บทที่ 186 ดินแดนอุดมคติในตำนาน

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 186 ดินแดนอุดมคติในตำนาน
บทที่ 186 ดินแดนอุดมคติในตำนาน

ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดลง ผู้คนที่ไปทำนาก็เริ่มทยอยกันกลับมา

ฉือเก๋อและตู้ถงเหอกลับมาที่บ้านหลังน้อยพร้อมกับร่างกายที่เปรอะเปื้อนไปด้วยดิน ก่อนจะเห็นเสิ่นจื่อเจินภายใต้แสงอาทิตย์อัสดง

ตู้ถงเหอได้ยินแล้วว่าวันนี้มีคนมาอีกคนหนึ่งชื่อเสิ่นจื่อเจิน จึงไม่รอให้ใครแนะนำแล้วเอ่ยปากพูดเอง

“คุณคือสหายเสิ่นจื่อเจินสินะ อยากพบมาตั้งนานแล้ว!” ตู้ถงเหอกล่าวอย่างตื่นเต้น ดวงตาเป็นประกาย

ไม่รู้สิ เหมือนเจอญาติ ๆ เลย

“คุณคือ?”

เสิ่นจื่อเจินเห็นตู้ถงเหอ อีกฝ่ายเหมือนชายชราจิตใจดี แต่เขาไม่รู้จักอีกฝ่าย

ทำไมถึงมองเขาด้วยสายตาที่กระตือรือร้นเช่นนี้ล่ะ?

“ต่อจากนี้ไปเราจะเป็นเพื่อนบ้านกันเพราะอยู่คอกวัวเหมือนกัน ฉันชื่อตู้ถงเหอ ส่วนนี่คือฉือเก๋อ!”

เห็นชายชราตรงหน้าสองคนมีจิตใจดี เขาก็ไม่อยากจะเชื่อ

นี่คือคนที่อาศัยอยู่คอกวัวหรือ? แตกต่างจากที่จินตนาการนะ

อายุของคนทั้งสองแก่กว่าไม่เยอะ แต่ดูกระฉับกระเฉงมาก ไม่ต่างจากพวกสมาชิกที่เห็นในวันนี้

ถ้าไม่บอกข้อมูลของตัวเองออกไป ก็คงไม่เชื่อ

“จริงหรือ?” เขาถามอย่างไม่เชื่อสายตา

“ใช่สิ จริง ๆ แล้ว ฉันพาเสี่ยวหย่วนมาเมื่อหลายปีก่อน ส่วนสองสามีภรรยาตู้มาก่อนคุณปีกว่า” ฉือเก๋อพูดด้วยรอยยิ้ม “จากนี้ไปพวกเราจะคอยดูแลกันและกัน”

เสิ่นจื่อเจินเป็นคนแบบไหนเขาไม่รู้ชัด แต่เสี่ยวเถียนบอกว่าคน ๆ นี้เป็นคนดี ดังนั้นเขาก็เลยเชื่อ

เพราะสิ่งที่เด็กคนนั้นพูดไม่เคยผิด

“ท่านคืออาจารย์ฉือเก๋อจากมหาวิทยาลัยปักกิ่งใช่ไหม”

ในที่สุดเสิ่นจื่อเจินก็จำได้ว่า ทำไมชื่อฉือเก๋อที่ว่าถึงดูคุ้น ๆ หู

ตอนอยู่เมืองหลวง ได้ยินว่าอาจารย์แกถูกส่งไปทางตะวันตกเฉียงเหนือด้วย แต่ไม่คิดว่าจะได้อยู่ด้วยกัน

ก่อนหน้านี้เขาเคยเข้าชั้นเรียนของฉือเก๋อมาก่อน และไม่คิดว่าคนจากเมืองหลวงทั้งสองจะมาพบกันในหมู่บ้านเล็ก ๆ ทางตะวันตกเฉียงเหนือภายใต้สถานการณ์เช่นนี้

“เรื่องปีก่อนไม่ต้องพูดถึงหรอก สหายเสี่ยวเสิ่น ชุมชนการผลิตหงซินดีนะ อยู่ได้อย่างสบายใจก็พอแล้ว” ฉือเก๋อมองไปรอบ ๆ แล้วพูดด้วยเสียงต่ำ “พวกเขาไม่มีเจตนาร้ายเลย!”

ไม่ได้มีเจตนาร้าย? คนที่นี่มีจิตใจบริสุทธิ์จริงหรือ?

เสิ่นจื่อเจินไม่ค่อยเชื่อนัก

คืนนั้น คนคอกวัวกินข้าวด้วยกัน จากที่ตู้ถงเหอพูดคือ ทำเพื่อต้อนรับเขา

อาหารเย็นคือน้ำแกงบะหมี่ธัญพืช เสิ่นจื่อเจินเพิ่งรู้ว่าในน้ำแกงมีไข่ข้นด้วย หาได้ยากจริง ๆ

ตลอดทางเต็มไปด้วยความยากลำบาก ไม่ต้องพูดเรื่องกินอิ่มเลย บางครั้งตลอดทั้งวันไม่ได้ดื่มน้ำด้วยซ้ำ

ด้วยร่างกายที่แสนเจ็บปวดจนกือบจะยืนไม่ได้ ไม่คิดเลยว่าพอมาถึงหงซินจะได้กินน้ำแกงไข่ตั้งแต่วันนั้น

คนที่หิวโหยอย่างหนัก กลืนน้ำแกงไข่ลงไปคำโต

ตู้ถงเหอกับฉือเก๋อ เฝ้าดูอย่างเงียบ ๆ

“กินช้า ๆ เถอะ ยายเฒ่าทำไว้หม้อใหญ่เลย คุณกินให้พอเถอะ” ตู้ถงเหอนึกถึงตัวเองในวันแรกที่ได้มาที่นี่แล้วก็เศร้าใจ

“ค่อย ๆ ถ้าไม่พอเดี๋ยวพวกเราทำให้อีก” อวี่รุ่ยหยวนปลอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“พอแล้วล่ะ ๆ ได้กินกับข้าวร้อน ๆ สักถ้วยก็พอแล้ว”

เสิ่นจื่อเจินพูดเสียงต่ำ ไม่มีใครรู้ว่าน้ำตาของเขามันหยดลงไปในถ้วยผสมกับน้ำแกงไปหมด

พอกินข้าวเสร็จ อวี่รุ่ยหยวนไปล้างหม้อ ฉืออี้หย่วนไม่รู้ว่าไปไหน ส่วนอีกสามคนนั่งสนทนากัน

“ผมไม่คิดจริง ๆ ว่าจะได้กินอาหารเช่นนี้ในที่แห่งนี้ด้วย!” เสิ่นจื่อเจินกินอิ่มแล้ว พละกำลังดีขึ้นมาก แล้วเสียงก็ไม่ระโหยโรยแรง

“จากนี้ไปเดี๋ยวก็รู้เอง พวกเราอาศัยอยู่ในที่ย่ำแย่กว่าหน่อย แต่เรื่องอาหารไม่ต่างจากสมาชิกหงซินนัก” ตู้ทงเหอพูดด้วยรอยยิ้ม “ในอนาคต มันอาจจะดีขึ้นยิ่งกว่านี้”

เสิ่นจื่อเจินไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของตู้ถงเหอ เขาต้องรอถึงครึ่งปีกว่าจึงจะเข้าใจประโยคนั้น

เสิ่นจื่อเจินเผลอบิดเอวโดยไม่รู้ตัว

เขาได้รับบาดเจ็บมาเมื่อตอนอยู่ในเมืองหลวง จากนั้นก็ไม่ได้ทายาหรือดูแลให้ดีเลย ตลอดทางก็ทำงานหนัก เลยดูเหมือนอาการจะหนักขึ้น

ก่อนหน้านี้ไม่ทันได้รู้สึก พอตอนนี้มีความกล้าจะใช้ชีวิตต่อก็พบว่ามันเจ็บยิ่งกว่าเดิมอีก!

ด้วยสภาพร่างกายที่พังยับเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ถ้าไม่สามารถมีส่วนร่วมในการทำงานได้ ก็จะไม่ได้กินข้าวใช่ไหม?

“สหายเสี่ยวเสิ่น ฉันว่าร่างกายของคุณกำลังแย่นะ เหมือนจะได้รับบาดเจ็บ”

ฉือเก๋อเป็นคนช่างสังเกต ในไม่ช้าก็รู้ว่าสภาพร่างกายของเสิ่นจื่อเจินกำลังแย่

“อาจารย์ฉือ เรียกผมว่าเสี่ยวเสิ่นก็พอแล้วครับ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่เมืองหลวงได้รับบาดเจ็บมานิดหน่อย คอยดูแลสักหน่อยวันเดียวเดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้วครับ!”

เสิ่นจื่อเจินไม่รู้ว่าที่ตัวเองพูดหมายถึงร่างกายหรืออย่างอื่น

“กลับไปจะให้เสี่ยวเถียนเอายามาทาให้นะ หายไวมาก!” ตอนที่ตู้ถงเหอพูดถึงซูเสี่ยวเถียน ใบหน้ามีรอยยิ้มประดับอยู่

เด็กคนนี้มีพรสวรรค์จริง ๆ

“เสี่ยวเถียน?”

“หลานบุญธรรมฉันเอง เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ฉือด้วยนะ!”

เสิ่นจื่อเจินแทบอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ คนทั้งสองมีเครือญาติและลูกศิษย์อยู่ในหงซินด้วยหรือ?

และสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจที่สุดคือ เรื่องแบบนี้ควรถูกเก็บเป็นความลับสิ แต่พวกเขากลับพูดมันออกมาโต้ง ๆ

ถ้าไม่ใช่ไว้ใจในตัวเอง ก็เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้กระทั่งซ่อนไว้ก็ไม่มีความหมายอะไร

เสิ่นจื่อเจินคิดแค่ว่าตนเป็นคนมาใหม่ ไม่ว่าจะเชื่ออะไรแต่ก็พูดไม่ได้ ดังนั้นความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่คือทุกคนรับรู้ความสัมพันธ์นี้

“คนในหงซินที่ควรรู้เรื่องนี้รับรู้กันหมด” ฉือเก๋อตอบคำถาม

เสิ่นจื่อเจินอดสงสัยไม่ได้ว่าตัวเองมาอยู่ในสถานที่วิเศษแบบไหนกัน?

หรือว่า… นี่จะเป็นดินแดนอุดมคติในตำนาน?

วันต่อมา เสิ่นจื่อเจินเห็นหงซินแตกต่างไปจากที่ตัวเองคิดไว้

เขามีความรู้สึกผ่อนคลายมากที่สุดในรอบหลายปี

ยกเว้นพวกคนหนุ่มสาวที่มาที่นี่ทุก ๆ สองสามวันอย่างไม่เต็มใจ ชีวิตที่นี่ก็สะดวกสบายดี

แม้จะกินชาเนื้อหยาบกับข้าวเบา ๆ แต่ก็ทำให้ท้องอิ่มแถมสบายมากเลยด้วย

เรื่องราวในเมืองหลวงก่อนหน้านี้ปลิวหายไปกับสายลมแล้ว

เขาแทบจะลืมสิ้นไปหมดถึงคนที่เคยทำให้เขากลายเป็นฝุ่นผง

และตอนนั้นเองที่ตระหนักได้ว่าตัวเองโชคดีที่ได้อยู่หงซิน

ถ้าไม่โชคดีที่ได้อยู่หงซินแต่ไปที่อื่นแทน ชีวิตคงไม่แน่ไม่นอนแล้ว

และสิ่งที่ทำให้เสิ่นจื่อเจินตื่นเต้นที่สุดคือ เขาได้เห็นเด็กที่หายากคนหนึ่ง

ซูเสี่ยวเถียนเป็นเด็กที่หายากจริง ๆ เธออายุเพียงเก้าขวบ แต่ความรู้ด้านการเกษตรของเหนือกว่าคนอื่นมาก

คนที่เคยเป็นนักเรียนของเขาแย่กว่าเสี่ยวเถียนที่อายุเก้าขวบเสียอีก

บาดแผลทั่วร่างกายดีขึ้นได้ด้วยยาของเสี่ยวเถียน

เดิมทีคิดว่าเสี่ยวเถียนน่าจะอายุสิบสี่สิบห้า แต่กลายเป็นว่าเพิ่งเก้าขวบ

เหมือนเด็กอัจฉริยะเลย ความรู้กว้างขวางกว่าพวกผู้ใหญ่มาก

แต่เธอไม่ได้ไปโรงเรียน

ใช่แล้ว ช่วงเวลาเช่นนี้ การไปโรงเรียนไม่มีอะไรนอกไปจากเสียเวลา

มีคนแบบฉือเก๋อและตู้ถงเหอคอยสอน เสี่ยวเถียนไม่ต้องไปโรงเรียนก็ได้

แต่ในไม่ช้าก็พบว่าไม่ใช่แค่เสี่ยวเถียนเท่านั้น แต่หลานบ้านซูก็ไม่ได้ไปเหมือนกัน

แต่เด็กพวกนี้ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการอ่านหนังสือ ความรู้กว้างไกลกว่าเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน

หากพวกเขาไม่ได้อยู่ชนบทห่างไกล ไม่แน่ว่าอนาคตอาจจะบรรลุผลสำเร็จก็ได้

ยิ่งไปกว่านั้นคือ เขาตกใจมากที่มีพื้นที่ทดลองเพาะปลูกในหงซิน ต้องบอกว่ามันเป็นของตู้ถงเหอกับซูเสี่ยวเถียนต่างหาก

เพราะการมาถึงของเขา หัวหน้าซูจึงได้ขยับขยายพื้นที่ออกเป็นสองเฟิน*[1] และหวังว่าพวกเขาจะใช้พื้นที่พวกนี้เพื่อเพาะเมล็ดธัญพืชที่ให้ผลผลิตสูงได้

ตอนนั้นเองที่เขารู้สึกถึงความกดดันภายในกายเพิ่มขึ้น และความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ต่อก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ

เขารู้สึกว่าร่างกายกระปรี้ประเปร่ามากขึ้น

หลังจากครึ่งปีผ่านไป เสิ่นจื่อเจินรู้สึกเหมือนปลาได้น้ำ หากจะใช้ชีวิตในสถานที่แห่งนี้ไปตลอดชีวิตก็ไม่ได้แย่อะไร

การต้อนรับของสมาชิกที่แสนใจดีพวกนี้เรียบง่ายกว่าตอนที่อยู่ในเมืองหลวงเสียอีก

ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ อย่างที่หัวหน้าซูว่า ตราบใดที่ทำงานก็จะได้รับอาหารเหมือนกับสมาชิกคน

อื่น ๆ

อันที่จริงหลังจากที่สมาชิกหงซินรู้ว่าเขาเพาะเมล็ดพันธุ์เป็น ไม่มีความอัปยศอดสูที่คาดเดาไว้แต่กลับเคารพยกย่องมากต่างหาก

เรียกได้ว่า นอกจากอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กกว่าปกติในหงซินแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่ไม่ดีเลย

แต่บ้านหลังนี้ก็ไม่ได้แย่นะ เพราะปกติทำความสะอาดกันอยู่แล้ว กลิ่นเลยไม่แรงมากและถูกล้อมรอบด้วยป่าจึงไม่มีกลิ่นเหม็น

ตั้งแต่มาถึงหงซิน เขาคิดหาวิธีไปสอบถามสหายคนอื่น ๆ แต่ข่าวที่ได้ยินมากลับไม่ได้น่ายินดีนัก

*[1] เฟิน ในที่นี้หมายถึงขนาดของพื้นที่ ซึ่ง 1 เฟินเท่ากับ 3 เศษ ⅓ ตารางเมตร