ตอนที่ 169 หลานชายผู้น่าสงสารของตระกูลหลิน

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ท่านแม่น่ะหรือ ? ท่านแม่เห็นข้าตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ผ่านไปกว่าสิบปีถ้านางยังมีชีวิตอยู่ แม้ข้าไปยืนอยู่ตรงหน้า นางจะจำข้าได้หรือ ?

“อะ เฮ้ ! เหตุใดเจ้าจึงหยิบของคนอื่นไปเช่นนี้ ? แป้งแปลงโฉมหาซื้อยากมาก ตลับแค่นั้นต้องใช้เงินหลายร้อยอีแปะ ! อีกอย่างที่นี่เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องใช้เสียหน่อย รีบคืนมาเลย ! ” หลีชิงไม่สนบาดแผลบนตัว เมื่อเห็นการกระทำของหลินเว่ยเว่ยแล้ว เขาก็เริ่มกังวลขึ้นมา

“ดูเจ้าสิ ! ของแค่ไม่กี่ร้อยอีแปะเอง ข้าช่วยชีวิตเจ้าไว้และให้เจ้ากินดีอยู่ดีเป็นสิบยี่สิบวัน จะเอาแป้งของเจ้าไปครึ่งตลับแล้วอย่างไร ? เจ้าไม่ได้บอกว่าตนเป็นจอมยุทธ์หรือ ? อย่าใจแคบนักเลย ! ” หลินเว่ยเว่ยตบตลับแป้งตรงกระเป๋าอกเสื้อ…เนื้อที่เข้าปากแล้ว เจ้าจะคายออกมาหรือไม่ ? แน่นอนว่าไม่ !

หลีชิงแสยะยิ้ม หลังสูดหายใจเข้าแล้วก็กล่าวว่า “บุญคุณช่วยชีวิต ข้าต้องตอบแทนแน่ ! แต่ว่าผู้มีพระคุณที่แย่งของจากผู้อื่นเช่นเจ้า ข้าเจอมาน้อยเหลือเกิน ! ”

“เจอน้อย ? วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้เห็นจนเต็มตา ! ” ต่อจากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็นำชุดเก่า ๆ เยิน ๆ มาโยนไว้บนเตียงเตาปูน “ใส่แล้วออกไปเดินอ้อมมาจากภูเขา จากนั้นก็เดินเข้ามาทางหน้าหมู่บ้าน ! วางใจได้ สภาพเจ้าในเวลานี้ แม้คนที่ตามล่ามาพบเข้าก็ไม่ต้องกลัวว่าเขาจำได้ ! พอเข้าหมู่บ้านมาแล้วก็แกล้งทำเหนื่อยล้าหน่อย อย่าทำตัวเย่อหยิ่ง นั่นไม่เหมือนมาขอพึ่งพาญาติ ตรงกันข้ามคือเหมือนมาปล้นญาติเสียมากกว่า ! ”

“พอแล้ว ไม่ต้องพูดหรอก ข้าเข้าใจเรื่องเหล่านี้มากกว่าเจ้าอีก ! ” หลีชิงสวมชุดผ้าขี้ริ้วและยังใส่รองเท้าที่เปิดให้เห็นนิ้วเท้าอีกคู่ จากนั้นก็ถือสัมภาระชิ้นเล็กออกไปทางสวนหลังบ้าน

ผ่านไปไม่นาน พวกเด็ก ๆ ที่เล่นกันอยู่หน้าหมู่บ้านก็กวาดตามองชายหนุ่มผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งด้วยสายตาหวาดระแวง “เจ้าเป็นใคร ? มาทำอันใดที่หมู่บ้านของพวกเรา ? ”

“เจ้าหนู ที่นี่คือหมู่บ้านฉือหลี่โกวใช่หรือไม่ ? ” ชายหนุ่มกล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง มือจับไม้ยาวเอาไว้ ร่างกายดูเหนื่อยล้า ยืนโงนเงนตลอดเวลา

พวกเด็ก ๆ มองเขาอย่างเว้นระยะห่างและยังมองด้วยสายตาหวาดระแวงไม่หยุด “ใช่ ! เจ้ามาหาใคร ? รีบบอกมา ถ้าไม่บอกข้าจะเรียกผู้ใหญ่บ้านมาไล่เจ้าออกไป ! ”

“ที่นี่มีบ้านตระกูลหลินอยู่หรือไม่ ? ข้าเป็นหลานชายของน้าหวง นางมีลูกสี่คน…” ทันใดนั้นชายหนุ่มก็ไอออกมาสองสามทีแล้วนั่งบนก้อนหินขนาดใหญ่หน้าหมู่บ้านด้วยความ ‘อ่อนล้า’…เล่นใหญ่ไปแล้วกระมัง !

“ตระกูลหลิน ? มาหาบ้านเอ้อร์ฮว๋าเช่นนั้นหรือ ? เสี่ยวต้าน เจ้าวิ่งได้เร็ว รีบไปดูว่าพี่รองหลินอยู่ที่บ้านหรือไม่ แล้วบอกนางว่ามีคนมาหา ! ” ถือว่าเด็กพวกนี้รู้จักระวังตัวพอใช้ ทุกคนล้วนจับจ้องมาที่ชายหนุ่มแปลกหน้าด้วยสายตาข่มขู่และให้ตายก็ไม่มีทางปล่อยเขาเข้ามาในหมู่บ้าน

หลินเว่ยเว่ยเดินตามหลังเสี่ยวต้านออกมา นางแกล้งมองหลีชิงอย่างพินิจพิจารณา “เจ้าคือหลานชายของท่านแม่จริงหรือ ? เมื่อก่อนไม่เคยพบเจ้ามาก่อนเลย”

“เจ้าคือ…ญาติผู้น้องหลินใช่หรือไม่ ? ” ละครยังดำเนินต่อไป หลีชิงก็มองนางอย่างพิจารณาเช่นกัน

“ข้าคือลูกสาวคนรองตระกูลหลิน ! ” หลินเว่ยเว่ยตอบ

“ไม่ถูกสิ ท่านแม่เคยบอกข้าว่าลูกคนรองของน้าหลินเป็น…” หลังกล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว หลีชิงก็หยุด

“ท่านหมอบอกว่าเมื่อก่อนข้ามีปัญหาด้านสมอง แต่พอพลัดตกสระน้ำบนภูเขาแล้วอาการเหล่านั้นก็หายไป ข้ายังกินยาอีกพักหนึ่ง อาการที่เป็นอยู่จึงหายจนสิ้น ข้าจึงกลับมาเป็นปกติ ! ”

“ใช่ ใช่ ! ” พวกเด็ก ๆ ก็ไม่สงสัยแม้แต่น้อย “พี่รองหลินกลับมาเป็นปกติได้หลายเดือนแล้ว ตอนนี้ก็เก่งมากด้วย ! ”

หลินเว่ยเว่ยเอ่ยกับหลีชิง “เจ้าไปกับข้าก่อนเถิด ท่านแม่อยู่บ้านพอดี เจ้าจะเป็นญาติของข้าจริงหรือไม่ แค่เจอท่านแม่ก็รู้คำตอบแล้ว ! ”

นางพาหลีชิงกลับบ้าน พวกเด็ก ๆ กลุ่มนั้นก็เดินตามมาด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงได้เห็นฉากต้อนรับญาติอันน่าประทับใจ

“ท่านปู่ ญาติผู้พี่ของเอ้อร์ฮว๋ามีสภาพน่าสงสารมากเลย ! บ้านของเขาเกิดภัยแล้ง คนในบ้านอดตายกันหมด เหลือแค่เขาคนเดียวที่รอดมาได้” หลังรับประทานอาหารเสร็จแล้ว วังตงเฉียงก็เล่าเรื่องนี้ให้ท่านปู่ฟัง

ส่วนเด็กคนอื่นพอกลับถึงบ้านก็เล่าเรื่องนี้ให้ญาติผู้ใหญ่ฟัง ดังนั้นผ่านไปไม่นานคนทั้งหมู่บ้านก็ได้รู้ว่าหลานชายของนางหวงมาขออยู่ด้วย !

วันรุ่งขึ้น ‘ญาติผู้พี่’ ที่กินอิ่มนอนอุ่นแล้วหนึ่งคืนก็มีเรี่ยวแรงกลับมาดังเดิม เขาตาม ‘ญาติผู้น้อง’ ขึ้นเขาเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับการดำรงชีวิต การกระทำของเขาคล้ายคนหนุ่มในหมู่บ้าน ขากลับก็แบกเมล็ดสนหนึ่งกระสอบซึ่งมีน้ำหนักถึง 200 ชั่งมาด้วย

คนในหมู่บ้านเห็นเด็กคนนี้พูดน้อย ซื่อตรง ขยันและทำงานหนักได้จึงแอบดีใจแทนตระกูลหลิน…เพราะแม้บุตรสาวคนรองของตระกูลหลินจะเก่งกาจ ทว่าในบ้านไม่มีผู้ชายสักคน สุดท้ายก็หมดปัญหาเสียที !

ลานบ้านตระกูลฝางและเตาในเพิงก็ถูกสร้างเสร็จตอนนี้เช่นกัน ! หลินเว่ยเว่ยซื้อกระทะเหล็กกลับมาจากในเมือง 5 ใบ…แม้แต่เจ้าของโรงตีเหล็กในเขตเริ่นอันก็จำนางได้แล้ว นี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่เดือนนางก็ซื้อกระทะใบใหญ่ไปถึงเจ็ดแปดใบ ถือว่าเป็นลูกค้ารายใหญ่ของโรงตีเหล็กเลยก็ว่าได้ !

พวกชาวบ้านในฉือหลี่โกว นอกจากบ้านไม่กี่หลังที่ไร้ผู้ชายให้ขึ้นเขาได้แล้ว แต่ละครอบครัวก็จะมีเมล็ดสนตุนไว้ถึงสองสามพันชั่ง ในที่สุดพวกเขาก็รอจนถึงเวลาที่ตระกูลหลินจะเริ่มรับซื้อเมล็ดสน !

เพื่อแก้ไขปัญหาครอบครัวยากจนต้องการใช้เงินเร่งด่วน นางจึงเริ่มรับซื้อจากครอบครัวที่ยากลำบากก่อน สำหรับครอบครัวที่ไม่มีสิ่งใดจะกินแล้วนางรับซื้อครอบครัวละ 500 ชั่ง บ้านไม่กี่หลังนั้นถือเงิน 1 ตำลึงกว่าไว้ในมือด้วยความตื่นเต้นจนมือสั่น หากนำเงินพวกนี้ไปเปลี่ยนเป็นข้าวสารก็จะมีกินได้อีกสักระยะ เฮ้อ ! ตอนนี้ในเขตเริ่นอัน ราคาข้าวคุณภาพต่ำสุดได้ปรับขึ้นเป็นชั่งละ 30 อีแปะแล้ว !

ชุดแรกรับซื้อมาสิบครัวเรือนก่อน รวมทั้งหมดเป็น 5,000 ชั่ง หลังชั่งเรียบร้อยแล้วพวกชาวบ้านก็ขนเมล็ดสนทั้งหมดมายังห้องใต้ดินและโกดังของบ้านตระกูลหลิน

หลินเว่ยเว่ยยังเลือกชาวบ้านเจ็ดคนมาจากครอบครัวที่กำลังลำบากเพื่อให้มาทำงานในโรงงานแปรรูปเมล็ดสนซึ่งค่าแรงต่อวันยังคงอยู่ที่ 30 อีแปะ หากทำงานล่วงเวลาก็จะได้ค่าแรงเพิ่ม ชาวบ้าน 5 คนรับหน้าที่แปรรูปเมล็ดสน ส่วนอีก 2 คนมีหน้าที่ดูแลไฟทั้งห้าเตาโดยเฉพาะ

ผู้รับหน้าที่ดูแลไฟคือเยี่ยนเอ๋อร์ เด็กผู้หญิงที่เพิ่งมีอายุสิบเอ็ดสิบสองปีเท่านั้น อีกคนคือฉือถัว เด็กผู้ชายที่มีอายุต่างจากนางไม่มากนัก เยี่ยนเอ๋อร์ไม่มีมารดาตั้งแต่เด็ก บิดานั้นตอนขึ้นเขาไปหาบน้ำก็ไม่ทันระวังจึงพลาดกลิ้งตกมาจากเนินเขาจนขาหักทั้งสองข้าง

ในบ้านไม่มีเงินเชิญท่านหมอมาดูอาการ เยี่ยนเอ๋อร์จึงไปคุกเข่าที่หน้าบ้านหมอเหลียงแล้วร้องไห้อ้อนวอนขอให้เขาช่วยรักษาขาของบิดา ท่านหมอเหลียงเป็นหมอที่มีใจเมตตา ไม่เพียงตรวจรักษาโดยไม่คิดค่าเสียเวลาแล้วยังให้ติดหนี้ค่ายา หลังได้รับบาดเจ็บถึงเอ็นและกระดูกมากกว่าร้อยวัน บิดาของเยี่ยนเอ๋อร์จึงขาหักอยู่เช่นนั้น ได้แต่นอนรักษาตัวอยู่บนเตียง

เด็กสามคนในบ้านมีเยี่ยนเอ๋อร์เป็นบุตรคนโตที่สุดและมีอายุเพียง 11-12 ปี แต่นางต้องมาทำหน้าที่แทนผู้ใหญ่แล้ว นางขึ้นเขาไปเก็บของป่ากับคนในหมู่บ้าน ท่านลุงและอาสามก็ช่วยได้บ้าง แต่หลังจากทนช่วยมากว่าสองเดือน พวกเขาก็เริ่มเห็นว่าทนช่วยต่อไม่ไหวแล้ว

เมื่อโรงงานแปรรูปของตระกูลหลินรับคนงานจากในหมู่บ้านโดยบอกว่าจะเลือกคนที่มีฐานะยากลำบากก่อน เยี่ยนเอ๋อร์จึงไปขอร้องผู้ใหญ่บ้านให้ช่วยแนะนำชื่อนาง แต่นางเด็กเกินไปจริง ๆ ตัวยังผอมจนเห็นกระดูก แล้วนางจะทำอันใดได้ ? ตระกูลหลินต้องการคือคนที่ทำงานได้ ไม่ใช่ตัวถ่วง !

ฉือถัวเด็กผู้ชายอีกคนหนึ่งเป็นทารกที่โดนทอดทิ้ง ย่าหลิวซื่อซึ่งเป็นแม่ม่ายในหมู่บ้านได้เก็บมาเลี้ยง ย่าหลิวซื่อเป็นคนแข็งแรงคนหนึ่ง ตอนยังเป็นสาวก็ออกไปทำนาถึง 5 หมู่ หลังผ่านไปสิบกว่าปีนางก็ทำให้เป็นพื้นที่เพาะปลูก

ตามอายุที่มากขึ้นเรื่อย ๆ นางก็ทำนามากมายเช่นนั้นไม่ไหวจึงปล่อยให้คนในหมู่บ้านเช่า โดยค่าเช่าคือข้าวสารหลายสิบชั่งต่อหนึ่งหมู่ ย่าหลิวซื่อเป็นพี่สะใภ้ของผู้ใหญ่บ้าน เขาจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะช่วยเหลือนางอยู่บ้าง เรื่องก็เป็นเช่นนี้คือย่าหลิวซื่อเลี้ยงฉือถัวมาจนได้อายุสิบกว่าปี

ช่วงหลายวันมานี้ร่างกายของย่าหลิวซื่อไม่ค่อยดีจึงไม่สามารถขึ้นเขาไปเก็บผลไม้ป่าได้ พอเห็นเสบียงอาหารในบ้านไม่เหลือแล้ว ผู้ใหญ่บ้านจึงแนะนำฉือถัวมาทำงานนั่นเอง

ตอนต่อไป