ตอนที่ 204 ศึกใหญ่ในสถาบัน 12

สตรีมเมอร์สาว กินพิชิตอวกาศ

ตอนที่ 204 ศึกใหญ่ในสถาบัน 12

ชาวเน็ตทั้งหลายนิ่งเงียบ

ความจริงแล้ว ยุคสมัยโบราณก่อนจะเกิดยุคสมัยของเอเลี่ยน ผู้คนที่มีพลังดวงดาวก็เคยเป็นบุคคลธรรมดากันมาก่อน ด้านหนึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบการต่อสู้ป้องกันตัว ส่วนอีกด้านหนึ่งก็มีหน้าที่รับผิดชอบด้านการขนส่ง

แต่เมื่อเอเลี่ยนปรากฏตัวขึ้น อาวุธธรรมดาเหล่านั้นไม่สามารถทำอันตรายเหล่าเอเลี่ยนได้ จึงมีเพียงพลังดวงดาวเท่านั้นที่สามารถต่อกรกับเอเลี่ยนได้ และในที่สุดคนธรรมดาก็ค่อย ๆ ปลีกตัวออกจากสนามรบ

อีกทั้งพวกเขาไม่ยังสามารถเข้าร่วมกองทัพสถาบันการวิจัยได้ เพียงเพราะพวกเขาไม่สามารถเข้าใจถึงพลังดวงดาวและไม่สามารถเข้าใจการใช้อาวุธได้ จึงถอนตัวออกจากสถาบันการวิจัยในที่สุด

จากนั้นคนธรรมดาก็เริ่มกลายเป็นสามัญชนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่สามารถหางานที่เหมาะสมได้ เพราะศักยภาพทางร่างกายของพวกเขาอ่อนแอเกินไป แม้แต่การกระแทกเล็กน้อยยังสามารถทำให้พวกเขาเจ็บปวดได้ โรงงานหลายแห่งจึงลังเลที่จะตอบรับพวกเขา

ท้ายที่สุด พวกเขาก็จึงทำได้เพียงซ่อนตัวอยู่ในชุมชนแออัด และรอคอยเสบียงจากจักรวรรดิเท่านั้น

ทว่าจักรวรรดิต้องจัดสรรงบประมาณให้กับกองทัพทุกปี ความเป็นอยู่ของประชากรจึงมีอุปสรรคมากมาย คุณภาพชีวิตของประชากรธรรมไม่ได้ดีมากนัก แล้วแบบนี้จะพัฒนาชุมชนแออัดได้อย่างไร?

จึงทำได้เพียงรับประกันว่าทุกคนจะไม่อดตายเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น พวกหัวรุนแรงทั้งหลายคิดว่าคนในชุมชนแออัดเหล่านั้นกำลังทำให้จักรวรรดิเดือดร้อน จึงร้องเรียนให้ส่งคนที่ไร้ซึ่งพลังดวงดาวไปที่ดาวเคราะห์เกษตรกรรม แต่โชคดีที่จักรวรรดิมีมนุษยธรรมมากพอ จึงไม่ได้ทำเช่นนั้น

ดาวเคราะห์เกษตรกรรมมักจะถูกเหล่าเอเลี่ยนโจมตีได้ง่าย หากคนธรรมดาไปที่นั่น พวกเขาจะถูกเหล่าเอเลี่ยนโจมตีและกวาดล้างภายในครั้งเดียวอย่างแน่นอน

[เป็นฉันเองที่ใจแคบ! องค์หญิงสามเป็นผู้หญิงแหวกแนวที่จิตใจงดงามที่สุดในจักรวาล!]

[ฮึ่ม! สิ่งที่องค์หญิงสามพูดมันก็ดีอยู่หรอกนะ แต่เธอบอกว่าจะสอนอะไรคนพวกนั้นนะ? แล้วสถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ไหนบ้างจะเต็มใจต้องการพวกเขาจริง ๆ?]

[ถึงแม้ว่าสิ่งที่คอมเมนต์บนพูดจะไม่ใช่เรื่องน่าฟัง แต่มันก็ถูกต้อง ตำราที่พวกเราเรียนมีแต่เรื่องพลังดวงดาวทั้งนั้น นอกจากเรื่องพลังดวงดาวแล้ว จะมีอะไรอีก? นอกจากเนื้อหาด้านประเพณีพวกนั้น มีอะไรให้เรียนอีกไหม? พอเรียนไปแล้วจะเอาไปใช้อะไรได้บ้าง?]

[อย่าพูดแบบนั้นเลย องค์หญิงสามเป็นคนจิตใจดีนี่น่า ถึงพวกเราจะไม่ได้มองโลกในแง่ดีขนาดนั้น แต่ก็อย่าบั่นทอนกันไปหน่อยเลย!]

[ฉันรู้ว่าพวกคุณกำลังกังวล! องค์หญิงสามไม่เพียงแต่จะทำให้คนในชุมชนแออัดร่ำรวยขึ้น แต่ผู้คนในชุมชนแออัดยังตื่นเต้นกันมาก! ฉันซาบซึ้งจังที่ได้เห็นแบบนั้น!]

[ซาบซึ้ง? ความซาบซึ้งมีค่าแค่ไหนกัน? ถ้ามีเงินพอที่จะสร้างโรงเรียน ทำไมไม่คิดหาหนทางให้คนธรรมดาพวกนั้นมีพลังดวงดาวซะล่ะ!]

[คอมเมนต์บนโง่หรือเปล่า? ถ้าเกิดค้นหาวิธีได้ คงทำมันไปนานแล้วล่ะ!]

ชาวเน็ตทั้งหลายมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน

ผู้คนจำนวนมากไม่สามารถมองเห็นข้อดีของการสร้างโรงเรียนแห่งนี้ ไม่มีเหตุผลอื่นใด เพียงแต่ทฤษฎีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันมีพื้นฐานมาจากพลังงานดวงดาว หากคนธรรมเหล่านั้นต้องการเรียนรู้ พวกเขาจะเรียนรู้อะไร? นั่นหมายความว่าจะต้องสร้างทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ฉบับใหม่ขึ้นมา!

สวี่หลิงอวิ๋นรู้สึกไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้มากนัก หากตอนนี้ไม่เร่งรีบให้คนธรรมดาเหล่านั้นศึกษาเรียนรู้ พวกเขาจะยิ่งสับสนในอนาคตมากขึ้น

ใช่ พวกเขาสามารถเรียนรู้งานหัตถกรรมได้ เรียนรู้ที่จะสร้างสรรค์ได้ เพียงแต่ถูกปิดกั้นเท่านั้น!

ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เคยเผชิญกับคนในชุมชนแออัดโดยตรงหน้า แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา รายการถ่ายทอดสดและข้อมูลบางส่วนล้วนแสดงให้เห็นว่าผู้คนที่นี่มีความมืดหม่นและมึนงงมากแค่ไหน พวกเขาไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เริ่มจนถึงอนาคตข้างหน้า

แล้วพวกเขาจะรู้สึกสับสนเกี่ยวกับอนาคตมากแค่ไหน?

การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยสำหรับพวกเขา ก็สามารถทำให้พวกเขาเปล่งประกายจนมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้ ดูเสียเถิดว่าพวกเขากระตือรือร้นจะเปลี่ยนแปลงตนเองมากเพียงใด?!

“แม่เห็นด้วย!” ขณะที่จักรพรรดิกำลังจมดิ่งอยู่กับความรู้สึกที่ว่า ‘ลูกสาวของเราใจดี’ กับ ‘ลูกสาวของข้าช่างเหมือนเราเหลือเกิน’ จักรพรรดินีก็เข้ามาร่วมบทสนทนาด้วย

ทันทีที่จักรพรรดินีผู้สง่างามเข้ามามีส่วนร่วม ความโกลาหลก็บังเกิดทันที

จักรพรรดินีไม่ค่อยปรากฏตัวต่อสาธารณชนมากนัก แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอปรากฏตัว เธอมักจะสามารถพิชิตใจพลเมืองทั่วทั้งจักรวรรดิได้ด้วยรัศมีอันแข็งแกร่ง

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในสายตาของประชาชน จักรพรรดินีมีความน่าเชื่อถือว่ามากกว่าจักรพรรดิ!

[จักรพรรดินีเห็นด้วย!] ชาวเน็ตจ้องหน้าจอแสดงผลเป็นเวลานาน ก่อนจะมีท่าทีตอบสนอง

[จักรพรรดินีจิตใจงดงามเหลือเกิน! แง ๆๆ! ซึ้งใจมากเลยเพคะ!]

เมื่อมองดูใบหน้าที่จริงจังของจักรพรรดินีผู้เต็มไปด้วยความสูงส่งและสง่างาม เมื่อจ้องมองจักรพรรดิที่กำลังส่งยิ้มมาให้ โธ่เอ๊ย!

ท่านจักรพรรดินี ท่านไปตกหลุมรักท่านจักรพรรดิได้อย่างไร?!

[ท่านจักรพรรดินี มองมาที่ฉัน มองมาที่ฉันหน่อยเพคะ! ฉันเป็นแฟนคลับของท่าน!]

[ฉัน ฉัน ฉันด้วย! ฉันชอบท่านมากเลยเพคะ!]

ใบหน้าของสวี่หลิงอวิ๋นบูดบึ้ง ให้ตายเถอะ ตัวเธอไม่น่าเชื่อถือหรือไงกัน ทันทีที่เสด็จแม่ปรากฏตัว ก็สามารถปราบกลุ่มคนจู้จี้จุกจิกพวกนั้นได้ทันทีเชียวหรือ?

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองดูเสด็จแม่นั่งอยู่ด้านข้างเสด็จพ่อในห้องถ่ายทอดสด ตัวเธอที่นั่งอยู่กับเสด็จพ่อก่อนหน้านี้ยังไม่ดูดีเท่าเสด็จแม่ผู้สง่างามเลยด้วยซ้ำ

“จักรวรรดิของเราไม่เคยย่อท้อต่อประชากรธรรมดา อันที่จริง จักรพรรดิตระหนักอยู่เสมอว่าจะก่อตั้งถิ่นที่อยู่ใหม่ให้เหมาะสมกับประชากรในชุมชนแออัดได้อย่างไร แต่ท้องพระคลังว่างเปล่ามานานหลายปีแล้ว และไม่สามารถเปลี่ยนถิ่นฐานใหม่ตามใจต้องการได้”

“เราจึงอยากจะใช้โอกาสนี้ ตามที่องค์หญิงกล่าวเอาไว้ว่าจะสร้างโรงเรียนให้แก่ประชาชนธรรมดา”

“ส่วนชาวเน็ตทั้งหลายที่วิตกกังวลเกี่ยวกับหลักสูตรการเรียนรู้ พวกเราจะทำตามหน้าที่ชี้แจ้งให้กับพวกท่านแน่นอน ไม่ต้องกังวลไป” จักรพรรดินีกล่าวออกมาอย่างสุภาพ “อันที่จริง เมื่อนานมาแล้วมีผู้วิจัยบางคนเสนอให้เริ่มวิจัยยานอวกาศและเครื่องจักรกลที่ไม่ต้องใช้พลังดวงดาว”

“โชคดีที่กลุ่มผลิตภัณฑ์พวกนี้ไม่ต้องใช้พลังดวงดาวและพลังจิต ดังนั้นพวกท่านจะได้เห็นกันในอีกไม่ช้านี้!”

“ใช่แล้ว!” จักรพรรดิรับช่วงต่อผู้เป็นมเหสี “พวกท่านยังจำการต่อสู้ของเผ่าพันธุ์ราชาเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนได้หรือไม่?”

แน่นอนว่าจำได้!

สงครามที่น่าสลดใจระหว่างมนุษยชาติกับเอเลี่ยนเผ่าพันธุ์ราชา มนุษย์ชนชั้นสูงจำนวนนับไม่ถ้วนเข้าร่วมการต่อสู้ แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญระดับ 10 ดาวทั้งสองคนก็ยากที่คว้าชัยชนะกลับมา

หลังจากเอเลี่ยนเผ่าพันธุ์ราชาปลดประจำการ เหล่ามนุษยชาติพันธุ์ก็กลับมามีลมหายใจที่มั่นคงอีกครั้ง

“ถึงแม้เราจะไม่อยากบอกความจริงในโศกนาฏกรรมครั้งนั้นแก่พวกท่าน แต่ในเมื่อองค์หญิงสามยกประเด็นนี้ขึ้นมา เราก็ไม่อยากจะปิดบังพวกท่านอีกต่อไป” จักรพรรดิถอนหายใจ

ชาวเน็ตกลั้นหายใจ ขณะรอจักรพรรดิเล่าประวัติศาสตร์อันแสนบอบช้ำเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ชายชราหลายคนยังจำสงครามนั้นได้ดี

จักรวรรดิระหว่างห้วงดวงดาวหลายแห่งร่วมมือกันต่อสู้กับเอเลี่ยนเผ่าพันธุ์ราชาที่นำมาซึ่งการโจมตีของเอเลี่ยนนับหลายร้อยล้านตัว

เครื่องบินรบจำนวนนับไม่ถ้วนถลาลงจากฟากฟ้าราวกับดอกไม้ไฟ ผู้คนมากมายส่งเสียงร้องไห้กันระงม และผู้คนอีกจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังตั้งจิตอธิษฐาน

มหาอำนาจระดับ 10 ดาวทั้งสองคนจับกุมเอเลี่ยนเผ่าพันธุ์ราชาด้วยเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา และจบชีวิตลงเพื่อกอบกู้ลมหายใจของมวลมนุษย์

“เหตุผลที่เราเล่าโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ให้พวกท่านฟัง เพราะว่าเอเลี่ยนเผ่าพันธุ์ราชาจำนวนสองตัวจะมีความสามารถทำให้ผู้คนสูญเสียพลังดวงดาวและพลังจิตได้”

เรื่องราวนี้เปรียบดั่งค้อนขนาดใหญ่ที่ทุบตีชาวเน็ตจนตกตะลึงไปชั่วขณะ!

นั่นคือเหตุผลทั้งหมดสินะ!

มหาอำนาจสิบดาวเลือกที่จะจบชีวิตไปพร้อมกับเอเลี่ยนเผ่าพันธุ์ราชาทั้งสองตัวใช่ไหม?