ตอนที่ 233 กลางคืนจะหายดี การต่อสู้จะหนักหน่วงมากยิ่งขึ้น (2)
พออิ่งซาคำนับเสร็จก็หยิบกล่องกล่องนึงส่งให้จิ่งชินอ๋อง “นี่คือสิ่งที่เจ้านายให้บ่าวนำมามอบให้ชินอ๋อง”
“เหตุใดถึงมีเพียงเท่านี้” จิ่งชินอ๋องรับกล่องมา ชั่งน้ำหนักด้วยมือดูคร่าวๆ ท่าทางแลดูไม่พอใจ
อิ่งซาสีหน้ายังคงเย็นชาเช่นเดิม “เจ้านายบอกว่าตกลงกับชินอ๋องไว้ว่าเกี่ยวกับเรื่องนี้จะต้องไม่ให้คุณหนูมั่วแห่งจวนกั๋วกงได้รับความบาดเจ็บแม้แต่น้อย ตอนนี้ถึงแม้ว่าคุณหนูมั่วจะยังมีชีวิตอยู่ แต่หน้าผากของนางกลับได้รับบาดเจ็บเพราะฝ่าบาท แม้ว่าคุณหนูมั่วจะรอดชีวิตมาได้เพราะไหวพริบและความพยายามของตนเอง แต่คำพูดของชินอ๋องก็มีส่วนช่วยนางจึงมิอาจมองข้ามได้ ดังนั้นจึงได้ลดค่าตอบแทนที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ลงเล็กน้อย ตอนนี้ได้ส่งมอบให้ชินอ๋องแล้ว คิดว่าชินอ๋องก็น่าจะไม่ถือสาอะไร”
ที่อิ่งซาพูดว่าคำพูดของเขามีส่วนช่วย แต่ไม่ใช่การพูดช่วยเหลือ จิ่งชินอ๋องเก็บความไม่พอใจเอาไว้ พลางกล่าวอย่างมีความหมายลึกซึ้ง “เจ้านายของเจ้าคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนเสียจริง”
เขาเปิดกล่องดู วิเคราะห์ของที่อยู่ในกล่อง ก็รู้สึกพึงพอใจ ใบหน้าแลดูไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจอะไรแม้แต่น้อย พลางวางกล่องนั้นไว้ที่ด้านข้าง
เดิมทีเขาคิดว่าแม้แต่ของเล็กน้อยเหล่านี้ก็ไม่น่าจะนำมาส่งมอบให้เขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มั่วเชียนเสวี่ยไม่เพียงแต่ได้รับบาดเจ็บที่หน้าผาก แต่เขาเองก็พูดช่วยไปไม่กี่คำ ขนาดคำพูดขอร้องให้นางยังไม่เคยได้พูดออกไปเลย
น้ำเสียงที่ฟังดูไม่พอใจเมื่อครู่นี้ เป็นเพียงการหยั่งเชิงเท่านั้น ดูขีดเส้นความอดทนของคุณชายใหญ่ตระกูลหนิงผู้นี้และในขณะเดียวกันก็เป็นการสวมหน้ากากให้ตนเอง
อิ่งซาดวงตาคล้อยต่ำมิกล่าวสิ่งใด จิ่งชินอ๋องทำท่าทางราวกับขาดทุนเป็นอย่างมาก พลางถอนหายใจยาว
“ช่างเถิด ถือว่าข้าได้ช่วยมั่วเทียนฟ่างก็แล้วกัน แม้ว่าเขาจะไม่มีบุตรชาย แต่มีบุตรีเช่นนี้ เขาจะไม่สิ้นวงศ์ตระกูล คุณงามความดีตลอดชีวิตของเขาจะถูกจารึกไว้ตลอดไป กลับไปรายงานเจ้านายของเจ้าว่าให้ยั้งใจไว้ก่อน ฝ่าบาทไม่มีทางให้มั่วเชียนเสวี่ยแต่งงานแน่ โดยเฉพาะถ้าต้องแต่งเข้าตระกูลหนิงของพวกเจ้าด้วยแล้ว”
“เรื่องนี้ไม่ต้องรบกวนชินอ๋องแล้ว เจ้านายข้าจะจัดการด้วยตัวเอง”
ที่ท้องพระโรงเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
มีจิ่งชินอ๋องออกหน้าให้ แค่เพียงคำถามไม่กี่คำ ขุนนางเหล่านั้นที่เมื่อคนล้มแล้วข้าม ก็จะไม่กล้าออกมาพูดจาเหลวไหลอีกต่อไป ฮ่องเต้ก็ต้องไว้หน้าเขาบ้างอยู่แล้ว ดังนั้นสิ่งที่ทำให้มันมีประโยชน์สูงสุดนั่นก็คือคำอธิบายสุดท้ายของมั่วเชียนเสวี่ย
อิ่งซาเพิ่งจะจากไป ก็มีสตรีน้อยนางหนึ่งเดินเข้ามา
สตรีคนนั้นผิวขาวใสดั่งหยก ริมฝีปากแดงระเรื่อเรียวบาง ดวงตากลมโตสดใสยิ่งนัก นางสวมชุดหรูฉุนซึ่งเป็นผ้าแพรต่วนอวิ๋นเสวี่ยสีแดงสดปักลายเมฆสีทองเต็มชุด อีกทั้งด้านนอกยังสวมใส่ชุดคลุมบางๆ สีขาวเงิน
ผมสลวยเกล้าเป็นมวย มีเพียงผมไม่กี่เส้นที่ห้อยย้อยลงมาที่ข้างแก้มและใบหูทั้งสองข้าง
บนศีรษะของนางปักด้วยปิ่นเฟิ่งจุ่ย บนปิ่นประดับไปด้วยอัญมณีห้อยตรงลงมาจรดที่หน้าผาก ดูหรูหราสง่างาม ยามย่างเท้าเดินก็กวัดแกว่งไปมา ทำให้นางยิ่งดูกระฉับกระเฉงมีเสน่ห์ขึ้นมาอีกหน่อย
พอสตรีน้อยนางนั้นเข้ามาในห้องตำรา ก็ตรงเข้ามาคว้าตัวจิ่งชินอ๋องทันที และเรียกเสด็จพ่อพลางวางท่าเอาแต่ใจ
“ซูซูมาแล้วหรือ” จิ่งชินอ๋องมองสตรีผู้นี้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงแฝงด้วยการตำหนิเล็กน้อย “เหตุใดวันนี้ถึงได้ว่างมาหาพ่อได้เล่า หืม”
สตรีผู้นี้ก็คือบุตรีของจิ่งชินอ๋องซึ่งเขารักมาก มีนามว่า ท่านหญิง[1]ซูซู
“เสด็จพ่อ” ท่านหญิงซูซูหาได้กลัวเสด็จพ่อของนางคนนี้ไม่ เพียงแต่เรียกเสด็จพ่อซ้ำๆ อย่างเอาแต่ใจ ก็ยิ่งทำให้ชินอ๋องใจอ่อน
“เจ้าเด็กน้อย บอกมา มาหาพ่อด้วยเรื่องอันใด”
“ได้ยินมาว่าเมื่อวานนี้บุตรีของจวนกั๋วกงได้ก่อเรื่องวุ่นวายสังหารเหล่าขอทานนับสิบกลางเมือง เป็นเรื่องจริงหรือเพคะ”
ท่านหญิงซูซูดวงตาเป็นประกาย ตั้งแต่นางยังเล็กนางก็ชอบการต่อสู้ เกลียดการท่องตำรา และที่เกลียดมากที่สุดก็คือพวกสตรีสูงศักดิ์ที่ชอบแสร้งทำเป็นคนดีเหล่านั้น วันนี้พอได้รับรู้สิ่งที่บุตรีของจวนกั๋วกงผู้นั้นกระทำ ในใจก็รู้สึกชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง อยากจะเป็นสหายกับนาง
บุุตรีบ้านไหนๆ ก็ล้วนมีความอยากรู้อยากเห็น ชอบฟังเรื่องแปลกๆ จิ่งชินอ๋องลูบผมของนางอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก พลางเอ่ยตอบอย่างสบายๆ “จริงแท้แน่นอน”
“เช่นนั้น…คุณหนูมั่วผู้นี้ทำอย่างไร ช่วยเล่าให้ลูกฟังด้วย…เป็นจอมยุทธ์หญิงที่ท่องยุทธภพ กล้าหาญเด็ดเดี่ยว เสียงดังกังวานดั่งระฆังใหญ่ และร่างกายแข็งแกร่งดั่งวัวใช่หรือไม่เพคะ…”
ท่านหญิงซูซูพูดไปพลาง ทำท่าทางตื่นเต้นไปพลาง แน่นอนว่าใจจริงนางก็หาได้คิดเช่นนี้ไม่ ทว่าเพื่อที่จะทำให้เสด็จพ่อยิ้ม และก็เพื่อที่จะได้ฟังความคิดเห็นที่ตรงประเด็น แสร้งยอมหน่อยท่านจะได้ไม่เคือง
“ระฆังใหญ่? แข็งแกร่งดั่งวัว?” ฮ่าๆๆๆ จิ่งชินอ๋องฟังการบรรยายของบุตรี พลางมองท่าทางของนาง ก็หัวเราะออกมา!
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่อาจเปรียบเทียบสตรีผอมบางที่คุกเข่า พูดจาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือทว่าดื้อรั้นอยู่ในท้องพระโรงตอนเช้ากับระฆังใหญ่และวัวที่แข็งแกร่งได้ เด็กคนนั้นไม่เพียงแต่ไม่หยาบคาย แต่ดูแล้วยังสง่างาม อ่อนโยน ใครจะรู้ว่านางจะมีทั้งความอ่อนโยนและแข็งแกร่ง…
จิ่งชินอ๋องดึงตัวเองออกมาจากภวังค์ความคิด กล่าวอย่างจริงจังและเป็นกลาง “อืม…รูปโฉมนางโดดเด่น ท่วงท่าสง่างาม แต่ภายในกลับเป็นคนที่ไม่ยอมใครง่ายๆ นางกล้าหาญ รอบคอบ หนักแน่น…”
“…”
……
ซูชีและเฟิงอวี้เฉินมาส่งมั่วเชียนเสวี่ยถึงที่หน้าจวนกั๋วกงแล้ว แต่มั่วเชียนเสวี่ยกลับไม่ได้เชิญพวกเขาเข้าไปนั่งพักด้านใน เพียงแต่กล่าวขอบคุณเสียงใส ชูอีและสืออู่ที่รออยู่หน้าจวนกั๋วกงมาโดยตลอดก็เข้ามาพยุงตัวนางเดินเข้าประตูจวนไป
ซูชีบังคับม้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว และพูดทิ้งท้ายไว้ “ช่วงนี้ข้าจะยังอยู่ในเมืองหลวง มีเรื่องใดก็ให้บ่าวไปรายงานข้าได้โดยตรง” แล้วเขาก็ควบม้าจากไป
ตอนนี้สิ่งที่นางต้องการมากที่สุดก็คือรักษาบาดแผลและพักผ่อน! เหตุใดเขาถึงไม่รู้จักเวล่ำเวลาเช่นนี้
เฟิงอวี้เฉินลงจากม้า กำลังจะตามนางเข้าไป แต่กลับถูกมั่วเหนียงที่รออยู่หน้าจวนนานแล้วยื่นมือออกมาขวางไว้ “คุณชายเฉินเจ้าคะ คุณหนูต้องการพักผ่อน เชิญท่านกลับจวนไปก่อน วันหลังค่อยมาเยี่ยมใหม่นะเจ้าคะ”
แม้ว่ามั่วเหนียงจะไม่รู้ว่าวันนี้ที่ในท้องพระโรงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณหนูของตนเอง แต่พอเห็นบาดแผลที่น่ากลัวบนหน้าผากของมั่วเชียนเสวี่ย อีกทั้งคราบเลือดบนชุดขาว และสีหน้าที่เคร่งขรึม ก็รู้ได้ว่าคุณหนูอารมณ์ไม่ดี
หากคุณชายเฉินเป็นคู่หมั้นของคุณหนู นางย่อมจะปล่อยให้เขาเข้าไปอยู่แล้ว คุณหนูได้เลือกกูเหยีย อย่างชัดเจน และเมื่อครู่นี้นางก็ได้แสดงเจตนารมณ์ของตนแล้ว เพียงกล่าวขอบคุณ ไม่ได้เชิญคุณชายทั้งสองที่มาส่งให้เข้าไปนั่งพักที่ด้านใน นางจึงมิอาจปล่อยให้เขาเข้าไปได้
ยังดีที่เฟิงอวี้เฉินไม่ได้ทำให้นางลำบากใจ เพียงแค่ฝากนางบอกคุณหนูว่าเขาจะพักอยู่ที่เรือนหลังเดิมในจวนตระกูลเฟิง จากนั้นก็หันหลังเดินจากไป
เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าในตอนนี้นางต้องการอยู่เงียบๆ เพียงแค่คุ้นเคยกับการเป็นคนคอยดูแลมาหลายปี จึงทำให้เขาเดินตามหลังนางไป หากเป็นเสวี่ยเอ๋อร์คนก่อน จะต้องโผเข้าหาอ้อมกอดของตนเองและต้องการให้ตนเองอยู่เป็นเพื่อนอย่างแน่นอน…
มั่วเชียนเสวี่ยอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ลมหายใจที่แผ่ซ่านออกมานั้นรุนแรงนัก
พวกบ่าวรับใช้ที่เดินผ่านล้วนมือไม้สั่นหลีกทางมาด้านข้างให้นางผ่านไป ไม่มีผู้ใดกล้าเงยหน้ามองนาง สักพัก หมัวมัวก็ทำความสะอาดบาดแผล และใส่ยาให้มั่วเชียนเสวี่ย
ไม่นาน บาดแผลที่หน้ากลัวบนหน้าผากก็ถูกหมัวมัวที่ร้องไห้อยู่พันแผลให้เรียบร้อย ขี้ผึ้งหนิงปี้ที่สืออู่พกติดตัวเอาไว้ตลอดก็ได้ถูกนำออกมาใช้อีกครั้ง
พอหมัวมัวจัดการกับหน้าผากของนางเสร็จ มั่วเชียนเสวี่ยก็ให้ชูอีและสืออู่พับมุมกางเกงของนางขึ้น
พื้นของท้องพระโรงล้วนปูไปด้วยหินดำ ทั้งแข็งและเย็นมาก คุกเข่าเป็นเวลานาน ในยามนี้หัวเข่าของนางไม่เป็นอย่างที่นางคาดการณ์เอาไว้ทั้งแดงและบวม หากไม่รักษาให้ดี เกรงว่าจะกลายเป็นโรคไขข้อได้
หมัวมัว ชูอี และสืออู่ล้วนตาแดงไปหมด สะอื้นไห้พูดอะไรไม่ออก
ในใจของพวกนาง คุณหนูคือเทพธิดา มิอาจให้นางลำบากได้แม้แต่น้อย
[1] ท่านหญิง ตำแหน่งเชื้อพระวงศ์หญิงลำดับที่ 3 สำหรับพระธิดาในชินอ๋องกับตี้ฝูจิ้น