ตอนที่ 205 มุกฝืด
หนึ่งทุ่มตรง เย็นวันนั้น
หลินเยวียน เฉินจื้ออวี่ และผู้จัดการของเฉินจื้ออวี่ก็มาถึงร้านหม้อไฟของซุนเย่าหั่ว
ร้านหม้อไฟนี้มีชื่อว่า ‘เยี่ยนเยี่ยนหม้อไฟ’
ร้านหม้อไฟมีลูกค้ามากมาย มองออกว่ากิจการที่นี่ดีมาก ซุนเย่าหั่วออกมาต้อนรับที่หน้าประตู
“สวัสดีครับ ผมเฉินจื้ออวี่”
เฉินจื้ออวี่เอ่ยแนะนำตัวก่อน จู่ๆ ก็พูดขึ้นอย่างไม่แน่ใจ “พวกเราเคยเจอกันหรือเปล่าครับ”
ซุนเย่าหั่วเอ่ยเตือนความจำ “ซุนเย่าหั่วครับ ผมเป็นคนร้องเพลงกุหลาบแดง”
เฉินจื้ออวี่กระจ่างขึ้นมาทันที
นึกไม่ถึงว่าเพื่อนที่อาจารย์เซี่ยนอวี๋บอกว่าเปิดร้านหม้อไฟ จะเป็นเพื่อนร่วมสายอาชีพของตน!
เป็นคนในวงการเดียวกันทั้งนั้น ถึงแม้ซุนเย่าหั่วจะไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังอะไร แต่เขาเคยพบกับเฉินจื้ออวี่ในงานอีเวนต์บางงาน
ฉะนั้นเฉินจื้ออวี่ถึงได้รู้สึกคุ้นหน้าซุนเย่าหั่ว
เมื่อเทียบกันแล้ว ซุนเย่าหั่วคุ้นเคยกับเฉินจื้ออวี่มาก
ถึงอย่างไรเฉินจื้ออวี่ก็เป็นนักร้องแถวหน้า ในวงการจะมีนักร้องสักกี่คนกันที่ไม่รู้จักเขา
“นี่คือหลิวโหมว ผู้จัดการของผม”
“สวัสดีครับ”
“ไม่ต้องพิธีรีตองหรอก เราเข้าไปข้างในกันดีกว่าครับ ห้องส่วนตัวเตรียมไว้แล้ว จะปล่อยให้รุ่นน้องหิวได้ไง” ซุนเย่าหั่วเอ่ยพลางมองไปทางหลินเยวียน
“…”
พูดคุยกันอยู่ไม่กี่ประโยค ทุกคนก็เข้าไปในห้องส่วนตัว
ขณะที่เฉินจื้ออวี่กำลังจะพูด จู่ๆ ก็มีเสียงเพลงดังขึ้นในโสตประสาท “ความฝันในฝันที่ไม่ตื่นจากฝัน สีแดงถูกเหนี่ยวรั้งในด้ายแดง…”
สีหน้าของเฉินจื้ออวี่เปลี่ยนไป
เพลงนี้เฉินจื้ออวี่คุ้นเคยดี
ก่อนหน้านี้มีครั้งหนึ่งที่เขาได้ลำดับสอง ก็เพราะเจอกับเพลงนี้นี่แหละ…
ซุนเย่าหั่วแลดูเป็นกังวล “เป็นอะไรไป พี่จื้ออวี่ไม่ชอบเพลงนี้เหรอครับ งั้นผมจะให้พนักงานเปิดเพลงของคุณ”
“ไม่ต้องครับ ไม่ต้อง”
เฉินจื้ออวี่ยิ้มบาง เอ่ยว่า “นี่เป็นเพลงของอาจารย์เซี่ยนอวี๋ ผมจะไม่ชอบได้ยังไงครับ”
“งั้นก็ดีแล้วครับ ผมยังคิดว่าพี่จื้ออวี่ไม่ชอบเพลงที่ผมร้องซะอีก…” ซุนเย่าหั่วรู้สึกเกรงใจอยู่บ้าง
หลิวโหมวกะพริบตาปริบๆ
บรรยากาศแบบนี้ แปลกชอบกลอยู่นะ
หลินเยวียนไม่ได้คิดมาก “ผมไปตักน้ำจิ้มก่อน”
ซุนเย่าหั่วบอก “ออกไปเลี้ยวซ้าย…ให้ฉันพาไปมั้ย”
“ผมไปเองครับ กินกันก่อนเลย” หลินเยวียนลุกขึ้นเดินออกไปยังโซนน้ำจิ้ม
ซุนเย่าหั่วไม่ได้ดึงดัน ให้คนนำเมนูมา “ทั่งสองท่านสั่งอาหารก่อนได้เลยครับ”
“ครับ ขอบคุณครับ”
เฉินจื้ออวี่เริ่มสั่งอาหาร
หลังจากสั่งอาหารเสร็จ ซุนเย่าหั่วอ่านเมนู พลางกล่าวกลั้วหัวเราะ “ขอโทษนะครับ หลอดเลือดใหญ่หมดแล้ว เลือดเป็ดน่าจะไม่มีแล้วใช่มั้ย”
ซุนเย่าหั่วมองไปทางพนักงาน
พนักงานชะงักไป “อันนี้มี…หรือไม่มีนะครับ?”
ซุนเย่าหั่วเริ่มหัวเสีย “ผมจะไปรู้ได้ยังไงล่ะครับ คุณน่าจะรู้เรื่องในครัวดีกว่าผมไม่ใช่เหรอ”
พนักงานตอบอย่างไม่แน่ใจนัก “เหมือนจะหมดแล้วนะครับ”
ซุนเย่าหั่วพยักหน้า ก่อนจะมองไปทางเฉินจื้ออวี่ “ขอโทษนะครับ…”
“ไม่เป็นไรครับ”
เฉินจื้ออวี่โบกมือ “ผมก็จะไปตักน้ำจิ้มเหมือนกันครับ”
“ผมด้วย”
หลิวโหมวกล่าวพลางหยัดกายลุกขึ้น
ทั้งสองเพิ่งจะเดินออกไป หลินเยวียนก็กลับมาถึงห้องส่วนตัว และเอ่ยถามซุนเย่าหั่ว “สั่งอาหารหรือยังครับ”
ซุนเย่าหั่วยิ้ม ตอบว่า “สั่งแล้ว ทวนให้หน่อย ดูว่ารุ่นน้องมีอะไรอยากสั่งเพิ่มเติมหรือเปล่า”
“ได้ครับ”
พนักงานซึ่งยืนอยู่ด้านข้างจึงอ่านทวนว่ารายการอาหารที่สั่งไปมีอะไรบ้าง
หลินเยวียนฟังจบ ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วบอก “เพิ่มหลอดเลือดใหญ่กับกระเพาะผ้าขี้ริ้วแล้วกันครับ อ้อ แล้วก็เลือดเป็ด”
“หลอดเลือดใหญ่กับเลือดเป็ดไม่มีแล้วครับ!”
พนักงานชำเลืองมองซุนเย่าหั่วราวกับกำลังขอคำชื่นชม
เขารู้สึกว่าตนชาญฉลาดมากที่อ่านความคิดของเจ้านายออก
ซุนเย่าหั่วมุมปากกระตุก “หลอดเลือดใหญ่กับเลือดเป็ด ผมจำได้ว่ายังมีไม่ใช่เหรอ”
พนักงานรู้สึกว่าตนตามความคิดของซุนเย่าหั่วไม่ทัน “งั้นมี…หรือไม่มีนะครับ?”
“มี!”
ซุนเย่าหั่วถลึงตาใส่พนักงาน “ยกอาหารมาเลยครับ”
“ได้ครับๆ…”
พนักงานแทบเผ่นออกไปทันที
ไม่ทันไร อาหารก็ถูกยกมาจัดวาง
เฉินจื้ออวี่และหลิวโหมวที่เพิ่งกลับมาเห็นหลอดเลือดใหญ่กับเลือดเป็ดในจาน จากนั้นก็มองไปยังซุนเย่าหั่ว ก่อนจะจมลงสู่ห้วงความคิด
หมอนี่ คิดว่าตัวเองตลกมากหรือไง
……
การนั่งกินหม้อไฟด้วยกัน คล้ายกับว่าจะช่วยลดความเหินห่างระหว่างผู้คนได้ง่ายขึ้น ทุกคนกินไปได้ไม่ถึงสิบนาที ในห้องก็ครึกครื้นขึ้นมาบ้างแล้ว
ซุนเย่าหั่วกับเฉินจื้ออวี่ สนทนากันหลายเรื่องอย่างออกรสออกชาติปานประหนึ่งสหายรักที่ไม่ได้พบหน้ากันมานาน
เฉินจื้ออวี่ชอบพูดคุยเรื่องเหตุการณ์ต่างๆ ในวงการเพลงกับซุนเย่าหั่ว พูดคุยเรื่องงานพรีเซนเตอร์ที่ตนทำ พูดคุยเรื่องงานเพลงของตน
ซุนเย่าหั่วชอบพูดคุยเรื่องอาหารการกิน จึงพูดเรื่องธุรกิจร้านอาหารของเขา
“ก่อนหน้านี้ผมมีเพลงหนึ่งที่ถูกเลือกไปใส่ในหนังสือเรียนมหา’ลัย”
“ก่อนหน้านี้ร้านชานมของผมกิจการไม่เลวเลย ช่วงนี้เลยขยายเป็นสองสาขา”
“ก่อนหน้านี้ผู้ว่าจ้างจ่ายค่าพรีเซนเตอร์ให้ผมเยอะมาก”
“ช่วงนี้ผมเตรียมเปิดร้านน้ำชา จะทำตามสไตล์ฉีโจว”
“เป็นนักร้องแถวหน้าอย่างผมที่จริงไม่ง่ายเลย พวกคุณสบายกว่าเยอะ”
“เฮ้อ เปิดร้านอาหารก็ไม่ง่ายเลย ได้เงินเยอะก็จริง แต่งานหนักแค่ไหนมีแค่ตัวเองที่รู้”
“เอ๊ะ พี่เย่าหั่ว? ทำไมเป็นเพลงกุหลาบแดงอีกแล้วล่ะ เพลงร้านคุณเล่นเพลงวนซ้ำเหรอครับ”
“งั้นผมเปลี่ยนเป็นชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์ดีไหมล่ะครับ ผมก็ร้องเพลงนี้เหมือนกัน”
“อ้อ เป็นเพลงที่อาจารย์เซี่ยนอวี๋เขียนเหมือนกัน เปิดได้เลยครับ…เพลงของพี่ซุน น้อยไปหน่อยนะครับ”
“ที่จริงก็ยังมีเพลงอื่นอีกนะครับ แต่สองเพลงนี้เคยได้อันดับหนึ่งบนชาร์ต พี่จื้ออวี่เองก็สู้ๆ นะครับ!”
“…”
ทั้งสองสบตากัน ราวกับมีความนัยลึกซึ้งบางอย่าง
มีแค่หลินเยวียน ที่ให้ความเคารพต่ออาหารที่กินเป็นที่สุด กินอย่างเอร็ดอร่อยอยู่คนเดียว
ในตอนนี้ หลินเยวียนกินเนื้อหมด ก็รู้สึกอิ่มไปเจ็ดส่วน
เมื่อหนังท้องตึง…
จู่ๆ เขาก็เกิดความคิดอยากเล่าเรื่องตลกขึ้นมา
จึงค่อยๆ เอ่ยปาก “จำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อนมีครั้งหนึ่งผมไปกินหม้อไฟกับพี่สาว”
ซุนเย่าหั่วกับเฉินจื้ออวี่มองไปทางหลินเยวียน
หลินเยวียนพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “แต่น่าแปลก พวกเราสั่งน้ำซุปของหม้อไฟเป็นซุปใสแท้ๆ แต่กินเข้าไปแล้วรู้สึกชา พี่สาวผมเลยถามเจ้าของร้านว่าทำไมกินน้ำซุปใสไปแล้วถึงชาปาก”
ซุนเย่าหั่วถามขึ้นด้วยความสงสัย “ทำไมเหรอ”
หลินเยวียนพูด “เจ้าของร้านอธิบายว่า ขอโทษด้วยครับ ทั้งสองท่าน พอดีว่าหม้อนี้มีไฟรั่วน่ะ”
บรรยากาศโดยรอบนิ่งค้างอยู่หลายวินาที
ซุนเย่าหั่วส่งเสียงอุกๆ ก่อนจะหัวเราะออกมาดังลั่น
เฉินจื้ออวี่และหลิวโหมวใบหน้าเต็มไปด้วยความสับสน
มุกฝืดแบบนี้ยังขำออกด้วยหรือ
เสียงหัวเราะของซุนเย่าหั่วดังลั่นขั้นเกินจริง เขาขำจนตัวโยน “พวกคุณไม่รู้สึกว่าอาจารย์เซี่ยนอวี๋ตลกกันเหรอครับ”
“ฮ่าๆๆๆๆ…”
หลิวโหมวตามน้ำไปด้วย พลางเตะขาของเฉินจื้ออวี่ “ตลกมากเลยครับ”
เฉินจื้ออวี่ถึงตั้งสติได้ “ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ผมรู้สึกว่าอาจารย์เซี่ยนอวี๋มีอารมณ์ขันมากเลยละ!”
หลินเยวียน “…”
ถึงแม้เขาจะรู้สึกว่ามุกตลกของตนไม่เลว แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องหัวเราะถึงขนาดนั้นก็ได้ล่ะมั้ง
ดูท่าเฉินจื้ออวี่กับหลิวโหมวจะเส้นตื้นมากพอๆ กับรุ่นพี่ซุนเย่าหั่ว
ในที่สุด
พวกเขาก็กินอาหารมื้อนี้เสร็จ
ระหว่างทางกลับบ้าน สีหน้าของหลิวโหมวก็เคร่งขรึม “ซุนเย่าหั่วคนนี้ไม่ธรรมดา ต่อไปนายก็ระวังหน่อยนะ”
“แน่นอนอยู่แล้วครับ”
สีหน้าของเฉินจื้ออวี่ก็ขึงขังเช่นกัน เขาเองก็สัมผัสได้ถึงภัยคุกคามอย่างบอกไม่ถูก “พรุ่งนี้พวกเราอัดเพลงเลย เรื่องจะได้ไม่ยืดเยื้อ!”
……………………………………………………….