กิลด์ ‘โมเรียน’ กิลด์ที่ผู้พยากรณ์อยู่ มันเป็นหนึ่งในกิลด์ที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซีย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีสมาชิกอยู่เพียงแค่ 200 คนทั่วทั้งโลกก็ตาม คนพวกนี้ก็ยังได้รับการพิจารณาว่าเป็นเหล่ายอดมนุษย์ที่มีความสามารถที่พิเศษเป็นอย่างมาก

มากไปกว่านั้น สมาชิกของกิลด์โมเรียนยังสามารถที่จะใช้ความสามารถพิเศษซึ่งมีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้จักมัน แต่ส่วนใหญ่ของเหล่าฮันเตอร์ผ่านศึกแล้วจะรับรู้ได้ว่าความจริงแล้วความสามารถของคนพวกนี้นั้นมาจาก ‘เครื่องราง’

แต่ไม่มีใครสักคนที่รู้ว่าเครื่องรางพวกนี้มาจากที่ไหน

“คุณเอวานครับ กิลด์เรนคิลเลอร์จาก U.S โทรมาหาพวกเราพวกเขาบอกว่าต้องการซื้อการ์ด 10 ใบนะครับส่วน กิลด์บาสเตอร์จาก เยอรมนีก็ต้องการการ์ด 5 ใบเช่นกันแล้วผมก็ยังได้รับสายจากกิลด์ลอสเดย์ที่เกาหลีด้วยนะคับ”

“อย่างั้นเหรอ?”

เอวานยิ้มออกมาในขณะที่เธอเล่นกับการ์ดในมือ การ์ดที่เธอถืออยู่ในมือนั้นเรียกว่า ‘เครื่องราง’ ด้วยคนภายนอก

“ช่วงหลังมานี้คุณได้รับสายจำนวนมากเลยนิครับ ผมว่านั้นก็พิสูจน์ได้ว่ามีคนมากขึ้นเรื่อยๆที่สนใจใน ‘ความสามารถลึกลับ’ นี้นิครับ?”

ความสามารถเหนือธรรมชาติ มันเป็นความสามารถที่จะสามารถจะใช้ได้โดยปราศจากการฉีดอีเทอร์เข้าสู่ร่างกาย แต่จนการทั้งถึงในตอนนี้เจ้าสิ่งนี้ยังไม่ได้รับความสนใจมากมายนักจากในระดับโลกเนื่องมาจากข้อมูลที่ไม่เพียงพอเกี่ยวกับความสามารถประเภทนี้ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อมีเหตุการณ์อย่างในกรณีของฮันเตอร์ยูซอดัมเกิดขึ้น ความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับ ‘ความสามารถเหนือธรรมชาติ’ ก็เลยได้แพร่กระจายออกไปสู่สาธารณชน และมีส่วนน้อยเท่านั้นที่ค้นพบว่าเหล่าผู้คนจากกิลด์โมเรียนมีการซื้อขายเกี่ยวพลังประเภทนี้อยู่

แม้ว่าจะมีเพียงแค่คนจำนวนน้อยเท่านั้นที่รู้เกี่ยวกับเครื่องรางพวกนี้ ข้อความมากมายก็ยังไหล่บ่ามาจากกิดล์จำนวนมากเท่านั้นโลกอยู่ดี

“เอาเป็นว่า ติดต่อไปยังกิลด์ลอสเดย์ก่อน พวกเขาเป็นกิลด์ที่จะมีส่วนช่วยเหลือพวกเราเป็นอย่างมากในการศึกษา ‘เวทมนตร์’”

ลอสเดย์มีส่วนในการให้ความช่วยเหลือกิลด์โมเรียน มองได้ว่าพวกเขาเป็นคนที่จัดหาเงินลงทุนให้กับกิลด์โมเรียนรวมไปถึงมีส่วนช่วยในงานวิจัยเวทมนตร์ทางวิทยาศาสตร์ของกิลด์โมเรียนแถมยังแนะนำกิลด์โมเรียนให้กับผู้คนมากมายทั่วโลกผ่านคอนเนคชั่นจำนวนมากของพวกเขา ผลลัพธ์ก็คือกิดล์โมเรียนในตอนนี้นั้นได้ใหญ่กว่ามากเมื่อเทียบกับ 10 ปีก่อน

สำหรับในตอนนี้กิลด์โมเรียนกำลังพยายามที่จะแพร่ขยายอิทธิพลของตนเองไปยังทั่วทั้งโลกด้วยการใช้ความสามารถในการพยากรณ์ของพวกเขาในด้านสว่างและผูกขาดการขายเครื่องรางในมุมมืด

“เป็นเพราะว่าเวทมนตร์นั้นเป็น…สิ่งที่มีไว้สำหรับพวกเราเท่านั้นไงหละ”

เมื่อเร็วๆมานี้ ชายที่ชื่อว่ายูซอดัมก็ได้ใช้พลังที่คล้ายกับเครื่องรางที่พวกเขามีแต่ความสามารถของมันยังไม่ได้ดีไปกว่าเครื่องรางของพวกเขาที่ได้รับการพัฒนาเรื่อยมาในขณะที่ได้ซ่อนตัวอยู่ในความมือนานนับหลายต่อหลายปี ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในยุคที่วิทยาศาสตร์เป็นใหญ่ก็ตาม พวกเขาในตอนนี้ก็ยังสามารถที่จะนำเอาเวทมนตร์มาใส่ลงไปในวัตถุได้

แต่จนแล้วจนรอด พวกเขาก็ยังไม่สามารถที่จะผลิตเวทมนตร์ที่มีพลังทำลายเทียบเท่าความสามารถแรงค์ S ได้อยู่ดี แต่แม้จะเป็นอย่างนั้นประโยชน์จากเวทมนตร์ที่พวกเขามีก็ยังพูดว่าเหนือว่าความสามารถอื่นๆอยู่ดี

“คุณเอวานครับ”

เสียงได้รอยมาตามสายลม เอวานตอบกลับไปด้วยที่ไม่หันกลับไปมอง

“พูดมา”

“ผู้พยากรณ์มาหาครับ”

“ให้เธอเข้ามา”

ในทันทีที่ประตูของออฟฟิศได้เปิดออก และเยคาเทริน่าได้เดินเข้ามาด้วยย่างก้าวที่เซไปเซมา เส้นผมของเธอได้สูญเสียสีสันของมันไปและมันได้กลายเป็นสีขาวทั้งหมดยาวลงมาถึงเอวของเธอ ดวงตาของเธอก็สูญเสียประกายของมันไปเช่นกัน รวมไปถึงในตอนนี้เธอสามารถที่จะเห็นได้อย่างเลือนรางหากว่ามีอะไรที่อยู่ตรงหน้าของเธอเท่านั้นเอง แต่ถึงอย่างั้นเยคาเทริน่าก็ได้เงยหน้าของเธออย่างมั่งคงและสบตากันเอวาน

“ฉันเห็นคำพยากรณ์”

“บอกฉันมาสิ”

“มีบางสิ่งบางอย่างที่จะเกิดขึ้นที่กรุงโซล,ประเทศเกาหลี ตำแหน่งที่แน่นอนของภัยพิบัติในครั้งนี้คือพื้นที่จัดแสดงคอนเสิร์ตของนักร้องที่ชื่อ ‘เฮโลนี่’”

“เฮโลนี่ หืม?”

เยคาเทริน่าพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา

“แต่ว่ามีบางอย่างแปลกๆ ฉันไม่สามารถที่จะได้ยินเสียงอะไรเลยจากที่นั้น ไม่มีทั้งเสียงตะโกนโห่ร้องหรือแม้แต่เสียงกรีดร้อง มันเงียบสงัดมาก”

“….?”

งั้น ภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้นในครั้งนี้ก็เป็นบางสิ่งบางอย่างที่มีความเกี่ยวข้องกับเสียง คำพยากรณ์ของเยคาเทริน่านั้นเด่นชัดเป็นอย่างมาก เอวานสามารถที่จะเห็นได้ถึงจุดหลักของภัยพิบัติได้เลย

“มันอาจจะทำให้คนเป็นหมื่นๆคนตายลง พวกเราจำเป็นที่จะต้องหยุดมัน”

“แล้วที่วันเวลาที่แม่นยำหละ?”

“ฉันคิดว่ามันจะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็วนับจากนี้…”

“ฉันเข้าใจแล้ว อืมม”

เอวานยิ้มออกมาหลังจากที่คิดเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างอยู่ชั่วขณะ มันเป็นรอยยิ้มที่ไร้อารมณ์ความรู้สึกใดๆ

“พวกเราจำเป็นที่จะต้องค้นหาบางสิ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับเสียงก่อน ฉันเข้าใจแล้วเพราะงั้นกลับไปได้”

“หะ? คุณต้องประกาศคำพยากรณ์ของฉันออกไปในโลกได้รับรู้เหมือนกับปกติสิ…”

“อ่าหะ ฉันจะจัดการเรื่องนี้เอง เพราะงั้นกลับไปได้แล้ว เยคาเทริน่า”

“…”

เธอยังคงรู้สึกอึดอัดใจ เยคาเทริน่ายืนอยู่ที่นั้นเป็นเวลานานก่อนที่ในท้ายที่สุดเธอจะรับรู้ได้ว่ามันไม่มีอะไรที่เธอสามารถที่จะทำได้เลยและเดินจากไป ทันทีหลังจากที่เยคาเทริน่าได้ออกไปจากห้องเอวานเริ่มที่จะวาดภาพลงไปที่ที่การ์ดด้วยปากกา แล้วหญิงสาวที่อยู่ในชุดคลุมด้านข้างของเธอก็พูดขึ้น

“ฉันควรที่จะแจ้งกองบัญชากับรับมือกับเหตุฉุกเฉินไหมค่ะ?”

“ไม่หละ เธอไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น”

“อย่างนั้นเหรอคะ?”

เอวานหยิบเอกสารปึกหนึ่งออกมาจากลิ้นชัก มันเป็นเอกสารที่เต็มได้ด้วยข้อมูลต่างของผู้หวนคืนต่างมิติที่ได้ถูกบันทึกไว้

ผู้หวนคืนต่างมิติหรือผู้คนจากมูริมคือคนที่ได้เรียนรู้พลังที่พิเศษเป็นอย่างมากมาจากต่างโลก แต่พวกเขากลับถูกห้ามไม่ได้ใช้พลังของตนเองโดยใครสักคนที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก
แต่ว่ามันก็เป็นเวลาสี่ปีมาแล้วนับจากตอนที่คนพวกนี้ได้กลับมาที่เอวานได้ค้นพบว่าเครื่องรางของเธอสามารถที่จะบล็อกข้อห้ามนี้ได้ชั่วคราว

เธอได้ทำการสอบสวนเหล่าผู้หวนคืนต่างมิติและติดต่อกับพวกเขาหลายต่อหลายคนที่มีอาการอย่างรุนแรงจากการที่พวกเขาไม่สามารถที่จะใช้มูกงของตนเองได้และได้ล่อลวงคนพวกนี้ว่าพวกเขาสามารถที่จะใช้มันได้ด้วยเวทมนตร์ของเธอ ถึงแม้ว่าช่วงเวลาที่เครื่องรางของเธอสามารถที่จะตบตาข้อห้ามนี้ได้จะเป็นเพียงช่วงสั้นๆด้วยยันต์สิบแผ่น ที่การจะผลิตมันออกมาได้แต่ละแผ่นนั้นช่างยากเย็นแสนเข็น แต่มันก็ได้ถูกนำมาใช้เพียงเพื่อยืนข้อเสนอต่อเหล่าผู้หวนคืนต่างมิติเพื่อที่จะได้รับความรู้ที่พวกเขาเรียกกันว่ามูกง

แต่ในท้ายที่สุดแล้ว มันกลับถูกขโมยไป

‘ข้า…ข้าจะต้องห…หามัน’

‘คุณกำลังมองหาอะไรกัน?’

‘เสียง เสียงที่แสนงดงาม’

‘ถ้าหากเป็นอย่างนั้นแล้ว พวกเราสามารถที่จะ…’

‘ไม่ มันเป็นไปไม่ได้’

เอวานนึกไปถึงความทรงจำล่าสุดที่เธอได้รับก่อนที่เธอจะออกไป มันไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีนัก เอวานเป็นนักเวทย์และนักธุรกิจที่แสดงหาผลกำไรที่เป็นตัวเป็นตน แต่เธอกลับสูญเสียแม้แต่เครื่องรางสิบอันที่เธอได้ลงทุนไป

“มันคงจะดีกว่าที่จะให้ภัยพิบัติที่เกาหลีในครั้งนี้เกิดขึ้น และปล่อยให้ ‘คนๆนั้น’ จัดการกับเธอ”

ผู้หญิงคนนั้นนะบ้าไปเรียบร้อยแล้วและมันก็เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะหันหลังกลับอีกต่อไป

มันดีกว่าที่จะให้เธอตายไปเสีย

“อย่าบอกใครเกี่ยวกับคำพยากรณ์ในครั้งนี้”

……………………………………………………..

หากชอบเรื่องนี้สามารถให้กำลังใจและสนับสนุนผู้แปลได้ทาง mynovel.co หรือ

……………………………………………………..

กอมฮี ฮาซุนยัง โชคยังดีที่เธอเป็นคนที่มาจากมูริม เรื่องราวต่างๆเลยง่ายมากขึ้น บางทีเจ้าสตอล์กเกอร์คนนี้คงเป็นคนที่รู้วิธีที่จะใช้ในการควบคุมเสียงมาตั้งแต่แรก? มันเป็นเรื่องง่ายที่จะเดาออกแต่มันไม่มีทางเลยที่จะควานหาตัวผู้ร้ายออกมาได้

“ก็ยังดี อย่างน้อยฉันก็ไม่คิดว่ามันจะยังมีอะไรที่รั่วไปออกไปจากห้องนี้อีกแล้ว”

ฮาซุนยังพูดในขณะที่เธอแตะไปที่กำแพงกันเสียงชั่วคราวที่ได้ติดตั้งอยู่ในห้องรับร้องแห่งนี้ มันไม่ได้เป็นกำแพงกันเสียงธรรมดาทั่วๆไป มันเป็นสิ่งที่ถูกเสริมไว้ด้วยเวทมนตร์ของยูซอดัมเพื่อที่จะบล็อกเสียงนั้น เจ้าสตอล์กเกอร์คนนี้คงจะไม่สามารถที่จะมองเห็นผ่านกำแพงนี้จากระยะไกลได้อีกต่อไป แน่นอนว่าเธอคนนั้นยังมีความสามารถพอที่จะเจาะทะลุมันจากในระยะใกล้ได้อยู่ แต่ว่าตัวฮาซุนยังคงจะไม่อยู่เฉยๆให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นหรอก

“เธอกล้าที่จะมากวนใจเฮโลนี่ได้ยังไงกัน?”

ฮาซุนยังพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิด เธอในตอนนี้ดูไม่ได้น่าเชื่อถือเหมือนก่อนหน้านี้เลย แต่ถ้าหากว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกหละก็ เธอก็เป็นคนเพียงคนเดียวที่สามารถจะรับมือกับมันได้

“หา? ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นกับตาของนายกัน? เดวนี้นายใส่คอนแทคเลนส์ด้วยงั้นเหรอ?”

เทเลอร์ถามออกมาเมื่อเห็นดวงตาที่กลายเป็นสีขาวของเขาในขณะที่เขากำลังใช้เวทมนตร์ไปกับกำลังกันเสียงนี้อยู่

“มีบางอย่างเกิดขึ้นนะ”

เมื่อเขาระมือออกและลูบไปที่ตาของตนเอง มานาได้ไหลเข้าไปในดวงตาของเขา เทเลอร์ดูประหลาดใจมากเมื่อเธอได้เห็นว่านัยตาสีดำของเขาได้กลับคืนมาแล้ว นี้ต้องขอบคุณ ‘เลนส์เวทมนตร์’

มันคงจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าสำหรับเขาถ้าหากว่าเลนส์เวทมนตร์นี้สามารถที่จะคงสภาพต่อไปได้ มันเป็นเรื่องที่ไม่สะดวกเอาเสียเลยที่จะต้องเปิดใช้งานมันทุกครั้งเพื่อปกปิดดวงตาสีขาวนี้หลังจากที่ใช้งานเวทมนตร์เสร็จ

แต่แน่นอนว่านี้ถือได้ว่าเป็นแค่การเสียสละเล็กๆน้อยๆแลกกับการที่เขาสามารถจะได้รับบางสิ่งบางอย่างเช่นห้องสมุดแรงค์ E มา

“เฮ้ เธอมีความเห็นว่าไงบ้าง? เธอมีไอเดียอะไรที่ใช้ในการล่าตัวเจ้านั้นได้ไหม?”

“เธอจะไปกังวลอะไรกับสิ่งที่เธอไม่สามารถแม้แต่จะตรวจจับได้หละ?”

ในขณะที่เทเลอร์และฮาซุนยังได้พูดคุยกับตามลำดับ เฮโลนี่ที่ได้นั่งอยู่ตรงเก้าอี้แต่งหน้าและพร้อมที่จะเริ่มต้นทำการแสดงแล้วได้มองมาที่ฉันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวลใจ

มันเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้เลยในเมื่อ

อีกฝ่ายเป็นใครสักคนที่มาจากมูริม เธอคนนั้นเป็นคนที่สามารถจะหลบเลี่ยงจากการตรวจจับของคลื่นเสียงแรงค์ S ได้ แม้แต่การโจมตีของฮาซุนยัง คนๆนั้นก็ยังสามารถที่จะเบี่ยงเบนมันออกไปได้แม้ว่านั้นจะเป็นการโจมตีจากระยะไกลก็ตาม มันหมายความได้ว่าศัตรูของพวกเขาอย่างน้อยที่สุดก็อยู่ที่แรงค์ SS

ยูซอดัมไม่สามารถที่จะปกป้องทุกๆคนที่อยู่ที่นี้ได้ด้วยตัวเขาเอง

มียอดมนุษย์แรงค์ S 2 คนและผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้แรงค์ SS 1 คนที่อยู่ในห้องรับรองแห่งนี้ เมื่อเทียบไปแล้วยูซอดัมเป็นเพียงแค่คนที่มีความแข็งแกร่งทางร่างกายแค่แรงค์ D ,เพลงดาบ และเวทมนตร์ก็อยู่เพียงแค่ระดับสองและสามตามลำดับเท่านั้นเอง

แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าแค่เพียงเพราะเขาไม่มีพลังพิเศษอะไรแล้วเขาจะไม่สามารถที่จะคิดอะไรได้นิจริงไหม?

อย่างแรกเลยก็คือ อะไรคือเหตุผลที่ทำให้เจ้าสตอล์กเกอร์คนนี้หมกมุ่นในตัวของเฮโลนี่ถึงขนาดนี้กัน?

คำตอบที่ถูกต้องก็คือ…

คุณไม่จำเป็นที่จะต้องรู้หรอก

คำถามที่สองก็คือ มันเป็นไปได้อย่างไรกันที่ผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ประเภทเสียงคนนี้สามารถที่จะใช้พลังออกมาและหลบเลี่ยงอิทธิพลของข้อห้ามนั้นได้?

คำตอบที่ถูกต้องก็คือ…

คุณไม่จำเป็นที่จะต้องรู้อีกนั้นแลหะ

ไม่ใช่แค่ว่าคำถามพวกนี้ไม่สามารถที่จะหาคำตอบได้เท่านั้น แต่ว่าบางทีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ก็คงจะเป็นบางสิ่งที่เกิดขึ้นจาก ‘การแก้ไข’ ของตัวเอกอีดงจุนเอง มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะมาวิเคราะห์ ‘การแก้ไข’ ด้วยหลักของเหตุและผล

มันมีเรื่องที่สำคัญกว่านั้นให้ยูซอดัมต้องมากังวลก็คือเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ต่างหาก

แถมยังมี คำถามที่สาม ‘เนื้อเรื่อง’ ประเภทไหนกันที่จะเกิดขึ้นที่นี้?

หากคิดตามสิ่งที่เขาได้ค้นพบ รวมไปถึงเรื่องราวจากกอมฮีและจักรพรรดิคนนั้น เดอมาร์คือคนที่ได้ย้อมทั้งมือของตนเองได้ด้วยเลือดจำนวนมากในตอนที่เขาอยู่ที่มูริม เขาได้ตั้งมั่นกับการฆ่ามากมายเกินไปภายใต้ชื่อของความยุติธรรม บางทีธีมของเนื้อเรื่องของตัวเอกคนนี้เมื่อเขาได้เดินทางกลับมาที่โลกคงจะเป็น ‘การชดใช้’ และ ‘ความสงบสุข’

ธีมของความสงบสุขคงจะดำเนินผ่านตัวลูกสาวของเขาเอง ชินฮเยจีและชอนมา ซอลจองยอน หากว่าธีมของอีดงจุนมีการผสมเรื่องของการชดใช้ลงไปแล้วหละก็ มันคงจะกลายเป็นว่างานคอนเสิร์ตของเฮโลนี่ในครั้งนี้จะต้องวุ่นวายแน่นอน

ผู้คนที่ไม่สามารถจะก้าวผ่านการหยุดใช้พลังของตนเองได้จะอาวะวาลไปทั่วเพราะว่าข้อห้ามอันนี้ จากคนทั้งหมดนั้น เจ้าสตอล์กเกอร์คนนี้ก็คงจะได้ฆ่าผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนและในเวลาเดียวกันก็คงจะได้ทำร้ายตัวลูกสาวของเขาเองชินฮเยจี

หลังจากที่ตัวของเดอมาร์เองได้มาสายเกินไป และจัดการเรื่องต่างๆเพื่อช่วยเหลือชินฮเยจีโดยใช้พลังอำนาจที่เหนือกว่าจัดการ

และมันอาจจะเป็นว่าเขาคงจะรู้สึกตัวประมาณว่า ‘โอ้ การตัดสินใจที่ผิดพลาดของฉันได้ทำร้ายลูกสาวฉันเอง’ หลังจากนั้นเขาก็คงจะไปเปลี่ยนแปลงข้อห้ามหรือไม่ก็ยกเลิกมันไปทั้งหมด หรือไม่ว่าจะอย่างไหรก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้งานที่ยูซอดัมต้องมานั่งคิดอยู่แล้ว

มันเป็นเนื้อเรื่องที่ใครๆก็สามารถคิดได้ ดังนั้นมันอาจจะบอกได้ว่านี้เป็นเรื่องราวที่โคตรจะไร้สาระเลย แต่ความเป็นจริงที่ชินฮเยจีมาเพื่อดูการแสดงของเฮโลนี่และความจริงที่มีใครสักคนจากมูริมได้วนเวียนอยู่รอบตัวของเฮโลนี่ก็เพียงพอแล้วที่จะเป็นหลักฐานในการสนับสนุนเรื่องราวที่ไร้สาระเช่นนั้น

นอกไปจากนั้นแล้ว เนื้อเรื่องของตัวเอกก็มักจะดำเนินตามพล็อตเรื่องซ้ำๆซากๆเสมอ

อันที่จริงแม้ว่านี้จะไม่ได้มีธีมของการชดใช้ มันก็ยังไม่ใช่ปัญหาอะไร

สิ่งที่สำคัญทีสุดก็คือเรื่องที่ว่าชินฮเยจีมาดูการแสดงในครั้งนี้อยู่ดี

“อืมมม”

“โอ้ว บ้าเอ้ย…”

“ฉันแน่ใจว่าพวกเราไม่มีทางเลือกนอกจากการยกเลิกการแสดงในครั้งนี้ค่ะ”

ไม่เหมือนกับหญิงสาวทั้ง 3 คน ที่ดูเหมือนกับว่าจะตกอยู่ในความพ่ายแพ้เพราะว่าพวกเขาไม่ได้เห็นคำตอบของปัญหานี้ ยูซอดัมกลับรู้สึกว่าหัวของเขาสงบมากๆ

‘สิ่งต่างๆเริ่มที่จะได้รับการคลี่คลายแล้ว’

แผนการที่จะใช้ในการล่าตัวเอกเลเวล 500 ได้เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั้งในตอนนี้เองมันก็พร้อมที่จะใช้งานแล้ว

และเพื่อการนั้นเอง

ยูซอดัมได้แสดงความคิดเห็นของเขาเองให้กับเหล่าหญิงสาวทั้งสามคน เขาได้สบตากับเฮโลนี่ เทเลอร์และฮาซุนยังที่ละคนๆ

“มันอาจจะมีการต่อสู้เกิดขึ้น นั้นอาจจะทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากเกิดขึ้น ซึ่งต่อให้ฮาซุนยังสู้กับเธอ ตัวฮาซุนยังเองก็ยังไม่สามารถที่จะเหนือว่าเจ้าสตอล์กเกอร์นั้นได้แบบขาดลอย แถมเมื่อดูจากลักษณะโดยธรรมชาติของอึ้มกงที่เจ้าสตอล์กเกอร์ได้ครอบครองแล้ว หากว่าเจ้านั้นใช้การโจมตีในวงกว้างหละก็ คนอื่นๆก็คงจะได้รับบาดเจ็บแน่”

เฮโลนี่เห็นด้วยพร้อมพยักหน้าของเธอ ตามจริงแล้วเธอก็เป็นหนึ่งในเหล่าผู้มีพลังพิเศษที่ไม่สามารถจะควบคุมพลังความสามารถของตนเองได้

“มากไปกว่านั้น ฮาซุนยัง เธอนะไม่ได้รับอนุญาตให้ทำอะไรมุทะลุเข้าใจไหม?”

“นั้นมันก็…ค่า”

สุดท้ายแล้วสิ่งที่เหลือเพียงอย่างเดียวก็คือการอพยพผู้คนทั้งหมดในงานออกไป เฮโลนี่ที่มีสีหน้าที่มืดมนได้พยายามที่จะติดต่อผู้จัดการเพื่อบอกเขาให้ยกเลิกการแสดงครั้งนี้ในทันที แต่ว่ายูซอดัมได้หยุดเธอเอาไว้ก่อน

“ถ้าหากว่าเขายกเลิกการแสดง พวกเราจะไม่สามารถจับตัวของเจ้าสตอล์กเกอร์คนนี้ได้เข้าใจไหม?”

“คุณพูดถูกแล้ว…มันมีทางหรือคะ?”

“พวกเราก็แค่ต้องโทรไปเรียกเพื่อนที่แข็งแกร่งที่สุดมาไง คนที่สามารถจะปราบเจ้าผู้ใช้งานคลื่นเสียงคนนี้ได้ในหมัดเดียวเท่านั้นเอง”

“ค่ะ?”

เขามองไปที่ดวงตาทั้งสามคู่ที่ดูเหมือนกับกำลังถามเขาว่าคนแบบมันมีอยู่ในโลกนี้ด้วยงั้นเหรอ

“ฉันกำลังหมายถึงผู้อยู่เหนือสุดคนนั้นนะ ผู้บงการที่อยู่เบื้องหลัง ‘ข้อห้าม’ ของเหล่าชาวมูริมทั้งหมดที่อยู่บนโลก”

“นายหมายถึงหัวหน้าของเหล่าผู้หวนคืนต่างมิติงั้นเหรอ? มันเป็นไปได้หรือไงกัน?”

“คุณซอดัมค่ะ แม้แต่เหล่าผู้คนจากมูริมทางสมาคมฮันเตอร์ก็ยังมองหาตัวเขาอยู่เลยนะคะ แต่คนพวกนั้นก็ยังไม่สามารถที่จะหาพวกเขาพบได้ นับประสาอะไรกับตัวของผู้อยู่เหนือสุดคนนี้แล้ว…”

“นี่นายไม่รู้หรือไงว่าเดอมาร์ขั้นสุดนะไม่ทำตามคำสั่งของใครหรอกนะ ซอดัม?”

ทั้งสามคนนี้ตอบรับกับความคิดของเขาในแง่ลบกันหมดเลย แต่ว่ายูซอดัมเริ่มที่จะจิ้มไปที่สมาร์ทโฟนของตนเป็นการตอบกลับคำพูดเหล่านั้นแทน

……………………………………………………..

หากชอบเรื่องนี้สามารถให้กำลังใจและสนับสนุนผู้แปลได้ทาง mynovel.co หรือ

……………………………………………………..

ฟิ้วววว!! ฟิ้วววว!!

ก๊อก ก๊อก

แม่ว่าจะมีพายุหิมะที่กำลังโหมอย่างรุนแรงก็ตาม เขาก็ยังเคาะไปที่กระท่อมเล็กๆนี้และได้ยินเสียงตอบรับกลับมาจากด้านใน

‘เข้ามาได้เลย’

เมื่อเขาเปิดประตูเข้าไปด้วยความระมัดระวังและเข้าไปด้านใน ร่างกายของซอลจองยอนที่กำลังนอนอยู่บนโซฟาในขณะเดี่ยวกันก็กัดไปที่เชอรี่ที่อยู่ในปากของเธอ เธอในตอนนี้นั้นแตกต่างไปจากตัวของเธอในอดีตที่ดูเศร้าสร้อยอย่างสิ้นเชิง

เธอนอนอย่างสง่างามในชุดสูทสีขาว เธอนั้นงดงามเป็นอย่างมาก มากยิ่งไปกว่าความน่าหลงใหลใดๆอีกในโลกใบนี้เสียอีก ที่มากไปกว่านั้น เธอทีเสน่ห์ที่ทำให้แม้กระทั้งเดอมาร์สูงสุดซึ่งจิตใจสงบนิ่งไม่เคยสั่นไหวมาก่อนก็ต้องหันกลับมาลำเลืองมองเธอเป็นครั้งที่สอง

เธอลำเลืองสายตาของเธอมามองและถามอีดงจุน

“นายกลับมาที่นี้เร็วว่าครั้งที่แล้วนะ มีอะไรงั้นเหรอ”

“ฉันเอาเขาของชิลกัคซูมาให้นะ”

“อ่า มันนั้นเอง”

ตั้งแต่ที่ซอลจองยอนบอกว่าเธออยากได้มัน อีดงจุนก็ได้ใช้เวลาทั้งหมดของเขาในการตระเวนไปในดันเจี้ยนต่างๆทั่วทั้งโลกใบนี้ และในท้ายที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จในการได้รับเขาของชิลกัคซูนี้มา แต่ว่าซอลจองยอนกลับยกนิ้วเท้าสีขาวของเธอไปมาและชี้มันไปที่ไหนสักที่โดยที่ไม่ได้ให้ความสนใจกับกับพวกมันเลยสักนิด

“วางมันไว้ตรงมุมนั้นแหละ”

“มันโอเคงั้นหรือที่จะวางมันไว้แบบนั้น”

“มันไม่ได้สำคัญอะไร”

“…..”

ถึงแม้ว่าเธอจะพูดออกไปแบบนั้นอย่างจงใจ อีดงจุนก็ได้วางเขาของชิลกัคจูพวกนั้นไว้ที่มุมหนึ่งของกระถ่อมนี้ตามที่ซอลจองยอนบอกกับเขาด้วยสีหน้าที่ไร้กังวล เขาแม้กระทั้งหาพลาสติกมาคุมมันไว้เพราะกลัวว่ามันจะมีฝุ่นมาเกาะ ซอลจองยอนที่เห็นเช่นนั้นกลับรู้สึกหงุดหงิดกับวิธีการที่เขาทำตัวเป็นคนจริงใจอันไร้ประโยชน์เช่นนี้แต่เธอก็ไม่ได้แสดงมันออกมาทางสีหน้า

“ถ้าหากว่าเธอมีอะไรที่เธอต้องการอีกหละก็ บอกฉันมาได้เลยนะ หากว่ามันเป็นสิ่งที่ฉันสามารถเอามันมาได้หละก็ ฉันจะเอามันมาให้เธอ”

“เยี่ยมม…”

ดวงตาของเดอมาร์ชำเลืองมองไปยังข้างของเธอ ท่าทางของเธอจมลงไปในโซฟาพร้อมกับห้อยเส้นผมของตนเองมาพาดไว้ที่ขอบโซฟา มันแทบจะไม่มีส่วนไหนในร่างกายของเธอเลยที่แสดงออกมาเนื่องจากว่าชุดสูทที่เธอใส่มันคลุมไปแทบจะทุกส่วนของร่างกายเธอ แต่ว่าข้อเท้าและข้อมือที่ขาวเนียนของเธอยังคงโผล่ออกมานอกเสื้อผ้าอยู่ดี แต่ไม่สิแค่เพียงตัวตนของเธอเองก็น่าหลงไหลมากพออยู่แล้วจนถึงขั้นที่ว่าเขาไม่สามารถจะละสายตาไปจากเธอได้เลย

“แล้ว ตอนนี้พวกเราจะทำอะไรกันต่อดี?”

‘ฉันควรที่จะส่งเขากลับไปเลยดีไหม? หรือว่าพวกเราควรที่จะตามน้ำไปในสิ่งที่เขาขอให้ฉันทำดี?’

ในขณะที่เธอกำลังคิดเกี่ยบกับเรื่องนี้อยู่นั้นเอง อีดงจุนก็ได้หยิบเอาสมาร์ทโฟนของตนเองขึ้นมา ทันใดนั้นการแสดงออกของเขาก็แข็งทือไป

ทั้งสบสัน ร้อนใจ และ ความเกรี้ยวกราว

เดอมาร์สูงสุดที่ไม่เคยจะแสดงอารมณ์ของเขาเองมาก่อนเลย

ชอนมามองดูมันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

‘โอ้มายก๊อด ท้ายที่สุดชายคนนั้นก็เริ่มที่จะลงมือทำอะไรบางอย่างแล้วสินะ?’

ชอนมาที่เดาว่ามันถึงเวลาแล้ว ได้ยกแขนเสื้อของตัวเองขึ้นมาปิดปากเอาไว้และแอบหัวเราะออกมา จากนั้นอีดงจุนก็พูดออกมาราวกับว่าเขาพยายามที่จะซ่อนความร้อนใจของตนเองไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

“ฉันต้องกลับแล้ว”

“นายเบื่อฉันแล้วงั้นเหรอ?”

“ไม่ใช่แบบนั้นนะ!!”

“จริงเหรอ? หืมมมมม…..”

หากว่านี้เป็นซอลจองจอนตามปกติแล้วหละก็ เธอคงจะทำตัวเย็นชาใส่เข้าไปแล้ว มันเป็นครั้งแรกเลยที่ซอลจองยอนพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความปรารถนาเช่นนั้น ดังนั้นแล้วสำหรับตัวเดอมาร์เองมันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะหันหลังจากไปแม้ว่าเขาจะมีเรื่องเร่งด่วนที่จำเป็นต้องไปทำก็ตาม

แล้วข้อความอีกอันก็ได้ขึ้นมาที่สมาร์ทโฟนของเขา

[ยูซอดัม : ได้โปรดมาที่นี่ในตอนนี้เลย ผู้ฝึกฝนอึ้มกงบางคนกำลังสร้างความเสียหายไปทั่วทั้งโถงคอนเสิร์ตในงานของเฮโลนี่ และชินฮเยจีก็กำลังดูคอนเสิร์ตอยู่ที่นี่]

“เหื้อ ฉันเบื่อแล้วหละ…”

และอยู่ดี ทัศนะคติของชอนมาก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง

มันทำให้จิตใจของเดอมาร์ถึงกับว้าวุ้นใจและสับสน

– ใจเย็นๆ!! อย่าสูญเสียความสงบนิ่งของเจ้าไป

‘ฉันสงบดี’

– อย่างมั่วแต่ไปจับจ้องที่มัน ตั้งสติหน่อยสิ ไม่งั้นเจ้าจะสูญเสียความสงบนิ่งไปot

‘โอเคๆ หยุดจู้จี้ได้แล้ว’

หลังจากที่ได้ถอนหายใจออกมาอย่างรุนแรงและสงบสติของตัวเองลงเดอมาร์ก็ได้ตอบชอนมากลับไป

“ฉันขอโทษจริงๆ แต่ว่าฉันต้องไปแล้วในตอนนี้ ไว้ฉันจะมาหาอีกนะ”

“นายไม่สนุกเอาเสียเลย”

ซอลจองยอนหันหลังจากไปและอีดงจุนที่กำลังมองไปที่แผ่นหลังของเธอด้วยความเสียใจ และหายไปจากจุดๆนั้น

ในทันทีที่เขาได้จากไป ซอลจองยอนได้ฉีกยิ้มกว้างออกมา รอยยิ้มที่เธอพยายามที่จะอดกลั้นมันเอาไว้อย่างอยากลำบาก

‘ฉันยิ่งอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นไปอีก’

ว่าตัวตนของชายคนนั้นเป็นใครกันแน่ คนที่สามารถจะทำลายหน้ากากอันจอมปลอมของเดอมาร์ที่แม้แต่ผู้คนทั้งหลายจากมูริมก็ไม่สามารถทำได้?

อยู่ๆดีหัวใจของเธอก็เริ่มที่จะเต้นแรงขึ้น แต่เธอก็รั้งมันเอาไว้

‘นายบอกว่านายจะมาพาฉันออกไปนิ’

เธอกำลังรอคอยให้ถึงวันที่เขาจะมาหาเธออยู่