของร้านหลินใส่ใจลูกค้าของเขาจริง ๆ!

ในขณะที่ไวลด์ยังคงซาบซึ้งสุด ๆ นั้นเอง เขาก็มองไปที่เชอร์รี่ ลูกค้าอีกคนของร้านหนังสือที่กำลังครุ่นคิดอย่างหม่นหมองอยู่

“เชอร์รี่ แชปแมนใช่ไหม?” ไวลด์เอ่ยถาม

“ค่ะ” เชอร์รี่พยักหน้า “เรียกฉันแค่เชอร์รี่ก็ได้ค่ะ”

ไวลด์หยิบนกหวีดกระดูกจากกระเป๋าเสื้อคลุมสีดำของเขาออกมายื่นให้

เชอร์รี่รีบร้อนรับมันมาแล้วถามอย่างอ้อมแอ้ม “นี่คืออะไรเหรอคะ?”

“คิดซะว่าเป็นที่ระลึกการร่วมมือกันครั้งแรกของเราในฐานะลูกค้าร้านหนังสือเหมือนกันแล้วกัน” ไวลด์ว่า

ไวลด์ยิ้มพลางคิดว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งในแผนของเจ้าของร้านหลิน งานที่เขาทำไม่ได้เสียเปล่า การที่ได้รับใช้เจ้าของร้านหลินเป็นเกียรติสำหรับคนอย่างเขาแล้ว

เชอร์รี่เพ่งพินิจมันอย่างระมัดระวังแต่ก็ยังไม่รู้ว่ามันเป็นอุปกรณ์เวทแบบไหน ไวลด์จึงอธิบาย “ถ้าเป่านกหวีดนี้ เธอจะอัญเชิญเกรดี้ออกมาได้ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหน”

ไวลด์เอื้อมไปลูบที่หลังคอของเกรดี้ เกรดี้หลับตาลงแล้วเห่าเบา ๆ อย่างร่าเริงไม่ต่างจากสุนัขทั่วไป

ถ้าไม่ใช่ว่าเชอร์รี่ได้เห็นมาแล้วกับตา เธอคงไม่เชื่อว่าสัตว์เลี้ยงน่ารักตัวนี้จะเป็นสัตว์ประหลาดตัวยักษ์น่าเกลียดน่ากลัวได้

อัญเชิญมันมาเหรอ?

มันก็เท่ากับการอัญเชิญผู้ช่วยระดับภัยพิบัติมาน่ะสิ!

“ขอบคุณมากสำหรับของขวัญค่ะ” เชอร์รี่กำนกหวีดกระดูกไว้แน่นด้วยรู้ว่านี่คือการแสดงความเมตตาของไวลด์

ไม่ช้าก็เร็ว ลูกค้าของร้านหนังสือก็ต้องเจอกัน และด้วยความสัมพันธ์ที่มีร่วมกัน มันก็ย่อมง่ายที่พวกเขาจะสร้างสัมพันธ์กันได้

แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ยังต้องระวังกันไว้ด้วย เพราะตราบใดที่เป็นเรื่องของคน มันก็ต้องมีก๊กมีเหล่า

อาจจะมีลูกค้าแปลกหน้าหรือคนที่พวกเขาไม่รู้จักในหมู่ลูกค้าด้วย และพวกเขาก็อาจจะเป็นอุปสรรคหรือศัตรูก็ได้

ยกตัวอย่างก็ไวลด์กับโจเซฟ หอการค้าแอชกับบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์

แต่สำหรับผู้ที่ไม่มีความแค้นใด ๆ ต่อกัน มันก็เป็นไปได้ที่จะพึ่งพากัน…

ใครลงมือก่อน คนนั้นได้เปรียบ!

เชอร์รี่มองขึ้นมาแล้วพูด “เพื่อตอบแทน ถ้ามีวัตถุดิบอะไรที่คุณต้องการก็บอกฉันได้เลยนะคะ ในฐานะรองหัวหน้าสาขาของหอการค้าแอช ตราบใดที่หอการค้าแอชมีมัน ฉันก็จะหาอะไรก็ตามที่คุณต้องการมาให้ได้เลยค่ะ”

มูลค่าของผู้ช่วยระดับภัยพิบัติเช่นนี้ประเมินไม่ได้ และเชอร์รี่ก็เต็มใจทำทุกทางเพื่อลากเขามาเข้าพวก

ไวลด์หัวเราะก่อนตอบ “ถ้าให้กันเฉย ๆ น่ะไม่จำเป็นหรอก ฉันไม่ได้ขาดเงินทองอะไร แต่คงจะเป็นเรื่องโกหกถ้าจะพูดว่าฉันไม่ขัดสนทรัพยากร ในฐานะนักเวท ยังมีอีกหลายพื้นที่เลยที่ต้องทดลองอีกหลายต่อหลายครั้ง และการเสียทรัพยากรก็เลี่ยงไม่ได้”

“ถ้าเธอจัดหามาได้ ฉันก็พร้อมจะซื้อวัตถุดิบพวกนั้นด้วยราคาตลาดนะ”

ไวลด์พูดต่อ “บางทีอาจจะมีสักวันในอนาคตที่ฉันอาจต้องการความช่วยเหลือจากเธอมากกว่านี้ก็ได้ หวังว่าฉันจะได้ยินข่าวที่เชอร์รี่ แชปแมนได้กลายเป็นหัวหน้าสาขาของหอการค้าแอชในอนาคตอันใกล้นะ”

เชอร์รี่ยิ้มตอบ ซึ่งเป็นการแสดงว่าการร่วมมือขั้นแรกของพวกเขาเริ่มแล้ว

ตราบใดที่ผลประโยชน์ตรงกัน การตั้งพันธมิตรก็ทำได้ง่าย ๆ

ยิ่งกว่านั้น ทั้งสองยังมีสายใยที่มั่นคงในฐานะลูกค้าร้านหนังสือเหมือนกันและเชื่อว่าทุกอย่าง รวมไปถึงการร่วมมือนี้ต่างก็ถูกเรียบเรียงไว้โดยเจ้าของร้านหลินด้วย

“ฮัดชิ้ว!”

หลินเจี๋ยจามอยู่ที่เก้าอี้ของเขา

เขาหนาวเล็กน้อย จึงให้มูเอนปิดประตูร้าน

“อากาศช่วงนี้หนาวหน่อย ๆ แฮะ เวลาเปลี่ยนไปเร็วจริง ๆ ดูเหมือนว่านอร์ซินกำลังจะเข้าสู่ฤดูหนาวอันหนาวเย็นแล้ว” หลินเจี๋ยทอดถอนใจ

โจเซฟผู้เกือบโดนมูเอนปิดประตูร้านหนังสือใส่หน้าใช้มือของเขาจับประตูไว้แล้วแทรกตัวเข้ามาด้วยสีหน้าตกใจ

เมื่อกี้นี้เขาเพิ่งสงสัยอยู่ว่าทำไมตัวตนที่แข็งแกร่งทุกด้านอย่างเจ้าของร้านหลินจึงจามได้

นี่เป็นอะไรที่ไม่มีทางเกิดอย่างแน่นอน แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว…

แล้วเมื่อเขาได้ยินคำพูดที่ตามมา เขาก็พบทางสว่าง

จากประสบการณ์ของเขาแล้ว พฤติกรรมผิดปกติของเจ้าของร้านหลินต้องมีความหมายบางอย่าง

เจ้าของร้านหลินทำเช่นนี้เป็นข้ออ้างที่จะเน้นถึงควาหมายที่ลึกล้ำกว่าของคำพูดส่วนหลังของเขาที่ว่า ‘ฤดูหนาวอันหนาวเย็น’

ฤดูหนาวเป็นฤดูที่รุนแรง และมันกำลังจะมาเยือนนอร์ซินในไม่ช้า นี่หมายถึงบทโหมโรงแห่งการเข่นฆ่า และเมื่อนำเรื่องราวในช่วงนี้มาพิจารณา มันก็หมายความว่าโบสถ์แห่งจุดสุงสุดจะได้เผชิญกับภัยพิบัติในไม่ช้า

แล้วเจตนาของเจ้าของร้านหลินก็คือ จะถามว่าเราจะเริ่มลงมือเลยไหมเหรอ?

“โจเซฟ?” เจ้าของร้านหลินเงยหน้าขึ้นมองอย่างงุนงงเล็กน้อย “ทำไมยังยืนเหม่ออยู่ตรงนั้นล่ะครับ?”

“กลัวผมวางกับดักไว้ให้คุณที่นี่เหรอ?”

โจเซฟสะดุ้ง…กับดักเหรอ?!