ตอนที่ 41 ซูซูเมะ
ป่าผู้พิทักษ์
นั่นคือชื่อป่าที่เหล่าคิจินเรียกผืนป่าที่กว้างใหญ่นี้ ซึ่งต่างจากมนุษย์ที่เรียกมันว่าป่าทีทิส
ซูซูเมะเป็นผู้เหลือรอดคนสุดท้ายของเผ่าคามูนะที่มีหน้าที่ในการปกป้องป่าแห่งนี้
เดิมทีแล้วหมู่บ้านคามูนะนั้นเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีประชากรคิจินอาศัยอยู่กว่าร้อยคน
พวกเขาอาศัยอยู่โดยตั้งกฎเอาไว้ว่าหากไม่ถูกโจมตีก่อนก็จะไม่ตอบโต้อะไรตราบใดที่พวกมนุษย์ไม่เข้ามาทำลายผืนป่าแห่งนี้พวกเขาก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว
แต่สิ่งที่มนุษย์ทำกับหมู่บ้านคามูนะแห่งนี้คือการกวาดล้าง เมื่อประมาณ 50 ปีที่แล้วหมู่บ้านคามูนะถูกทำลายโดยกองทัพซามูไรที่มาจากทางตะวันออก
ถึงแม้เหล่าคิจินจะพยายามต่อสู้กันอย่างถึงที่สุด แต่ด้วยพลังของเหล่าซามูไรที่มีอย่างท่วมท้นทำให้มีผู้รอดชีวิตเหลือเพียงแค่ 7 คน
ทั้งหมดนั้นเป็นผู้สูงวัยและเด็กที่ไม่สามารถต่อสู้ได้
พ่อกับแม่ของซูซูเมะก็เป็นหนึ่งในเด็กพวกนั้น
หลังจากเกิดเรื่องนั้น คิจินที่เหลือรอดก็ได้เริ่มกลับมาใช้ชีวิตกับตามปกติภายในบาเรียแห่งนี้แทน แต่ถึงจะบอกแบบนั้นสำหรับเด็กและผู้สูงวัยแล้วการใช้ชีวิตภายในป่าที่มีพวกสัตว์อสูรวิ่งพล่านเต็มไปหมดก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
ผู้คนเริ่มล้มป่วย บางคนก็กลายเป็นอาหารของพวกสัตว์อสูร บางคนก็อดตายเพราะต้องแบ่งอาหารให้กับพวกเด็กเล็กของพวกเขา
คิจินค่อยๆ ลดจำนวนลงเรื่อยๆ
ในตอนที่ซูซูเมะลืมตาดูโลก หมู่บ้านนี้ก็เหลือเพียงพ่อกับแม่ของเธอแล้ว
แต่ปัจจุบันทั้งสองท่านก็ได้ตายจากไปแล้ว พ่อของเธอไม่กลับมาอีกเลยหลังจากที่เขาบอกจะออกไปล่าสัตว์ตอนเธออายุได้ 3 ขวบ ส่วนแม่ของเธอก็ตายเพราะโรคเมื่อตอนเธออายุ 6 ขวบ
ตลอด 7 ปีที่ผ่านมานี้ซูซูเมะจึงต้องปกป้องหมู่บ้านคามูนะด้วยตัวคนเดียว
เธอจะออกไปหาผลไม้ ถั่ว พืชต่างๆ ภายในป่าตอนช่วงพระอาทิตย์ขึ้นและกลับมาที่หมู่บ้านเพื่อทำความสะอาดบ้านเรือนและถนนในหมู่บ้าน
นั่นคือสิ่งที่แม่ของเธอทำตอนยังมีชีวิตอยู่ พอแม่ของเธอจากไปเธอจึงรับหน้าที่นั้นมาโดยปริยาย
“เพราะว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะกลับมา”…ซูซูเมะยังจำรอยยิ้มที่ดูเหงาหงอยบนใบหน้าของแม่เธอขณะพูดออกมาได้ดี
นอกจากนี้สิ่งที่ซูซูเมะได้รับมาจากแม่ของเธออีกอย่างหนึ่งก็คือพิธีการเซ่นไหว้และระบำถวายให้กับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ทางทิศเหนือของหมู่บ้าน
มันเป็นพิธีกรรมที่ใช้ในการสะกดงูยักษ์ให้ซึ่งหลับใหลอยู่ใต้ผืนดินของป่าแห่งนี้
พิธีกรรมดังกล่าวจะถูกส่งต่อมาจากรุ่นสู่รุ่นภายในหมู่บ้านคามูนะ พ่อแม่ของซูซูเมะนั้นจะจัดหาอาหารไปเซ่นไหว้สิ่งนั้นทุกครั้ง แม้ว่านั่นจะทำให้อาหารของพวกเขาน้อยลงไปก็ตาม
แม่ของเธอไม่เคยจะหยุดทำพิธีกรรมดังกล่าวเลยแม้จะล้มป่วยก็ตาม แต่เมื่อถึงเวลาที่แม่ของเธอรู้ตัวแล้วว่าตนคงไปต่อไม่ไหว เธอจึงได้เรียนรู้วิธีการเต้นรำถวายเพื่อทำพิธีสืบทอดมาจากแม่ของเธอ
เหตุผลที่ซูซูเมะถูกราชาแมลงวันจับตัวไปก่อนหน้านี้ก็เพราะอาหารที่เธอหาได้บริเวณนี้มันไม่เพียงพอ เธอก็เลยต้องเสี่ยงออกไปไกลกว่าเขตของตนเพื่อหาอาหาร
ในตอนนั้นเองคือตอนที่เธอพบกับมนุษย์คนหนึ่ง และได้รับการช่วยเหลือจากเขา
…พอมานึกดูตอนนั้นก็น่าจะเป็นครั้งแรกเลยมั้งที่เธอได้พูดกับใครสักคนตั้งแต่แม่ของเธอจากไป
จนถึงตอนนี้เธอพยายามอย่างหนักมาโดยตลอดเพื่อมีชีวิตรอดและไม่คิดจะพึ่งพาใคร
ต้องขอบคุณบาเรียที่กางอยู่ในหมู่บ้านซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้พวกสัตว์อสูรเข้ามาโจมตี แต่สัตว์เล็กจำพวก กระรอก กระต่าย เม่น หรือนกตัวเล็กๆ นั้นยังสามารถเข้ามาในนี้ได้ เธอจึงมักจะเข้าไปคุยกับพวกมันฝั่งเดียวเพื่อเป็นการคลายเหงา
พ่อแม่ของเธอสอนเธอตลอดว่าให้ระวังพวกมนุษย์เอาไว้เพราะพวกเขาต้องการเขาของเธอ เธอจึงไม่เคยคิดที่จะออกจากป่านี้ไปยังเมืองของพวกมนุษย์เลย
ทว่ามุมมองที่เธอมีต่อมนุษย์ก็เริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อยตั้งแต่เกิดเรื่องนั้น
พวกเขาไม่ใช่มอนสเตอร์ที่พอเห็นคิจินแล้วตาจะเปลี่ยนสีก่อนจะโจมตีอย่างบ้าคลั่ง หากได้ลองพูดคุยกันดูก็จะพบว่า พวกเขาสามารถสื่อสารและหัวเราะไปด้วยกันได้
นั่นก็เลยเป็นเหตุผลที่เมื่อเธอเห็นมนุษย์หลงทางเข้ามาในป่า เธอจึงเข้าไปให้ความช่วยเหลือและบอกทางกลับไปยังเมืองอิชกะ โดยใช้เส้นทางตามแม่น้ำอย่างที่เธอไม่เคยคิดจะทำมาก่อน
ถึงมนุษย์คนนั้นจะแตกต่างจากคนที่ช่วยเธอตอนอยู่ที่ถ้ำของราชาแมลงวันไปบ้าง แต่เนื่องจากเขาก็เป็นมนุษย์เหมือนกันเธอก็เลยถือว่าทำไปเพื่อตอบแทนบุญคุณ
เธอย่อมไม่เคยคิดมาก่อนอยู่แล้วว่าคนที่เธอช่วยไว้จะขายข้อมูลของเธอให้กับพวกพ่อค้าทาส ก็คงไม่แปลกอะไรเพราะเธอเป็นเพียงเด็กอายุ 13 ปี ที่อาศัยอยู่แต่ในป่า
ด้วยเหตุนี้เอง ที่ตั้งของหมู่บ้านเธอก็เลยถูกระบุพิกัดได้อย่างคร่าวๆ และก็มีพวกนักน่าคอยมาสอดแนมหาตัวเธอจนทำให้เธอไม่สามารถออกมาจากบาเรียของหมู่บ้านได้ และเพราะเธอออกมาจากบาเรียไม่ได้ก็เลยทำให้เธอไม่สามารถหาอาหารมาประกอบพิธีกรรมได้ ด้วยเหตุนี้เองจึงเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้น
บาซิลิสก์ได้ปรากฏตัวขึ้นและสร้างความเสียหายให้กับหมู่บ้าน ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ก็เหี่ยวเฉาลงจากพิษ จนทำให้บาเรียที่ปกป้องหมู่บ้านหายไป
และตอนนี้เองซูซูเมะก็กำลังเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์เพียงลำพัง
รูม่านตาแนวตั้งที่เป็นลักษณะเฉพาะของงู ดวงตาแดงก่ำสีสดใสซึ่งเกิดมาจากความสุขที่เห็นเหยื่ออยู่ตรงหน้าหรือไม่ก็ความเคียดแค้นที่ตนถูกผนึกมาหลายปี
ซูซูเมะพยายามจะหนีออกจากมอนสเตอร์ตนนั้นซึ่งมาขนาดเท่ากับภูเขาลูกเล็กๆ แต่ด้วยหางที่เหมือนกับแส้ที่แหลมคมของมัน ฟาดต้นไม้ให้ล้มลงและปิดเส้นทางเอาไว้ก่อนจะเข้ามาประชิดตัวเธอได้ในทันที
-โคร้ววว- มอนสเตอร์คำรามออกมาด้วยความสนุกสนาน
ซูซูเมะรู้สึกหนาวสั่นขณะที่บาซิลิสก์ดึงร่างเธอเข้าหามัน ก่อนจะอ้าปากกว้างราวกับว่ามันพร้อมที่จะกลืนเธอเข้าไปทั้งตัวแล้ว
…อึก เราคงต้องตายลงที่นี่แล้วสินะ?
ซูซูเมะคิดเช่นนั้น ร่างของเธอสั่นเพราะความเจ็บปวดและความกลัว แต่ก็มีความโล่งใจมากปนอยู่เช่นกัน
ตอนนี้บาเรียได้ถูกทำลายลงไปแล้วจากฟุไค ถึงเธอจะรอดไปได้แต่ชีวิตของเธอหลังจากนี้ก็คงจะลำบากมากกว่าเดิม
ไม่มีทางเลยที่เด็กสาวอายุ 13 ปีจะใช้ชีวิตคนเดียวได้ในป่าทีทิสที่กว้างใหญ่
หากเป็นเช่นนั้น การจะมาตายเอาตรงนี้ก็ถือเป็นเรื่องดีที่จะหยุดความทุกข์ทรมานของเธอ
เธออาจจะได้ไปพบกับพ่อแม่ของเธอด้วยก็ได้
“ขอให้ลูกมีความสุขนะ”
…นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่แม่ของเธอพูดไว้ก่อนที่จะจากไป ซูซูเมะรู้สึกเสียใจอยู่บ้านที่ตนไม่สามารถทำตามคำสั่งเสียที่แม่ของเธอทิ้งไว้ให้ได้
「 …หนูขอโทษนะคะ แม่」
เธอพึมพำออกมาด้วยเสียงที่สั่นเทา
ความรู้สึกที่น่าสยองได้คืบคลานไปทั่วร่างของเธอ
แต่เธอก็ไม่เหลือแรงที่จะต่อต้านมันอีกแล้ว ขนาดแค่คิดยังไม่มีเลย
บาซิลิสก์กำลังปีนขึ้นไปบนลำต้นของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ในขณะที่จับตัวเธอเอาไว้อยู่ เพราะหากว่ามันอยู่ที่พื้นดินพวกสัตว์อสูรตนอื่นอาจจะปรากฏตัวขึ้นและขวางมันเอาไว้
การมองเห็นของซูซูเมะมืดมิดลงไป สติของเธอค่อยๆ ถูกความมืดกลืนกิน
ก่อนที่ความมืดจะกินร่างของเธอจนหมด ซูซูเมะก็สัมผัสได้ว่ามีใครบางคนกำลังวิ่งเข้ามาทางนี้…แต่เธอก็คิดว่านั่นคงเป็นจิตปรุงแต่งของเธอเองและเลิกสนใจมันไป
ไม่มีทางที่จะมาคนมาในตอนนี้ หรือหากมีจริงก็คงจะเป็นมัจจุราชที่กำลังยืนรอเธออยู่ด้วยความเบื่อหน่าย
พอเธอคิดได้แบบนั้น เธอก็ปล่อยกายปล่อยใจของเธอไป ไม่สิต้องบอกว่าพยายามจะปล่อยวางจากทุกสิ่ง
แต่แล้วในวินาทีนั้นเอง
「กว๊ากกก?!」
เธอได้ยินเสียงคำรามของเจ้ามอสเตอร์ตนนี้ดังขึ้นมา
แล้วเธอก็รู้สึกตัวว่าตอนนี้ร่างของเธอกำลังล่องลอยอยู่ในอากาศ โดยที่ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ขาบาซิลิสก์ที่จับเธอไว้แน่นถูกคลายออก
เพราะมันปีนขึ้นมาบนต้นไม้โดยใช้ขาของมันจับเธอเอาไว้ขณะปีน ก็ไม่แปลกหากว่าร่างของเธอจะร่วงลงมาที่พื้นหากมันปล่อยออก
ด้วยความสูงระดับนี้เธอคงไม่รอดจากแรงกระแทกแน่ แถมตอนนี้ร่างกายของเธอก็ไม่ยอมทำตามที่สั่งด้วย
อาจจะเป็นเพราะพิษของบาซิลิสก์หรือไม่ก็จิตที่ยอมจำนนของเธอก่อนหน้านี้
เมื่อเธอหลับตาและเลือกจะยอมรับชะตากรรม เธอก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น
「โฮ้ย..เกือบไปแล้วนะเนี่ย อีกนิดเดียวละก็ไม่รอดแน่」
ร่างของเธอถูกกอดเอาไว้โดยแน่น หลังจากได้ยินคำพูดนั้น
พอเธอลืมตาขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เธอก็พบกับเด็กหนุ่มผมดำที่มองมายังใบหน้าของเธอด้วยรอยยิ้มที่ไร้ซึ่งความเกรงกลัวสิ่งใด
มันเป็นใบหน้าที่เธอรู้จัก
ถึงเธอจะรู้จักเขาแต่เธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ในที่แบบนี้ได้ เอาเป็นว่าอย่างน้อยเธอก็ตั้งใจจะพูดขอบคุณเขา แต่ในจังหวะที่ซูซูเมะกำลังจะเปิดปากออกมาดวงตาของเธอก็ต้องเบิกกว้างอีกครั้ง
บาซิลิสก์ที่อยู่เหนือหัวของซูซูเมะวิ่งลงไปจากต้นไม้ด้วยความเกรี้ยวกราด..ไม่สิต้องบอกว่ามันกระโดดลงมาเลยมากกว่า
หากร่างอันใหญ่ยักษ์ของมันร่วงลงมาทับพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือคิจินก็คงจะไม่เหลือซาก
「ขะ.บ..น.!」
ถึงสภาพของเธอจะเป็นแบบนี้ แต่เธอก็อยากจะเตือนชายหนุ่มถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามา แต่ลิ้นของเธอกลับไม่ทำตามคำสั่งเลย
ชายหนุ่มที่อุ่มร่างของเธอเอาไว้ตอนนี้ไม่ได้พกอาวุธที่ใช้ต่อกรกับบาซิลิสก์ได้มาเลยสักชิ้น
ทั้งสองจำเป็นต้องรีบหนีออกจากที่นี่อย่างรวดเร็ว แต่พื้นดินรอบตัวพวกเธอกำลังเริ่มผุพังลงไป ราวกับพวกเขาอยู่ใจกลางหนองน้ำอันไร้ก้นบึ้ง จุดที่ปลอดภัยในตอนนี้ก็คือจุดที่ชายหนุ่มยืนอยู่
แล้วซูซูเมะก็เกิดคำถามขึ้นมาในหัว
…เขามาถึงตรงนี้ได้อย่างไร?
แต่ร่างอันใหญ่โตของบาซิลิสก์ก็พุ่งเข้ามาหาเธอก่อนที่จะได้หาคำตอบ
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปดู แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยแม้แต่จะขยับคิ้วเมื่อเห็นร่างของมัน เขาช่างแตกต่างกับเธอที่กังวลเป็นอย่างมาก
ชายหนุ่มที่เงยหน้าขึ้นไปมองมันค่อยๆ เปิดปากออกอย่างช้าๆ
「ฮ่า!!!」
เสียงมันดังมากเสียจนแก้วหูเธอแทบจะระเบิด
เพราะร่างของซูซูเมะอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่ม ผลที่ตามมาจากเสียงนั้นก็คือร่างของเธอถูกคลื่นสั่นสะเทือนกลืนกินไปทั้งตัว ร่างของเธอสั่นไปจนถึงแกนกลางของร่าง หูของเธออื้อจนไม่ได้ยินเสียงใดๆ หลังจากนั้นอีกเลย
ส่วนทางด้านบาซิลิสก์ที่โดนการโจมตีนี้เข้าไป….
「กว๊าก?!」
ร่างขนาดยักษ์ราว 10 เมตรของมันกระเด็นขึ้นไปในอากาศราวกับถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงในระยะประชิด
ชายหนุ่มสามารถปัดป้องการโจมตีด้วยร่างของมันโดยการใช้เสียงของเขาเอง
แต่ของมันแน่อยู่แล้วว่าสิ่งที่เขาใช้ย่อมไม่ใช่แค่เสียงเฉยๆ บางทีมันน่าจะเป็นเวทมนตร์ไม่ก็ไอเทมอะไรบางอย่าง แต่มันก็ผิดปกติอยู่ดีจากท่าทางของเขา
หลังจากนั้นชายหนุ่มก็พูดประโยคสั้นๆ ออกมาให้เธอได้ยินและเธอก็มองหน้าเขาด้วยความประหลาดใจ
「เดี๋ยวฉันกระโดดละนะ ระวังอย่ากัดลิ้นตัวเองเข้าล่ะ」
กระโดดเหรอ? ชายหนุ่มเริ่มย่อเข่าข้างหนึ่งก่อนจะกระโดดขึ้นไปในอากาศพร้อมกับซูซูเมะที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา โดยที่เธอยังไม่ทันได้ทำความเข้าใจในคำพูดนั้นเลย
ซูซูเมะอยากจะกรีดร้องออกมา แต่เพราะผลกระทบจากแรงสั่นสะเทือนเมื่อครูทำให้เธอทำไม่ได้
ทั้งที่มีซูซูเมะอยู่ในอ้อมแขนตนแท้ๆ แต่ชายหนุ่มกลับกระโดดข้ามพื้นที่ถูกฟุไคกลืนกินไปแล้วได้อย่างง่ายดาย ทั้งที่มนุษย์ปกติไม่ควรทำได้…ไม่สิขนาดคิจินยังทำไม่ได้เลย
ก่อนที่เธอจะรู้สึกตัว ร่างของเธอก็ยืนอยู่บนพื้นปกติแล้ว
หลังจากชายหนุ่มปล่อยซูซูเมะลง เขาก็เอื้อมมือไปหยิบดาบสีดำที่ปักไว้ตรงพื้นข้างหน้าเขา ชายหนุ่มไม่ลังเลที่จะคว้าเอาดาบที่ปล่อยออร่าอันแสนดำมืดออกมาจนทำให้ร่างของซูซูเมะถอยไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
จากนั้นเขาก็ตวัดดาบไปใส่บาซิลิสก์ที่กำลังล้มลงพื้น
ระยะดาบของเขาจากจุดที่ยืนอยู่ไม่ควรจะเอื้อมไปถึงยังร่างของมันได้ แต่กลับกลายเป็นว่าขาข้างหนึ่งของมันถูกตัดออกไปอย่างง่ายดาย ขอของมันล่องลอยไปในอากาศพร้อมกับเลือดพิษที่พุ่งออกจากร่างของมัน ด้วยเหตุนี้เองขาของมันจึงเหลือแค่ 4 ไม่สิ 3 เพราะข้างที่ใช้จับร่างของซูซูเมะถูกตัดไปก่อนหน้าแล้ว
ตอนนี้เธอจึงได้เข้าใจสักทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ชายหนุ่มคนนี้เข้ามาช่วยเธอด้วยการตัดขาของมัน
หลังจากตัดขานั้นออก เขาก็นำดาบของตนปักไว้ที่พื้นเพื่อให้มีมือในการพุ่งเข้าไปรับร่างของเธอที่ร่วงลงมา
ของแบบนี้มันไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะทำได้เลย
「…บ้าไปแล้ว…」
เธอพูดมันออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
แต่ชายหนุ่มที่ได้ยินก็หัวเราะออกมาด้วยความพอใจ
「ฮ่าๆ ถ้างั้นเดี๋ยวฉันจะแสดงอะไรบ้าๆ ให้ดูอีกสักอย่างดีไหม? 『เลือดที่กำลังเดือด เส้นผมที่ถูกเผาไหม้ ดวงตาที่เต็มไปด้วยความพิโรธ』」
เขาเริ่มร่ายมนตร์
ซูซูเมะไม่คิดมาก่อนว่าตัวเขาจะใช้เวทมนตร์ได้เพราะท่าทางของเขาเหมือนกับนักดาบมาโดยตลอด จนทำให้เธอไม่อยากจะนับแล้วว่าตนจะต้องประหลาดใจอีกสักกี่ครั้งเพราะเขา
「『ปราสาทอันสูงศักดิ์ เก้าอี้แห่งโครงกระดูก ธงแห่งการปฏิวัติที่โบกสะบัด ของขวัญแก่เหล่านักฆ่าผู้ร่วงหล่น ดวงตาสีเลือดและมือที่ลุกโชน จงมอบอ้อมกอดแห่งความตายให้กับศัตรูของข้า – องค์หญิงแห่งเปลวเพลิง!』」
เมื่อชายหนุ่มร่ายคาถาไฟระดับสูงเสร็จ เขาก็ปลดปล่อยมันใส่บาซิลิสก์
เปลวไฟที่มีรูปร่างเหมือนกับแขน 5 แขน ไม่สิ 6 กำลังพุ่งผ่านอากาศออกไป
หากเป็นคนปกติน่าจะสามารถสร้างแขนขึ้นมาได้ประมาณ 2 หรือถ้ามีความสามารถสักหน่อยก็ประมาณ 3
แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับสร้างมันออกมาได้มากกว่าคนปกติถึง 2 เท่า ยิ่งไปกว่านั้นแต่ละแขนก็ใหญ่พอๆ กับร่างของงูยักษ์ พวกมันพุ่งเข้าไปโจมตีร่างของบาซิลิสก์อย่างรวดเร็ว
ด้วยสิ่งที่เขาแสดงให้เห็นจึงสามารถบอกได้ทันทีว่าเขาเป็นจอมเวทที่แข็งแกร่งและมีปริมาณมานาที่มากเพียงใด
หลังจากที่ร่างของมันถูกเปลวไฟทั้ง 6 แขนนั้นโอบอุ้มเอาไว้ มันก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมาอยู่ภายในทะเลแห่งฟุไค
ซูซูเมะตกตะลึงเมื่อได้ยินเสียงมอนสเตอร์ตัวนั้นร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ก่อนที่จะได้สัมผัสถึงลมร้อนที่เกิดมาจากการเผาไหม้บริเวณใกล้ๆ เธอ
พอเธอหันไปทางที่ลมนั้นมา ก็พบว่าดาบสีดำของชายหนุ่มบัดนี้ได้ถูกเปลวเพลิงสีแดงฉานกลืนกินไปหมดแล้ว
ผลของมันเกิดมาจากการเผาไหม้ของคิที่ถูกเร่งปฏิกิริยาถึงขีดสุด แต่ซูซูเมะย่อมไม่ทราบถึงเรื่องนี้ แต่ถึงเธอจะไม่รู้ เธอก็เข้าใจได้ทันทีว่าความร้อนที่ออกมาจากดาบนั้นมันสูงเกิดกว่าปกติไปมาก
「ฉันว่าฉันจะเผามันไปพร้อมกันป่าที่ถูกกลืนกินนี้เลยน่ะ…วิชาดาบเดียวมายา..วายุ」
คลื่นไฟที่ปลดปล่อยออกมาจากดาบของชายหนุ่มได้กลืนร่างของบาซิลิสก์และป่าข้างหน้าเธอราวกับคลื่นสึนามิ
ซูซูเมะที่เห็นภาพตรงหน้าก็เกิดความสงสัยขึ้นมาว่านี่เธอกำลังฝันอยู่หรือเปล่า
แถมเธอก็บอกไม่ได้ด้วยว่า หากนี่เป็นฝันมันคือฝันดีหรือร้ายกันแน่ เธอจึงทำได้เพียงมองสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปด้วยความมึนงง
——–
Note 1 : ปากบอกไม่สนแต่ก็ช่วยก่อนแหม่พ่อหนุ่ม
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code