ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส
สำนักบัณฑิตและโรงเรียนต่างๆ ในเมืองหลวงเริ่มทยอยเปิดภาคเรียน สำนักบัณฑิตชิงเหอเองก็เช่นกัน
ช่วงเช้าตรู่ กู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวชุ่นเดินถือกระเป๋าหนังสือเข้ามารายงานตัว
ในวันแรก เนื้อหาที่เรียนมีไม่มากนัก แค่เป็นการอุ่นเครื่องเล็กๆ น้อยๆ
ขณะที่ทั้งสองกำลังเดินผ่านประตูสำนัก ก็บังเอิญเจอกับสองพี่น้องจวนโหว คือกู้เฉิงเฟิงและกู้เฉิงหลิน
กู้เฉิงหลินใช้เวลารักษาตัวอยู่นานสองเดือน สามารถกลับมาเดินได้เหมือนคนปกติ จะเหลือก็แค่สภาพจิตใจ ถึงขั้นที่เขาต้องคอยระแวงอยู่ตลอด ไม่รู้ว่าจะโดนทำร้ายอีกเมื่อไหร่
การพบกันของทั้งสี่คน ช่างเป็นภาพที่น่าอึดอัดใจยิ่งนัก
กู้เฉิงหลินสังเกตที่แววตาของกูเหยี่ยนยังคงเต็มไปด้วยความแค้น และภายใต้ความแค้นนั้น ยังแฝงไปด้วยความหวาดกลัว
พอเห็นหน้ากู้เหยี่ยน ภาพเหตุการณ์ตอนที่เขาถูกกู้เจียวตะลุมบอนอยู่ในห้องแคบอันมืดมิด นั่นก็ปรากฏขึ้นในหัว ต่อจากนี้เขาคงไม่กล้าไปยุ่มย่ามอะไรกับกู้เหยี่ยนอีก
เขาได้แต่หวังในใจว่ากู้เหยี่ยนจะแพ้ภัยตัวเองในสักวัน วันนั้นเขาคงจะมีความสุขน่าดู!
กู้เสี่ยวซุ่นรีบเดินเข้ามาบังร่างของกู้่เหยี่ยน พยายามไม่ให้พวกเขาสบตากัน
เจ้าพวกนี้คิดว่าตัวเองกำลังเล่นอยู่กับใคร ข้าน่ะผ่านอะไรมาตั้งตั้งเยอะมากมาย จากช่างแกะสลักไม้มือฉมัง มาจนถึงตัวแสบประจำหมู่บ้าน ก็แค่พวกขี้ปะติ๋วเท่านั้น
ข้า กู้เสี่ยวชุ่น ไม่ได้หยามกันง่ายๆ นะ!
“ไปเถอะ” กู้เฉิงเฟิงไม่อยากปะทะกับพวกเขา
กู้ฉังชิงลั่นวาจากับพวกเขาไว้ว่า หากไปมีเรื่องชกต่อยอีก จะลงโทษให้พวกเขานอนที่หอบรรพชนเป็นเวลาหนึ่งปี!
แต่ที่สำคัญคือตอนนี้เขาต้องทำงานใช้หนี้ หากโดนลงโทษแล้วถูกทหารยามของพี่ใหญ่จับตามองคงจะไม่สะดวกออกไปทำงานกลางคืนเท่าไหร่นัก
กู้เฉิงหลินเลยถูกพี่รองลากตัวออกไป
กู้เหยี่ยน “เฮอะ!”
ทั้งสี่คนแยกย้ายเข้าห้องเรียนของตัวเอง
ตัดภาพมาที่เซียวลิ่วหลังและจิ้งคงที่กั๋วจื่อเจียน
เซียวลิ่วหลังเดินมาส่งจิ้งคงที่หน้าโรงเรียน ก่อนเอ่ย “เดี๋ยวกลางวันมารับไปกินข้าวนะ”
“รู้แล้วน่า!” จิ้งคงเอ่ยแบบขอไปที “ข้าสี่ขวบแล้วนะ ไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้ว!”
เซียวลิ่วหลังยังคงสงสัยกับอายุของจิ้งคง ได้แต่คิดว่าเจ้าอาวาสคำนวณอายุของเขาผิดพลาดไปหรือเปล่า เพราะดูยังไงเขาก็ตัวเล็กเกินกว่าจะเป็นเด็กสี่ขวบได้
“เอาละ เข้าไปเถอะ” เซียวลิ่วหลังเอ่ย
จิ้งคงน้อยเดินถือกระเป๋าเข้าไปในโรงเรียน
ทำไมเขาต้องมาเรียนหนังสือด้วยนะ
เขาแค่อยากจะอยู่ข้างๆ กู้เจียวเท่านั้น เป็นหางน้อยๆ น่ารักของกู้เจียว
ในชั้นเรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงไปมากเพราะเด็กๆ โตเร็วขึ้น หนึ่งปีผ่านไป เด็กทุกคนไม่สูงขึ้นก็อ้วนท้วนขึ้น มีเพียงจิ้งคงน้อยผู้เดียวที่ยังโตไม่ทันเพื่อน
เพื่อนร่วมชั้นเริ่มหัวเราะเยาะเขา
“จิ้งคง ไหงเจ้ายังตัวเล็กอยู่ล่ะ เจ้าหยุดโตแล้วรึ”
“นั่นสิ นั่นสิ! นี่เจ้ากินข้าวบ้างหรือเปล่า”
“หรือว่า ที่จริงแล้ว เจ้ายังเป็นทารกน้อยอยู่”
ในกระเป๋าของเขามีขวดนมที่กู้เจียวใส่มาให้ บอกว่า ต้องกินนมเยอะๆ จะได้ตัวสูงๆ
แต่เขาไม่อยากดื่มนมต่อหน้าเพื่อนร่วมชั้น!
เพราะไม่อยากถูกหัวเราะเยาะ
ในกลุ่มเด็กๆ ที่ล้อเลียนเขา คนที่หัวเราะได้สะใจมากที่สุดดูเหมือนจะเป็นฉินฉู่อวี้
ฉินฉู่อวี้เป็นโรคผิวหนังเลยต้องหยุดเรียนไป และกลับเข้ามาเรียนใหม่อีกครั้งช่วงหลังปีใหม่
เขาอายุราวๆ แปดขวบ รูปร่างของเขาทั้งอ้วนขึ้น แต่ก็ตัวสูงขึ้นเช่นกัน
เขาชี้นิ้วไปที่หมวกซิ่วไฉน้อยๆ ของจิ้งคง “เจ้าเด็กน้อย อยากกินขนมไหม เรียกข้าว่าพี่ชายสิ แล้วข้าจะให้กิน!”
จิ้งคงมองเหยียดๆ ก่อนจะเอ่ย “ปัญญาอ่อน!”
ฉินฉู่อวี้ “…”
ไม่นาน อาจารย์ก็เดินเข้ามา
คราวนี้ไม่ใช่อาจารย์เจี่ยง แต่เป็นอาจารย์ซุนที่จะมาทำหน้าที่เป็นอาจารย์ประจำชั้น
หลังจากที่เขาแนะนำตัวเสร็จ ก็ถึงเวลาตรวจการบ้านที่ให้ไว้ตอนช่วงปิดภาคเรียน
กลุ่มเด็กที่หัวเราะเยาะจิ้งคงเมื่อครู่ก็เริ่มหน้าถอดสี ช่วงปีใหม่เล่นกันเพลินจนลืมไปเสียสนิทเลยว่ามีการบ้านด้วย
ผู้ปกครองที่คอยตรวจการบ้านของเด็กๆ อย่างเซียวลิ่วหลังมีไม่เยอะนัก ส่วนใหญ่มักจะเลี้ยงเด็กๆ แบบปล่อยตามอำเภอใจ
ผลลัพธ์เลยเป็นฉะนี้
เด็กๆ พากันร้องโอดครวญ
จะมีก็แต่จิ้งคงคนเดียวที่เปิดกระเป๋าแล้วหยิบสมุดการบ้านขึ้นมา แล้วมอบให้อาจารย์
บรรยากาศที่กั๋วจื่อเจียนในวันนี้แลดูแตกต่างกว่าที่เคย พวกเด็กๆ ที่ชั้นเรียนปฐมวัยอาจสัมผัสไม่ได้ แต่หากเป็นชั้นเรียนเด็กโตขึ้นมาอย่างห้องไชว่ซิ่งของเซียวลิ่วหลัง ที่วันนี้บรรยากาศโดยรวมดูจะคร่ำเครียดและผิดสังเกตกว่าเคย ซ้ำยังรายล้อมไปด้วยข่าวลือต่างๆ นาๆ
“นี่ นี่ๆ พวกเจ้าได้ยินข่าวแล้วหรือยัง รองเจิ้งล้มป่วย!”
“ไหงเป็นเช่นนั้นได้เล่า”
“จะเป็นอะไรไปได้อีก ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น”
“เรื่องใดรึ”
“โห ข่าวออกจะแพร่หลาย พวกเจ้าไม่ได้ยินมาบ้างเลยรึ”
“ก็ไม่นะ”
“ก็บอกมาสักทีสิ มัวแต่ลีลาอยู่ได้!”
เหล่าเพื่อนร่วมชั้นไม่เคยทำให้เซียวลิ่วหลังผิดหวังจริงๆ เขาได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดยิบ
เรื่องก็คือ ในวังปล่อยข่าวว่าจะแต่งตั้งยศหนิงหวังให้องค์ชายใหญ่ และแต่งตั้งตำแหน่งจี้จิ่วของกั๋วจื่อเจียนให้กับรองเจิ้ง
รองเจิ้งเลยเตรียมซื้อชุดไว้ดิบดี รวมถึงงานเลี้ยงและบัตรเชิญอะไรต่างๆ ได้ถูกเตรียมพร้อมไว้ทั้งหมด เหลือก็แค่รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเท่านั้น
ใครจะไปคิดละว่ารองเจิ้งดันมาเจอะกับเฉิงเหย่าจินกลางคัน จู่ๆ จี้จิ่วคนก่อนดันส่งจดหมายถึงฮ่องเต้ว่ากลับมายังเมืองหลวงแล้ว
พอทรงทราบเรื่องก็แทบนั่งไม่ติดเก้าอี้ ในเมื่อจี้จิ่วคนเก่ากลับมาแล้ว จะแต่งตั้งจี้จิ่วคนใหม่อีกทำไมล่ะ รองเจิ้งพอรู้เรื่องเข้าก็โกรธจนหน้าเขียวไปเลย
ก่อนเข้าประชุม รองเจิ้งยังยืนอกผายไหล่ผึ่งได้อยู่ แต่พอออกจากตำหนัก รองเจิ้งกลับก้มหัวตัวงอจนแทบจะแนบกับพื้น
ศักดิ์ศรีและหน้าตาของเขามลายสิ้นแล้ว เขากลายเป็นตัวตลกของราชสำนักไปโดยปริยาย
และข่าวนี้ถูกแพร่กระจายไปทั่วกั๋วจื่อเจียนเพียงแค่ในเวลาครึ่งชั่วยามเท่านั้น
“วันนี้รองเจิ้งไม่ได้มาทำงาน เห็นเขายังบอกกับพวกเราอยู่เลยว่าจะมาเข้าสอน” เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“เขาไม่ได้จะมาสอนพวกเราหรอก เขาคงอยากได้ยินเสียงพวกเราเรียกเขาว่าจี้จิ่วต่างหาก” เพื่อนร่วมชั้นอีกคนเอ่ยต่อ
หลังจากที่รองเจิ้งมีคดีเรื่องโกงข้อสอบเซียวลิ่วหลังและโกงสมุดบัญชีของกั๋วจื่อเจียน แม้รองเจิ้งจะพยายามล้างมลทินของตัวเองอย่างสุดความสามารถ แต่ทุกคนมองเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป โดยเฉพาะบัณฑิตในชั้นเรียนไชว่ซิ่ง
พอเซียวลิ่วหลังเดินเข้ามาในห้องเรียน ทุกคนในห้องต่างพากันเงียบเสียงลง
ในสายตาเพื่อนร่วมชั้น เซียวลิ่วหลังถือเป็นบุคคลแปลกประหลาดสำหรับพวกเขา เพราะเขามักทำหน้าเย็นชาไม่รับแขก ทั้งๆ ที่เป็นเด็กจากชนบท แต่ดันสอบได้ที่หนึ่งทุกครั้ง
รวมถึงความพิการที่ขาของเขา
หากเป็นยุคก่อน คนอย่างเขาไม่มีทางได้โอกาสสอบเข้าหรอก
แม้แต่รองเจิ้งเองก็ยังเคยคิดต่อกรกับเขา
พวกเขานึกว่าเซียวลิ่วหลังจะถูกบังคับให้ลาออกเสียอีก ใครจะไปนึกกันว่า นอกจากเซียวลิ่วหลังจะได้อยู่ต่อแล้ว กลายเป็นว่ารองเจิ้งเองนี่แหละที่กำลังเจอวิกฤติเสียเอง
ไม่รู้ว่าเป็นความซวยของรองเจิ้ง หรือเซียวลิ่วหลังเป็นคนดวงแข็งกันแน่
และแล้วหัวข้อสนทนาเรื่องรองเจิ้งก็เป็นอันตกไป เพราะตอนนี้มีเรื่องที่สำคัญกว่านั้น ซึ่งก็คือการสอบชุนเหวยทในเดือนหน้าที่ใกล้เข้ามาทุกที
แล้วทุกคนก็เริ่มก้มหน้าก้มตาทบทวนหนังสืออย่างตั้งอกตั้งใจ
ในบรรดาชั้นเรียนทั้งหกห้องของกั๋วจื่อเจียน ชั้นเรียนปีที่หนึ่งอ่านหนังสือออกเสียงดังที่สุด รองลองมาคือชั้นปีที่สอง และพอมาถึงชั้นปีที่สามอย่างห้องไชว่ซิ่ง แทบไม่มีใครอ่านหนังสือออกเสียงกันแม้แต่คนเดียว
ชั้นเรียนไชว่ซิ่งถูกปกคลุมด้วยความเงียบสงัด แน่นอนว่าความกดดันก็ยิ่งมากเช่นกัน
การสอบชุนเหวยรอบนี้มิได้มีเพียงแค่บัณฑิตรุ่นราวคราวเดียวกันเท่านั้น ยังมีรุ่นก่อนๆ ที่สอบไม่ติดครั้งก่อนก็มาร่วมสอบในครั้งนี้ด้วย
นับว่าเป็นการสอบแข่งขันที่ดุเดือดมากที่สุดครั้งหนึ่ง
พอหมดคาบเช้า เหล่าบัณฑิตก็พากันเดินไปที่โรงอาหารด้วยสภาพอิดโรย
เซียวลิ่วหลังเดินไปรับจิ้งคงเพื่อจะกลับไปกินข้าวกลางวันที่เรือน เขายืนรอยู่นานสองนาน จนในที่สุดจิ้งคงน้อยก็เดินออกมา
“วันนี้อาจารย์ปล่อยช้าหรือ” เขาถาม
“ไม่ใช่อย่างนั้น พอดีข้ามีธุระนิดหน่อย” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ย
ตัวแค่นี้เนี่ยนะมีธุระแล้ว เจ้าตัวเล็กมองตัวเองเป็นผู้ใหญ่ไปแล้วสินะ
เซียวลิ่วหลังทั้งหมั่นไส้ทั้งตลก แล้วทั้งสองก็เดินกลับไปยังตรอกปี้สุ่ย
พวกเขาพักอยู่ใกล้กั๋วจื่อเจียนมากเสียจนเซียวลิ่วหลังอดคิดไม่ได้ว่าพระอาจารย์ของจิ้งคงซื้อเรือนนี้ไว้ให้สำหรับจิ้งคงได้เข้าเรียนจริงๆ
มื้อกลางวันวันนี้ จี้จิ่วอาวุโสเป็นคนทำอาหาร กลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วเรือน
กู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวชุ่นไม่ได้กลับมากินด้วยกัน พวกเขาเลือกอยู่ในโรงอาหารแทน
พอกินเสร็จ หญิงชรากลับไปนอนในห้องพัก ส่วนเสี่ยวจิ้งคงลุกไปล้างจานของตนเอง
จะเหลือก็แค่ครูและศิษย์สองคนที่ยังนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร
“เหตุใดถึงได้ทำเช่นนั้นล่ะ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยถามจี้จิ่วอาวุโส
จี้จิ่วอาวุโสรู้ว่าเซียวลิ่วหลังหมายถึงเรื่องอะไร เขาไม่อยากให้ศิษย์ของตัวเองต้องมาคาใจ เลยตอบออกไป “หาเงินเอามาเลี้ยงครอบครัวยังไงล่ะ”
เซียวลิ่วหลัง “…”
เรื่องบางเรื่อง แค่มองตากันก็เข้าใจ
ในวันที่เขาเจอกับความมืดหม่นจนมองไม่เห็นทางข้างหน้า ก็มีกู้เจียว และจี้จิ่วอาวุโสนี่แหละที่คอยส่องแสงให้เขา ตามวิถีของแต่ละคน
ปกติหลังจากกินอิ่ม เสี่ยวจิ้งคงน้อยจะงีบกลางวัน แต่วันนี้เขากลับไม่ทำเช่นนั้น
ขณะที่เซียวลิ่วหลังเดินออกมาจากห้อง ก็เห็นว่าเจ้าตัวเล็กกำลังทำอะไรหลบๆ ซ่อนๆ
“ทำอะไรน่ะ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยถาม
“ไม่มีอะไรน่า!” เสี่ยวจิ้งคงทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
วันนี้เขาไม่ยอมนอนกลางวัน แถมยังไม่ส่งเสียงดังแบบที่ผ่านๆ มา พิลึกชอบกล
โบราณว่าไว้ ถ้าเด็กนิ่งไป ต้องมีอะไรแน่นอน
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ พอเซียวลิ่วหลังไปเข้าเรียนคาบบ่ายได้แค่วิชาเดียว จู่ๆ ก็ถูกเชิญเข้าไปพบในฐานะผู้ปกครอง
เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อช่วงเช้าจิ้งคงถูกเพื่อนร่วมชั้นหัวเราะเยาะที่เขาตัวเล็กกว่าใครเพื่อน และคนที่ล้อเลียนเขามากที่สุดก็คือฉินฉู่อวี้
เสี่ยวจิ้งคงน้อยไม่พอใจ เลยเรียกฉินฉู่อวี้ไปดวลเปรียบเทียบ
ฉินฉู่อวี้หัวเราะงอหาย “ฮ่าๆ เจ้ามีอะไรใหญ่กว่าข้างั้นรึ”
เสี่ยวจิ้งคงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนเอ่ยถาม “เจ้ามีนกไหม”
ฉินฉู่อวี้ถึงกับอึ้งชะงักไปไม่ถูก
“เจ้าพูดอะไรของเจ้าน่ะ ข้าก็ต้องมีอยู่แล้วสิ! เจ้าไม่มีหรือไง”
“ก็ต้องมีสิ!” จิ้งคงถลึงตาใส่ “งั้นก็มาดวลนกกัน! ดูว่านกของใครใหญ่กว่า! หลังกินข้าวเสร็จข้าจะมาหาเจ้า! ไปที่ที่ๆ ไม่มีคนอยู่!”
ฉินฉู่อวี้มองจิ้งคงด้วยสายตาแปลกๆ
พอเสี่ยวจิ้งคงกินข้าวเสร็จ กลับมาที่กั๋วจื่อเจียน เขาก็ตรงเข้ามาหาฉินฉู่อวี้ทันที
ฉินฉู่อวี้ทำท่าอึกอัก “นี่เจ้า เจ้า เจ้า เจ้า เจ้าจะเทียบอันนั้นกับข้าจริงๆ รึ”
เขาเป็นถึงองค์ชายนะ ต้องสำรวมกายสิ ให้มาทำอะไรแบบนี้ได้ที่ไหน
แถมเจ้าเด็กนี่ก็อายุแค่สามสี่ขวบ จะใหญ่กว่าเขาไปได้อย่างไร
ฉินฉู่อวี้เดินไปพลางนึกในใจ หรือว่าของเขาจะใหญ่กว่าจริงๆ
“เอาละ ที่นี่แหละ!” เสี่ยวจิ้งคงพาเขามาหยุดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
เป็นบริเวณสวนหย่อมของโรงเรียน ปกติไม่มีคนผ่านไปผ่านมา
เสี่ยวจิ้งคงเดินอ้อมไปทางด้านหลังต้นไม้ แล้วเอ่ยกับฉินฉู่อวี้ “รีบมานี่สิ! เจ้าพามันมาแล้วใช่ไหม”
ฉินฉู่อวี้นึกในใจ พูดอะไรของเขาน่ะ ของแบบนี้ต้องพามาด้วยหรือ
ฉินฉู่อวี้จำใจเดินตามเข้าไปด้านหลังต้นไม้
เขาสองจิตสองใจอยู่นาน ยังคงมองว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะสมเท่าไหร่นัก “นี่เจ้า จะเทียบกับข้าจริงๆ รึ”
จิ้งคงถามย้อน “เจ้ากลัวเหรอ”
ฉินฉู่อวี้เกลียดคำพูดยุแยงแบบนี้มากที่สุด เลยกระทืบเท้า ตะเบ็งเสียง “ล้อกันเล่นใช่ไหม ข้าน่ะหรือจะกลัว งั้นก็มาวัดกันเลย! มาสิ! ข้าจะนับหนึ่งถึงสาม แล้วเปิดพร้อมๆ กัน!”
จิ้งคงรับคำท้า “ได้ เจ้านับสิ”
ฉินฉู่อวี้กัดฟันแน่น ก่อนจะเอ่ยนับ “หนึ่ง สอง สาม!”
เขาปลดกางเกงออก!
ส่วนเสี่ยวจิ้งคงน้อยคว้าเจ้านกเหยี่ยวน้อยออกมาจากกระเป๋า
เสี่ยวจิ้งคง:: “……”
เจ้าเหยี่ยวน้อย:: “……”
ฉินฉู่อวี้:: “……”
พอฟังถึงตรงนี้ เซียวลิ่วหลังพลันเหงื่อตก “จากนั้น เกิดอะไรขึ้นหรือท่าน”
อาจารย์ซุนที่เพิ่งได้รับตำแหน่งหมาดๆ พอมาเจอเรื่องแบบนี้ยิ่งออกอาการปวดหัวกว่าเซียวลิ่วหลังเสียอีก “จากนั้น เจ้าเหยี่ยวก็บินพุ่งเข้าไปที่ฉินฉู่อวี้”
เซียวลิ่วหลังอ้าปากค้าง “บินเข้าไปหา หรือว่าจะ…”
อาจารย์ซุนรีบโบกมือปัด “ไม่ใช่อย่างนั้น! พอดีจิ้งคงเจารั้งเจ้านกเหยี่ยวไว้ทันน่ะ!”
ฉินฉู่อวี้ขวัญผวาจนคิดว่าตัวเองจะไม่รอดแล้ว เลยรีบถอยหลังจนเกิดพลาดสะดุดล้มก้นจ้ำเบ้า ซ้ำยังฉี่ราดกางเกงอีก
เป็นถึงองค์ชาย แต่ดันมาฉี่เลอะกางเกงที่กั๋วจื่อเจียน มันช่างน่าอายยิ่งนัก
แต่เรื่องนี้เสี่ยวจิ้งคงก็เป็นฝ่ายผิดจริงๆ ที่เขาพาสัตว์ดุร้ายมายังสถานศึกษา ซึ่งเสี่ยงแก่การเกิดอุบัติเหตุอย่างมาก
เซียวลิ่วหลังกุมขมับ ก็หลงคิดว่าพอโตแล้วจะไม่ก่อเรื่องอีก ข้ามองโลกในแง่ดีเกินไปเสียแล้ว!
ผู้ปกครองของฉินฉู่อวี้ยังมาไม่ถึง
เซียวลิ่วหลังกับจิ้งคงนั่งรอในห้อง
เสี่ยวจิ้งคงเอามือกุมหัว ทำท่าโอดโอย “อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกเจียวเจียวนะ” จากนั้นมองไปที่เจ้าเหยี่ยวน้อยในอ้อมอก “แล้วก็อย่าปล่อยเจ้าเก้าเสี่ยวจิ่วไปล่ะ”
เซียวลิ่วหลังมองค้อน “ฝันไปเถอะ!”
เสี่ยวจิ้งคงจู่ๆ นึกอะไรขึ้นได้ ทำท่าเอียงคอแล้วหันไปทางพี่เขย “ลดค่าเช่าให้หนึ่งเดือนดีไหม”
เซียวลิ่วหลัง “…”