บทที่ 225 ปกป้องเกียรติผู้อาวุโสของเสด็จอา
“ฮึ่ม หม่อมฉันไม่สนใจกลอุบายของท่านหรอกเพคะ อย่างไรเสียหม่อมฉันก็จะพาลูกกลับไปด้วยเมื่อหม่อมฉันกลับไป”
ขณะที่นางกำลังพูดอยู่นั้น กลิ่นเหม็นคาวก็โชยออกมาจากรูจมูกทั้งสองของนาง ฉินปู้เข่อจึงสูดลมหายใจตามสัญชาตญาณแต่ไม่ได้ยกมือขึ้นจับ
เมื่อเห็นเช่นนั้นหมี่อี้เหิงก็อดใจไม่ไหวอีกต่อไป เขาจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมออกจากแขนเสื้อแล้วโยนให้นาง “เช็ดเลือดกำเดาเสีย”
ฉินปู้เข่อหงุดหงิดยิ่งนัก นางใช้แขนเสื้อถูใบหน้าโดยตรง หลังจากถูไปหลายครั้งแล้วเลือดก็ยังไม่ยอมหยุดไหล นางจึงหยิบผ้าเช็ดหน้ายัดเข้าไปในรูจมูก
“พรืด” หมี่อี้เหิงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้แล้วหัวเราะ “อย่าใช้สิ่งเหล่านี้อีกเลยในอนาคต หูและจมูกมีเลือดออกอยู่ชั่วขณะหนึ่งเช่นนี้ช่างดูน่ากลัวนัก”
“ไม่ใช่ธุระของท่าน!” ฉินปู้เข่อมีผ้าเช็ดหน้าไหมอยู่ในรูจมูกและมีสำลีอยู่ในหู นางดูตลกมาก แม้ว่าจะอยู่ในสภาพเช่นนี้ก็ยังโต้ตอบหมี่อี้เหิงอย่างเกรี้ยวกราดได้ “ใครกันที่เอาแต่บอกว่าลูกของหม่อมฉันตายแล้ว หากหม่อมฉันไม่ใช้วิธีนี้ ท่านจะให้หม่อมฉันได้เจอลูกหรือไม่?!”
“วันนี้เจ้าได้เจอเขาและแม่นมก็ถูกเจ้าไล่ไปแล้ว บัดนี้หน้าตาเจ้าเป็นเช่นนี้ก็รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ เมื่อร่างกายเจ้าหายดีและสามารถได้ยินเสียงได้ก็ค่อยมาหาลูก”
เมื่อพูดเช่นนั้น อีฮ่วยก็เดินเข้ามาจากประตูและกล่าวด้วยความเคารพว่า “ฮูหยิน ได้โปรดเถอะเพคะ”
ฉินปู้เข่อจ้องหมี่อี้เหิงเขม็ง “อย่าลืมเอาพู่กันและกระดาษมาให้หม่อมฉันนะเพคะ หม่อมฉันจะเขียนจดหมายคืนนี้!”
หูก็เจ็บ จมูกก็เจ็บ มันคือผลข้างเคียงจากการใช้สองสิ่งนี้มากเกินไปในเวลาเดียวกัน
เนื่องจากตอนนี้นางไม่ได้ยินเสียงตัวเอง เมื่อนางพูดเสียงของนางจึงดังกว่าปกติหลายครั้งโดยไม่รู้ตัว เมื่ออีฮ่วยได้ยินเสียงของนางก็คิดว่านางทะเลาะกับหมี่อี้เหิง และมองดูหมี่อี้เหิงอย่างระมัดระวัง แต่ก็เห็นว่าสายตาเขาปกติและไม่ได้แสดงท่าทางโกรธเคือง ดังนั้นนางจึงรีบพาฉินปู้เข่อออกจากห้อง
“ฮูหยิน ท่านจะพักที่ไหน ใช่ห้องเมื่อวานหรือไม่เพคะ? หรือท่านกำลังมองหาห้องอื่นอยู่เพคะ?” อีฮ่วยถามขณะเดินนำหน้าฉินปู้เข่อ
ฉินปู้เข่อที่หูหนวกอยู่ข้างหลังนางยังคงเดินหน้าต่อไป
“ฮูหยิน?” “ฮูหยิน?”
เมื่อไม่ได้ยินคำตอบ อีฮ่วยก็หยุดและมองฉินปู้เข่อด้วยความสงสัย “คืนนี้ฮูหยินจะพักที่ไหนเพคะ?”
บัดนี้นางหยุดเดินและยืนเผชิญหน้ากับฉินปู้เข่อ ซึ่งฉินปู้เข่อเห็นเช่นนั้นก็ย่อมอ่านปากของนางได้
“ห้องที่ข้าพักเมื่อคืนนี้” ฉินปู้เข่อเหลือบมองอีฮ่วยและรู้ว่าเมื่อสักครู่นี้นางเรียกตน แต่ตนไม่ได้ยินเอง
“เดี๋ยวส่งพู่กันกับกระดาษมาพร้อมกับอาหารเย็นด้วย”
“เพคะ”
เมื่อกลับมาที่ห้องหลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว ฉินปู้เข่อก็นั่งอยู่หน้าโต๊ะแล้วหยิบพู่กันและกระดาษขึ้นมา ก่อนจะนึกถึงเรื่องนี้อย่างจริงจัง
เช้าวันนี้อีฮ่วยท่องตำแหน่งแปดเหลี่ยมอย่างเงียบ ๆ สิ่งที่นางคิดในขณะนั้นคือรายชื่อตำแหน่งแปดเหลี่ยม ดังนั้นตำหนักเขาวงกตนี้สร้างขึ้นตามสัญลักษณ์แปดเหลี่ยมหรือ?!
ฉินปู้เข่อถือพู่กันและยังไม่ได้เริ่มเขียน นางเคยได้ยินแต่ชื่อสัญลักษณ์แปดเหลี่ยม และหากนางต้องการวาดจริง ๆ นางก็คงทำไม่ได้
“เจ้าพร้อมจะวาดแผนผังแล้วหรือยัง?” หมี่เฉินอี้กระโดดลงจากคาน
ฉินปู้เข่อรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวจึงยื่นพู่กันให้ “ท่านวาดสัญลักษณ์แปดเหลี่ยมได้หรือไม่”
“ได้สิ” หมี่เฉินอี้หยิบพู่กันแล้วลากเส้นสัญลักษณ์แปดเหลี่ยมไปสองสามครั้ง “ตำหนักนี้สร้างตามสัญลักษณ์นี้หรือ มันไม่ค่อยจะเหมือน”
“บางทีอาจเป็นการผสมผสานระหว่างสัญลักษณ์แปดเหลี่ยมและแผนผังอื่น ๆ” ฉินปู้เข่อดูแผนผังสัญลักษณ์แปดเหลี่ยมแล้วมองหมี่เฉินอี้ “วันนี้เสด็จอาอยู่ในตำหนักทั้งวันเลยหรือเพคะ?”
“ช่วงกลางวันคนค่อนข้างเยอะ ข้าจึงไม่ได้ออกไปนอกตำหนักและหลงทางไปที่อื่น” หมี่เฉินอี้เห็นคราบเลือดที่แขนเสื้อของนาง “นี่มัน…”
“ร้อนจนเลือดกำเดาไหลน่ะเพคะ” ฉินปู้เข่อตอบเลี่ยงประเด็นเสียงเบา แล้วหยิบสิ่งหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ “เสด็จอาไม่ได้กินมาทั้งวันแล้วไม่ใช่หรือเพคะ? นี่ขนมที่เหลือจากเมื่อสักครู่นี้ ท่านเอาไปกินเถิดเพคะจะได้ไม่หิวตอนกลางคืน แล้วพรุ่งนี้หม่อมฉันจะไล่ทุกคนออกไปขณะกินอาหารเย็น”
หมี่เฉินอี้ไม่ได้สงสัยนาง ดังนั้นเขาจึงหยิบขนมอบขึ้นมากินสองสามชิ้น
“นี่ขนมอบชนิดไหนกัน ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลยและรสชาติของมันก็พิลึก อาเหิงเป็นคนทำขนมเอง…” ก่อนที่เขาจะพูดจบ อาการชาก็เริ่มแผ่ซ่านจากปลายแขนขาของเขา
ผ่านไปครู่หนึ่งหมี่เฉินอี้ก็ยืนนิ่ง เขามึนงงพลางจ้องฉินปู้เข่ออย่างโกรธเคือง “สาวน้อย เจ้าทำอะไร! เจ้ากล้าวางยาพิษข้า!”
“ฮ่า ๆ” ฉินปู้เข่อผลักชายที่มึนงงไปที่ห้องชั้นใน แล้ววางเขาลงบนผ้าห่มบนพื้น “มันไม่ใช่ยาพิษ มันแค่ทำให้ท่านไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระตลอดทั้งคืน ผลที่ได้ก็เหมือนกับการสกัดจุดที่ท่านรู้จักนั่นล่ะเพคะ”
หมี่เฉินอี้นอนอยู่บนพื้นพลางพ่นลมหายใจด้วยความโกรธ “เหตุใดเจ้าถึงต้องการตรึงร่างข้าไว้! ข้าไม่ได้อยากทำร้ายเจ้า!”
ฉินปู้เข่อดับไฟในห้องชั้นนอก ก่อนจะจุดเทียนเงินในห้องชั้นในแล้วนั่งบนเตียง แล้วจับแก้มเขาอย่างสบาย ๆ และพูดว่า “ไม่มีอะไรหรอกเพคะเสด็จอา เป็นเพราะท่านอยู่กับหม่อมฉันสองต่อสอง ดังนั้นหม่อมฉันจึงต้องป้องกันตัวเอง ฮ่า ๆ ที่เสด็จอาเผลอเปิดเผยความคิดเมื่อคืนนี้ หม่อมฉันก็ไม่เชื่อว่าเสด็จอาจะเป็นหลิ่วเซี่ยฮุ่ย*[1]ที่สามารถข่มใจให้อยู่นิ่งได้”
ใบหน้าของหมี่เฉินอี้แดงก่ำ เขาระดมกำลังภายในทั้งหมดเพื่อพยายามขยับแขนขา แต่ในเวลานี้ร่างกายของเขาไม่ได้ถูกสกัดจุด ไม่ว่าเขาจะพยายามหนักเพียงใด เขาก็ทำได้เพียงนอนราบกับพื้นเท่านั้น
“ยัยตัวแสบ!” หมี่เฉินอี้ทำได้เพียงนอนราบกับพื้นและกัดฟันอย่างสิ้นหวัง “เจ้าไม่เชื่อใจข้าถึงเพียงนั้นเลยหรือ?! เมื่อคืนข้าไม่ได้ทำอะไรเจ้าสักหน่อย!”
ฉินปู้เข่อตวาด “ไม่ทำแล้วอย่างไรล่ะ ท่านสารภาพกับหม่อมฉันเมื่อคืนนี้ และเป็นไปได้ที่ท่านจะทำอย่างอื่นกับหม่อมฉันหากท่านรู้สึกคึกคะนองขึ้นมาในคืนนี้”
หลังจากพูดจบนางก็เปลี่ยนจากน้ำเสียงเกรี้ยวกราดเป็นปลอบประโลม “ไม่ใช่ว่าหม่อมฉันไม่เชื่อเสด็จอาหรอกนะเพคะ หม่อมฉันแค่ไม่เชื่อส่วนล่างของผู้ชาย”
เมื่อคืนนี้หากนางไม่ทันได้ระวัง ริมฝีปากของชายผู้นี้คงได้เชยชมนางไปแล้ว นางจึงต้องวางแผนล่วงหน้า
หมี่เฉินอี้ “…ตอนนี้ข้าแค่อยากจะฆ่าเจ้า”
“ดู ดูสิว่ามันอันตรายเพียงใดหากหม่อมฉันไม่ควบคุมท่าน ไม่ใช่แค่ต้องกังวลเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ แต่ยังต้องกังวลเกี่ยวกับชีวิตของตัวเองอีกด้วย!”
หมี่เฉินอี้ “…ตอนนี้ข้าไม่ต้องการอะไรนอกจากต้องการจะฆ่าเจ้า”
ฉินปู้เข่อเห็นว่าเขาโกรธนางมากจนหน้าอกของเขายกขึ้นอย่างรุนแรงหลังจากนอนลง เมื่อมองดูก็เห็นว่าเขาหอบจนจะหายใจไม่ออก
จากนั้นนางก็กระโดดลงจากเตียงไปช่วยหมี่เฉินอี้ แล้วพูดด้วยความสำนึกผิดว่า “เสด็จอา นี่เป็นการปกป้องเกียรติผู้อาวุโสของท่าน โปรดยกโทษให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”
“ฮึ่ม!” ความบูดบึ้งในหัวใจของเขาผ่อนคลายลงเล็กน้อย หมี่เฉินอี้ปล่อยวางความโกรธที่ทำให้เขาต้องการกลืนกินฉินปู้เข่อทั้งเป็นแล้วกลอกตา “ฟังจากน้ำเสียงของนางกำนัลผู้นั้น วันนี้เจ้าได้เจออาเหิงแล้วหรือ?”
“เจอแล้วเพคะ” ฉินปู้เข่อตอบตามความจริง “เขาจะส่งหม่อมฉันกลับไปและให้ทิ้งลูกไว้”
หมี่เฉินอี้ถอนหายใจยาว น้ำเสียงของเขาผิดหวังเล็กน้อย “เขาดูเป็นอย่างไร? ข้าไม่ได้เจอเขามาหลายปีแล้ว เหมือนไม่รู้จักเขาเลย…”
“พ่อสามีของหม่อมฉันหล่อเหลายิ่งนัก เขาเกือบจะหล่อเท่าโม่หรู่ แต่โครงร่างของเขาดูแก่กว่าเล็กน้อยและหางตาก็มีรอยย่นเล็กน้อย” ฉินปู้เข่อหวนคิดย้อนกลับไปอย่างคลั่งไคล้
……………………………………………………………………………
[1] หลิ่วเซี่ยฮุ่ย เป็นคนหลู่กั๋ว (鲁国)สมัยยุคชุนชิวจ้านกั๋ว(春秋战国时期)ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของบุรุษผู้มีคุณธรรมอังสูงส่ง