เล่ม 1 ตอนที่ 75-1 การสอบเสินถง (จบ)

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 75-1 การสอบเสินถง (จบ)
สตรีที่ตอนแรกจะเดินเข้ามาดูใกล้ๆ พอเห็นฉากนี้เข้าก็รีบเอามือปิดตาทันที “บัดสีบัดเถลิง บัดสีบัดเถลิง!”

นางกระทืบเท้า! แล้วหมุนกายเดินออกจากตรอก!

จีหมิงซิวยิ้มบางๆ แล้วยืดตัวขึ้น ถอยห่างจากนางเล็กน้อย “พี่สาวข้า”

มิน่าหมิงอันถึงเรียกนางว่ากูหน่ายนาย แสดงว่าเป็นพี่สาวแท้ๆ ของเขา ฟังจากการเรียกขาน คิดว่าพี่สาวเขาคงแต่งงานออกเรือนไปแล้ว คิดดูแล้วก็ไม่แปลก เพราะเขาก็ไม่เด็กแล้ว คงเป็นไปไม่ได้ที่พี่สาวของเขาจะอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนไม่ยอมออกเรือน แต่ก็นะไม่ใช่ว่าใครๆ จะเหมือนนาง อยู่ดีๆ มีลูกออกมาสองคนอย่างงงๆ ขนาดท้องกับผู้ใดก็ยังมิรู้

“แต่…ทำไมท่านถึงหลบหน้าพี่สาวของท่านเล่า” เฉียวเวยถามด้วยความสงสัย

จีหมิงซิวตอบว่า “ไม่ได้หลบหน้านาง หลบหน้าพวกแม่สื่อที่นางหามาต่างหาก”

แม่สื่อหรือ

เฉียวเวยเข้าใจแล้ว พี่สาวของเขาไม่ชอบคุณหนูจวนเอินปั๋ว ไม่ต้องการให้นางเป็นน้องสะใภ้ของตนเอง ดังนั้นนางจึงทำทุกวิถีทางเพื่อหาตัวเลือกที่เหมาะสมมาให้เขาเพิ่มอีกคน

ส่วนตัวเขาเองไม่ต้องการให้ผู้อื่นเข้ามายุ่มย่ามกับการแต่งงานของตัวเอง ดังนั้นเขาจึงหลีกเลี่ยงพี่สาวของเขา

หมิงอันโกหกจีหว่านคำโต เพื่อกลบเกลื่อนคำโกหก จีหมิงซิวจึงกลับจวนอัครมหาเสนาบดีไม่ได้แล้ว หลังจากส่งเฉียวเวยกลับเรือนสี่ประสาน เขาก็เปลี่ยนเส้นทางไปจวนของหลี่อวี้

วันรุ่งขึ้นเมื่อฟ้าสางเฉียวเวยก็ปลุกเด็กๆ วันนี้เป็นการสอบเสินถงรอบสุดท้าย หลังจากการสอบจบลงก็กลับบ้านได้แล้ว จากนั้นจะมีการประกาศผลในเดือนหน้า

อาหารเช้าประกอบด้วยซาลาเปาไส้น้ำแกงกับโจ๊กรังนก พร้อมกับอาหารแกล้มเป็นเนื้อกับผักอีกหลายอย่าง พ่อครัวจำได้ว่าจิ่งอวิ๋นแพ้อาหารทะเล ดังนั้นเขาจึงใส่ไข่ปูและกุ้งลงในซาลาเปาไส้น้ำแกงให้คนอื่น ส่วนของเขาเป็นเนื้อกับเห็ดหอม

ทุกคนทานกันอย่างเต็มอิ่ม จากนั้นแยกย้ายกันไปเก็บข้าวของ แล้วก้าวขึ้นรถม้าไปสนามสอบ ก่อนจากไป วั่งซูอุ้มเสี่ยวไป๋ไปบอกลาจนครบทุกคน “ลาก่อนลุงหยาง ลาก่อนพี่ลี่ว์จู ลาก่อนพี่สี่เชวี่ย ลาก่อนพี่ยวนยาง…”

ปากเล็กๆ นี้ช่างหวานนัก ทำให้หัวใจของทุกคนอ่อนระทวย

เหมือนเช่นเมื่อวานรถม้าแล่นไปได้ครึ่งทางก็ขับต่อไปไม่ได้ เฉียวเวยกับเฉินต้าเตาจึงพาเด็กๆ ทั้งสามคนเดินไปสนามสอบ เฉินต้าเตาแข็งแรงมาก เขาอุ้มเด็กทั้งสองข้างละคนแล้ววิ่งฉิวราวกับเหาะ ไม่นานทุกคนก็มาถึงสนามสอบ

การเข้าสอบยังอาศัยป้ายเข้าสอบและหนังสือเข้าสอบเช่นเดิม แต่ต่างจากการสอบข้อเขียนเมื่อวาน การสอบวันนี้ค่อนข้างโหดกว่าอยู่บ้าง การสอบวันนี้ใช้รูปแบบของการผ่านด่านทดสอบ ทุกครั้งที่ตอบคำถามถูกต้องก็จะผ่านประตูเข้าไปยังด่านถัดไปได้ ทั้งหมดมีหกประตู หากผ่านสามประตูก็จะถือว่าสอบผ่าน หากผ่านทั้งหกประตูถือว่าเก่งกาจเป็นเลิศ

นับตั้งแต่มีการสอบมาจนถึงตอนนี้ มีเพียงคนเดียวที่ผ่านหกประตูได้ นั่นคืออัครมหาเสนาบดีคนปัจจุบัน

ในการสอบเสินถงครั้งต่อๆ มา ยิ่นอ๋องกับแม่ทัพตัวหลัวต่างติดอยู่ที่ประตูด่านสุดท้าย

ไม่รู้ว่าเด็กๆ ในปีนี้จะสามารถผ่านไปได้กี่ประตู

เฉียวเวยมองส่งเด็กๆ เข้าสำนักศึกษาจนสุดสายตา พวกเขาถูกแบ่งเป็นกลุ่มละสิบคน มีเจ้าหน้าที่พิเศษพาเข้าไปในหอ

วั่งซู จิ่งอวิ๋นและอาเซิง ถูกแบ่งอยู่คนละกลุ่ม

สิ่งที่บังเอิญก็คือจิ่งอวิ๋นกับเฉียวอวี้ฉีอยู่ในกลุ่มเดียวกัน

เฉียวอวี้ฉีตบไหล่เล็กๆ ของเขาอย่างยินดี “อย่ากังวลไปเลยเด็กน้อย ข้าจะปกป้องเจ้าเอง ประเดี๋ยวเจ้าก็นั่งข้างๆ ข้า คอยดูว่าข้าเขียนอะไร จากนั้นเพียงลอกลงไปก็เรียบร้อยแล้ว”

จิ่งอวิ๋นเหลือบมองเขาด้วยสายตาว่างเปล่า “ไม่เป็นไร”

คราวนี้การสอบเป็นไปอย่างผ่อนคลาย วั่งซูแบกห่อตำราเล็กๆ ไว้ด้านหลัง ทว่าสิ่งที่อยู่ในนั้นคือเสี่ยวไป๋ ดวงตาสีดำกลมโตของเสี่ยวไป๋จ้องเม็ดหมากบนโต๊ะอย่างไม่ละสายตา

มีตัวหมากทั้งหมดสิบสี่ตัว วางตัดกันเป็นสามแถว แถวนอนมีหมากหกตัว แถวตั้งมีห้าตัว แถวทแยงมีห้าตัวเช่นกัน คำสั่งคือให้ขยับหมากหนึ่งตัวเพื่อให้กลายเป็นแถวละหกตัวเท่ากัน

“เสี่ยวไป๋ทำอย่างไร”

ดวงตาเล็กๆ ของเสี่ยวไป๋มองจนมึนงงไปหมด ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน…

ในอีกห้องหนึ่ง จิ่งอวิ๋นหยิบหมากตัวหนึ่งจากแถวที่มีหกตัว จากนั้นวางซ้อนไว้บนตัวหมากที่อยู่ตรงกลางจุดตัดของทุกแถว เมื่อเป็นเช่นนี้แต่ละแถวจึงมีตัวหมากหกตัว

เขานำกระดานของตนมาส่งให้ผู้คุมสอบ

ผู้คุมสอบพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “เจ้ามีนามว่าอันใด”

“เฉียวจิ่งอวิ๋นขอรับ” น้ำเสียงของเขานิ่งสงบ

อายุน้อยเท่านี้ แต่มีจิตใจสุขุมเยือกเย็นนัก

แววตาชื่นชมของผู้คุมสอบยิ่งเพิ่มมากขึ้นอีก เมื่อหาหนังสือเข้าสอบของเฉียวจิ่งอวิ๋นออกมาดูแล้วพบว่าอีกฝ่ายอายุเพียงห้าขวบเท่านั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง

จิ่งอวิ๋นโค้งคำนับผู้คุมสอบ รับหนังสือเข้าสอบแล้วผลักประตูเดินเข้าไป

“เรียบร้อย! ข้าก็ทำได้แล้ว!” เฉียวอวี้ฉีส่งกระดานให้ผู้คุมสอบ “เฉียวอวี้ฉี!”

สกุลเฉียวเหมือนกันด้วยหรือ

ผู้คุมสอบมองเขาอย่างแปลกใจ

ทว่าเมื่อเฉียวอวี้ฉีถูกคนมองประเมินด้วยสายตากลับไม่พอใจ นิสัยเสียเยี่ยงนายน้อยกำเริบขึ้นมาทันควัน “อะไร ข้าไม่ได้โกงเสียหน่อย! ส่งหนังสือเข้าสอบมาให้ข้าเร็วเข้า!”

แม้ว่าพวกเขาจะสกุลเฉียวเหมือนกัน แต่คนหนึ่งเหมือนลูกมังกรจำศีล ส่วนอีกคนเหมือนม้าป่าหลุดบังเหียน เป็นพี่น้องกันได้อย่างไรนะ

ผู้คุมสอบหาหนังสือเข้าสอบแล้วโยนให้เฉียวอวี้ฉีอย่างไม่สบอารมณ์

เฉียวอวี้ฉีส่งเสียงชิชะออกมาอย่างไม่พอใจแล้วเดินออกจากห้อง ขึ้นบันไดเสร็จก็เปิดประตูบานที่สอง

เพียงด่านแรกอาเซิงก็รู้สึกว่ายากมากนัก สิบคนที่อยู่กลุ่มเดียวกัน เหลือเพียงเขากับน้องชายอายุเจ็ดแปดขวบอีกคนเท่านั้น

เหงื่อกาฬผุดขึ้นเต็มหน้าผากเขา

ผู้คุมสอบเริ่มหมดความอดทน เขาลุกขึ้นไปดูเด็กน้อยที่อยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง อาเซิงจึงเหลือบมองกระดานหมากบนโต๊ะของผู้คุมสอบ จากนั้นย้ายตัวหมากแล้วส่ง ‘คำตอบ’

ด่านที่สองคือการวาดภาพ เขาทำไม่ได้เหมือนเดิม เขาไม่เข้าใจว่านี่มันเป็นโจทย์ปัญหาเหลวไหลอันใด เหตุใดหาความเกี่ยวข้องกับสี่ตำราห้าคัมภีร์และบทกวีไม่พบเลยแม้แต่น้อย

เขาผ่านการทดสอบด้วยการใช้วิธีเดิม แต่เมื่อถึงการทดสอบด่านที่สาม เขาคิดจะใช้อุบายเดิมซ้ำ แต่โดนผู้คุมสอบจับได้…

จิ่งอวิ๋นทำสถิติผ่านทุกด่านเป็นคนแรกและผ่านเข้าสู่ด่านที่สี่โดยไม่มีแรงกดดันแต่อย่างใด

เฉียวอวี้ฉีช้ากว่าเขาเพียงนิดเดียวเสียทุกครั้ง เขากระทืบเท้าด้วยความโมโห!

ด่านที่สี่เป็นโจทย์คำนวณ คำถามคือ เรือลำใหญ่ลอยอยู่ในทะเล บันไดแขวนห้อยอยู่ด้านข้างของลำเรือ บันไดแขวนอยู่เหนือฟองน้ำ 1 จั้ง[1] ระดับน้ำจะขึ้น 6 ชุ่น[2]ทุกครึ่งชั่วยาม ต้องใช้เวลานานเท่าไร บันไดแขวนจึงจะอยู่เหนือฟองน้ำ 7 ฉื่อ[3]

1 จั้งเท่ากับ 10 ฉื่อ ส่วน 1 ฉื่อเท่ากับ 10 ชุ่น บันไดอยู่เหนือฟองน้ำ 1 จั้งเท่ากับ 100 ชุ่น ทุกครึ่งชั่วยามจะเพิ่มขึ้น 6 ชุ่น วิธีคิดคือเอา 100 ลบด้วย 70 จากนั้นหารด้วย 6 ก็จะได้คำตอบที่โจทย์ถาม

นั่นคือสองชั่วยามครึ่ง! เฉียวอวี้ฉีเขียนคำตอบลงบนกระดาษ

จิ่งอวิ๋นไม่ได้เขียนสิ่งใดทั้งสิ้นและส่งกระดาษเปล่า

ผู้คุมสอบถามว่า “แก้โจทย์มิได้หรือ”

“โจทย์ข้อนี้แก้มิได้ขอรับ”

“เหตุใด” ดวงตาของผู้คุมสอบหรี่ลง

จิ่งอวิ๋นตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “น้ำขึ้น เรือก็ลอยขึ้น”

เฉียวอวี้ฉีถูกคัดออก เขากัดฟันกรอดมองสัตว์ประหลาดตัวน้อยเดินไปยังประตูบานที่ห้า เขาโกรธจนแทบจะหายใจไม่ทัน!

ด่านที่สี่เป็นด่านที่มีอัตราการคัดออกสูงสุด ตัวโจทย์ไม่ได้ยากมากนัก แต่ความยากคือไม่มีผู้ใดกังขาว่าตัวโจทย์ไม่มีคำตอบอยู่ตั้งแต่แรก

เมื่อมาถึงด่านที่ห้า ผู้เข้าสอบหลายร้อยคนก็เหลืออยู่ไม่ถึงยี่สิบคน

ผู้คุมสอบแกว่งไม้บรรทัดในมือ อ่านโจทย์ทีละตัวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “บนทุ่งหญ้าจัดการแข่งม้าแบบใหม่ ไม่ได้แข่งว่าม้าตัวใดวิ่งเร็ว แต่แข่งกันว่าม้าตัวใดวิ่งช้า คนสุดท้ายที่ไปถึงเส้นชัยจึงจะเป็นผู้ชนะ ผู้เข้าแข่งทุกคนพากันย่องม้าเหยาะย่าง จนพระอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้ว การแข่งขันก็ยังไม่จบ คำถามคือ พวกเจ้ามีวิธีการใดทำให้การแข่งขันนี้จบลงในทันที”

เรื่องนี้จะมีวิธีการใดได้ เอามีดจี้คอบังคับให้พวกเขาขี่เร็วๆ กระนั้นหรือ

แต่ผู้ใดขี่เร็ว ผู้นั้นก็จะเป็นคนแพ้ ต่อให้ทุกคนถูกมีดจ่อคอบังคับให้ห้ออาชาวิ่งตะบึง ทว่าทำเช่นนั้นก็จะสูญเสียความหมายของการแข่งม้าวิ่งช้าอีก

ทุกคนมีสีหน้าคิดหนัก

ร่างเล็กๆ ของจิ่งอวิ๋นนั่งตัวตรงราวกับระฆัง สีหน้าเยือกเย็น หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนคำตอบแล้วส่งให้ผู้คุมสอบ

ผู้คุมสอบรู้สึกประหลาดใจตั้งแต่ที่ทราบว่ามีเด็กอายุน้อยเท่านี้มาเข้าร่วมการสอบเสินถง แล้วเขายังผ่านมาถึงด่านที่ห้าอย่างโดดเด่น ลายมือก็งดงามนัก ต่อให้เขาตอบผิด ผู้คุมสอบก็คิดจะให้เขาผ่านด่านเป็นกรณีพิเศษ แต่นึกไม่ถึงเลย เขาตอบถูกจริงๆ!

ปฏิกิริยาแรกของผู้คุมสอบค่อนข้างน่าขัน เขาสงสัยว่ามีคนทำข้อสอบรั่ว

แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะโจทย์ทั้งหมดถูกสุ่มมาจากคลังโจทย์หนึ่งพันข้อเมื่อเช้านี้ แม้แต่ขุนนางผู้คุมสอบเช่นเขาคนนี้ก็ยังมิรู้ล่วงหน้า เจ้าตัวเล็กคนนี้คงมิอาจท่องจำโจทย์ทั้งหมดหนึ่งพันข้อได้กระมัง

เขาตบไหล่จิ่งอวิ๋น “ผ่านแล้ว เจ้าหนู!”

โจทย์สุดท้ายคือการวัดความสูงของหอคอยทั้งหลัง ส่วนเครื่องมือที่มีให้คือสายวัดยาวหนึ่งจั้งจำนวนหนึ่งม้วน

หอคอยมีทั้งหมดหกชั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะวัดด้วยสายวัดน้อยๆ หนึ่งม้วน เพราะไม่ว่าจะดึงอย่างไรก็ไม่พอ

เด็กที่ผ่านมาถึงด่านที่หกยังมีอีกสองคน คนหนึ่งอายุสิบเอ็ดปี อีกคนหนึ่งอายุสิบสองปี หลังจากได้รับอนุญาตจากผู้คุมสอบ พวกเขาก็หารือกันจนได้ ‘แผนการอันสมบูรณ์แบบ’ ออกมา พวกเขาจะใช้การต่อตัววัดความสูงของหอคอยหนึ่งชั้นจากภายในห้อง เมื่อนำความสูงมาบวกกันหกครั้งก็จะได้ความสูงของหอคอย

เด็กอายุสิบสองปีพูดขึ้นว่า “ขุนนางผู้คุมสอบบอกว่านี่เป็นด่านสุดท้ายและเป็นด่านที่ยากที่สุด อนุญาตให้พวกเราร่วมมือกันได้ เจ้าตัวน้อย ต้องการมาร่วมกับเราหรือไม่”

ทั้งสองคนกลัววัดไม่ถึง ถ้าเพิ่มเด็กตัวเล็กๆ มาอีกคนจะได้แตะเพดานห้องได้พอดี

จิ่งอวิ๋นตอบอย่างเฉยเมย “ไม่จำเป็น”

พูดเสร็จก็หยิบสายวัดเดินออกจากหอคอย

ทั้งสองกลอกตาอย่างดูแคลน เป็นเพียงเด็กตัวกระจ้อยคนหนึ่ง พวกเขาเชิญมาร่วมกลุ่มก็ถือเป็นความโชคดีของเขาแล้ว แต่เขากลับไม่รับไมตรี เอาเถิด รอพวกเขาวัดได้คำตอบออกมาก่อน อย่ามาขอให้พวกเขาช่วยก็แล้วกัน!

วิธีการของพี่ชายสองคนนั้นไม่ดีสักนิด หอคอยไม่ได้มีเพียงความสูงของห้องแต่ละชั้น แต่ยังมีความหนาของพื้นแต่ละชั้นด้วย เช่นเดียวกับการกินซาลาเปา มีไส้แล้วก็ต้องมีแป้งด้านนอกด้วย จะไม่นับแป้งด้านนอกของซาลาเปาได้หรือ

จิ่งอวิ๋นถือสายวัดเดินออกจากหอคอย รอบหอคอยคือสนามหญ้าว่างเปล่า เงาของหอคอยทอดเฉียงไปบนสนามหญ้า ทันใดนั้นเขาพลันเกิดปฏิภาณไหวพริบ มีความคิดดีๆ แล้ว!

เฉียวเวยรออยู่นอกสนามสอบอย่างใจจดใจจ่อ เห็นเด็กน้อยสีหน้าหม่นหมองเดินออกมาทีละคน นางก็ทั้งดีใจและกังวลใจ นางดีใจที่ลูกชายของนางยังอยู่ข้างใน แต่นางก็กังวลใจว่าเด็กที่เดินออกมาคนถัดไปจะเป็นเขาหรือไม่

ในเวลานี้นางเข้าใจความรู้สึกของผู้ปกครองที่รอลูกหลานอยู่หน้าสนามสอบในชาติก่อนอย่างถ่องแท้

เจ้าซาลาเปาน้อยวั่งซูถูกส่งออกมาเป็นคนแรกๆ นางไม่รู้ว่าตัวเองล้มเหลว ยังคิดว่าตัวเองเก่งที่ออกมาเป็นคนแรก!

เมื่อเห็นพี่ชายทั้งหลายทยอยเดินออกมาทีละคน แต่ละคนสีหน้าเซื่องซึมเศร้าหมอง นางก็รู้ทันทีว่าพวกเขาเสียใจที่เหตุใดตนเองถึงไม่เฉลียวฉลาดและแข็งแกร่งเหมือนน้องสาวอายุห้าขวบคนนี้!

วั่งซูรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง!

ทว่านางยังรู้สึกเศร้าเล็กน้อย

พี่อาเซิงก็ออกมาแล้ว แต่ท่านพี่ยังอยู่ข้างใน

ทำไมวันนี้ท่านพี่ถึงได้ชักช้านัก

จนใกล้จะหมดยามซื่อ[4] ในที่สุดจิ่งอวิ๋นก็ออกมา เด็กตัวเล็กแต่ก้าวเดินอย่างไม่รีบร้อนราวกับเป็นผู้ใหญ่ในร่างเด็ก ดวงหน้างดงามแลดูสุขุม มีเด็กวัยสิบสองขวบสองคนออกมาพร้อมกับเขา อายุมากกว่าเขาแท้ๆ แต่ไม่สงบเยือกเย็นเหมือนเขาและแน่นอนว่าไม่รูปงามแลดูสูงส่งเช่นเขาด้วย

“ท่านแม่!”

ทว่าเมื่อเห็นเฉียวเวย ท่าทางเย่อหยิ่งของเขาพลันสลายไปทันที เขาเบิกตากว้าง ก้าวขาสั้นๆ วิ่งมาอย่างรวดเร็ว

เฉียวเวยอุ้มลูกชายขึ้นมาหอมแก้มเล็กๆ อันนุ่มนิ่มของเขา แม้ว่าจะเพิ่งแยกจากกันเพียงครู่เดียว แต่นางก็คิดถึงเขาแล้ว

ใบหน้าของจิ่งอวิ๋นเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว เขาซุกศีรษะเล็กๆ กับคอของมารดาอย่างเขินอาย เวลานี้เขากลับมาเป็นเด็กน้อยน่ารักน่าชังอีกครั้ง

วั่งซูเห็นมารดาหอมแก้มพี่ชายก็พลันเขย่งเท้า “ข้าด้วย ข้าด้วยเจ้าค่ะ!”

เฉียวเวยนั่งยองๆ แล้วหอมแก้มเล็กๆ ของลูกสาวฟอดหนึ่ง

วั่งซูยิ้มหวาน “ฮี่ๆ ฮี่ๆ”

“ท่านพี่ ท่านทำไม่ได้ใช่หรือไม่ถึงได้ออกมาช้าขนาดนี้ ท่านดูสิพริบตาเดียวข้าก็ทำเสร็จแล้ว…” วั่งซูจับมือเล็กๆ ของพี่ชาย แล้วทำท่าโอ้อวดว่าตนเก่ง

จิ่งอวิ๋นมองเฉียวเวยอย่างประหลาดใจ เฉียวเวยมองเขาด้วยสายตาที่บอกว่า ‘เจ้ารู้จักนางดี’ เขาจึงอุทานขึ้นคำหนึ่ง “ใช่แล้ว ข้าทำไม่ได้เลย ยากยิ่งนัก น้องสาวเก่งกาจที่สุด”

“ก็บอกแล้วอย่างไรล่ะ!” เมื่อถูกชมเชยจากพี่ชาย หางเล็กๆ ที่มองไม่เห็นด้านหลังวั่งซูก็ชูขึ้นสูง ที่แท้นางก็ชอบพี่ชายของนางมาก พี่ชายชมนาง นางจึงเบิกบานใจไม่ต่างจากตอนท่านลุงหมิงชมนาง

[1]จั้ง หน่วยวัดความยาวของจีน 1 จั้ง เท่ากับ 3.3 เมตร

[2]ชุ่น หน่วยวัดความยาวของจีน 1 ชุ่น เท่ากับ 3.3 เซนติเมตร

[3]ฉื่อ หน่วยวัดความยาวของจีน 1 ฉื่อ เท่ากับ 33.3 เซนติเมตร

[4]ยามซื่อ การบอกเวลาแบบจีนโบราณ หมายถึงเวลา 9.00 น. -11.00 น.