ตอนที่ 166 – หญิงชาวเคลติค

“เจ้านายคะ เมื่อวานนี้มีชนชั้นสูงหนุ่มคนนึงเรียกตัวเองว่าสกิปิโอ้พาทาสหญิง3คนมาให้ท่านค่ะ….”

แฝดสาวเดยซี่และดินน่าที่ไม่เคยตัวห่างกัน โผล่ออกมา

ตอนนี้พวกเธอสูงขึ้นและมีน้ํามีนวลกว่าตอนที่มาที่นี่ครั้งแรก. เย่เทียนไม่รู้ว่าที่เป็นแบบนี้เพราะเขาเลี้ยงพวกเธอดีเกินไปรึป่าว แต่พวกเธอยิ่งเหมือนไดอาน่าขึ้นทุกวันๆ

“3คนนั่นมีผมสีแดงใช่มั้ย?”

เย่เทียนถามด้วยน้ําเสียงที่ประหลาดใจเพราะไม่นึกว่าอาสการ่าจะทําตามคําพูดตัวเองและพาทาสหญิงที่เขาได้จากการชนะพนันแข่งม้ามาให้แบบนี้

“ค่ะ พวกนางเป็นผู้หญิงผมสีแดงทุกคน พวกนางน่าจะมาจากเผ่าคนเถื่อนแน่ๆ!”

เดยซีพยักหน้าแล้วกล่าวอย่างนิ่มนวล

“คนเถื่อน? อ่อ…ไม่ใช่หรอก พวกนางเป็นเผ่าพันธุ์พิเศษน่ะ แถมมีอารยธรรมด้วย!”

เย่เทียนหัวเราะ ถ้าพวกนางเป็นคนเถื่อนจริงถ้าอย่างงั้นทั่วทั้งเมดิเตอเรเนี่ยนนี้ รวมทั้งคนฝั่งตะวันตกคงเป็นคนเถื่อนกันหมดแล้ว

แต่ชาวเคลติคนั้น ถ้าเทียบกับชาวโรมันแล้วก็ไม่ใช่คนเถื่อนแต่อย่างใดเลย.

ชาวเคลติคย้ายถิ่นฐานมาจากยุโรปกลางสู่ยุโรปตะวันตกเมื่อประมาณปีพันปีก่อนคริสตกาลได้, พวกเขามีความบาดหมางกับโรมและทั้งสองก็ทําสงครามกันมาตลอดตั้งแต่ศตวรรษที่4ของยุคสากลแล้ว.

พวกเคลติคนั้นยังเป็นชนกลุ่มแรกในยุโรปที่ริเริ่มการประดิษฐ์และใช้งานเครื่องใช้จากเหล็กและทองอีกด้วย ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงโค่นเผ่าอื่นๆได้ในยุคทองแดงและดํารงเผ่าพันธุ์ไปทั่วตะวันออกและยุโรปกลางในปีศตวรรษที่7ยุคสากล.

ตั้งแต่ศตวรรษที่5ก่อนคริสตกาลเป็นต้นไป พวกเขาก็เริ่มเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งและขยายไปทั่วทั้งยุโรป. ในช่วงยุคทองนั้นชาวเคลติคครองพื้นที่ทําไร่จากโปรตุเกสไปสู่ทะเลดําเลยที่เดียว พวกเขาเกือบจะสูสีจักวรรดิโรมันในช่วงหลังๆเลย.

พวกเขาเองก็สร้างรัฐและเมืองต่างๆ โดยมีชนชั้นสูงและราชวงศ์ปกครองด้วยเช่นกัน

เด็กผู้ชายชาวเคลติคถูกเลี้ยงดูมาให้พร้อมเข้าสนามรบตั้งแต่อายุ14 และความมั่งคั่งที่ชาวเคลติคมีนั้นส่วนใหญ่ก็มาจากสนามรบ.

ดังนั้นเผ่าเคลติคก็นับว่าเป็นเผ่าพันธุ์นักสู้เช่นกัน

นักรบเคลติคจะสู้กับศัตรูแบบเป็นกลุ่มเสมอ พวกเขาทําเสียงที่น่าเกรงขามโดยการกระแทกโล่และคํารามเพื่อข่มขวัญศัตรู. การจู่โจมของพวกเขานั้นเป็นแบบรวดเร็ว โดยเหล่านักรบจะพุ่งเข้าปะทะกับกองทัพศัตรู ใช้ดาบฟันและใช้หอกแทงพร้อมใช้โล่ปกป้องตัวเอง

บางทีอาจเป็นเพราะวิธีการต่อสู้แบบนี้โดยไม่มีการจัดทัพใดๆ พวกเขาจึงถูกชาวโรมันมองว่าเป็นคนเถื่อน

แต่ถึงอย่างงั้น โรมก็เคยพ่ายให้ชาวเคลติคอยู่ครั้งนึงและยังไม่เคยได้ล้างตากันจนกระทั่งบัดนี้

“เอาล่ะ พาข้าไปหาพวกนางที่!”

เย่เทียนยิ้ม เขาไม่เคยเห็นหญิงชาวเคลติคเลย สาวเคลติคสวยๆนี่ยิ่งแล้วใหญ่

พอพวกเขาออกมาที่หน้าบ้าน สาวทั้ง3คนก็กําลังรอเย่เทียนอยู่ มีสองคนที่ตัวเล็กส่วนอีกคนนั้นสูง. คนที่ดูอายุน้อยสุดน่าจะราวๆ14ปี ผอม, สูงแม้จะดูอ่อนแอแต่ใบหน้าของเธอก็งดงามมากๆ ผิวเธอขาวและตาสีน้ําเงินส่องประกายราวกับอัญมณี

ผมยาวๆของเธอมีสีแดงคล้ําทอดยาวลงมาถึงบ่าราวกับน้ําตก ผมนั้นม้วนเป็นธรรมชาติ

คนที่แก่สุดอายุ32ปี สูงประมาณ1.7เมตรด้วยขาที่ยาว เอวคอดราวกับงูเลื้อย ไฟหน้าของเธอก็ดูโค้งงามมากๆ ให้ความรู้สึกว่ามันหนักเลย.

ใบหน้าของเธอมีตาที่เหมือนดั่งไพลิน พร้อมกับผมยาวสีแดงคล้ําม้วนไปมาและคอที่ขาวดุจพญาหงส์

เสื้อผ้าที่ร่างกายเธอดูเก่าเล็กน้อย แต่มันก็ซ่อนส่วนสําคัญในร่างกายที่สูงส่งของเธอได้ดี.

บางทีพวกเขาอาจจะมาจากตระกูลสูงส่งก็ได้.

หญิงคนสุดท้ายดูอายุประมาณ 15ปีและดูโตกว่าคนที่เด็กกว่าและดูสาวกว่าคนที่แก่สุด.

เห็นได้ชัดว่านี่คือช่วงที่สวยที่สุดของนาง.

หญิงชาวเคลติคทั้ง3นี้ดูเหมือนกันมากใครมาดูก็จะบอกว่าเป็นแม่ลูกกันแน่ๆ

พวกนางสุดยอดจริงๆ!

ตอนที่อาสภาร่าส่งพวกนางมา ไม่มีใครรู้ว่าเขาเจ็บใจมากแค่ไหน

ขณะที่เย่เทียนมองพวกนาง พวกนางก็มองกลับเช่นกัน ยกเว้นแต่คนเล็กสุดที่ดูอายหน่อยๆ พี่สาวกับแม่ของเธอดูนิ่งมากๆ

พวกเขายังมีโซ่คล้องมือไว้อยู่แถมดูเหมือนว่าพวกนางยังไม่ยอมและไม่ยอมง่ายๆซะด้วย.

ชาวเคลติคนั้นทะนงตนมาก หรือบางทีแค่ไม่อยากยุ่งเกี่ยว

“ทําตัวไม่ดีเลยนะ!”

เย่เทียนยิ้มแล้วกล่าวซ้ําๆ…

“เจ้านายคะ ชาวเคลติคพูดภาษาเกลิคและส่วนใหญ่ไม่เข้าใจภาษาโรมันด้วยค่ะ!”

ดินน่าอธิบายให้เย่เทียนฟัง พวกนางเรียนมากับแม่บ้างแล้วจึงพอรู้เยอะอยู่

“เกลิค? ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกนางไม่รู้จักภาษาละติน!”

เย่เทียนยิ้มแล้วชี้ไปที่หญิงแก่สุดแล้วกล่าว.

จากนั้นเขาก็เดินไปข้างๆนางพร้อมกับพูดเบาๆว่า “คุณแม่ โปรดบอกชื่อเจ้าให้เจ้านายรู้ด้วย!”

แต่ทว่านางส่งสายตาขยะแขยงออกมาจากนั้นก็ปิดปากเงียบต่อ.

“โอ…..”

เย่เทียนหัวเราะและไม่พูดอะไรต่อแล้วหันไปถึงทาสที่เด็กสุดมากอด จากนั้นก็อุ้มนางขึ้นมาแล้วเดินหนี.

“เจ้านายทาสโรมันเลว ทําอะไรน่ะ?”

พอเห็นลูกสาวตัวเองถูกพาไป นางก็กระวนกระวายขึ้นมาและในที่สุดก็หยุดดื้อแล้วเปิดปากพูด แต่น้ําเสียงก็ดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่

“ในที่สุดก็ยอมพูดซักทีนะ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าจะยังไม่รู้สถานะตัวเองสินะ!”

เย่เทียนกล่าวขณะหยุดเดิน,

“โลริ! นายท่าน นามข้าคือโลริ, ข้ามาจากตระกูลชั้นสูงของเคลติค, ได้โปรดอย่าทําร้ายลูกสาวข้าเลย ข้าจะทําตามที่สั่ง….”

หญิงงามคนนั้นในที่สุดก็ยอมแพ้แล้วพูดกับเย่เทียนด้วยน้ําตาที่คลอเบ้า

“ไม่ว่าเจ้าจะมาจากไหน ชะตาของเจ้าก็ถูกตัดสินไปแล้ว แล้วจะขัดขืนไปเพื่ออะไรล่ะ?”

เย่เทียนยิ้มแล้ววางเด็กผู้หญิงลงแล้วค่อยๆถามนาง “บอกเจ้านายเจ้าซิ เจ้าชื่ออะไรหรือเจ้าตัวเล็ก…”

“ออเดรย์ค่ะ ข้าชื่อออเดรย์…”

เสียงของเด็กผู้หญิงดูเคอะเขินและประหม่ามากๆ

“ทําตัวดีๆล่ะ เจ้านายจะไม่ทําร้ายเจ้าหรอก….”

เย่เทียนกล่าวแล้วยิ้มให้ จากนั้นก็หันไปถามพี่สาวนาง “แล้วเจ้าล่ะ?.

“โซเฟียค่ะ!”

หลังจากเงียบไปครู่นึ่ง โซเฟียก็พูดออกมาเบาๆ

“ใครบอกว่าพวกนางพูดได้แต่เกล็คล่ะ? พวกนางพูดโรมันได้ชัดๆ!”

เย่เทียนกล่าวอย่างภาคภูมิกับเดย์ซี่และดินน่าจนพวกนางหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย.