บทที่ 181 สี่ยอดโชคชะตา มหาเคราะห์ฟ้าดิน

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 181 สี่ยอดโชคชะตา มหาเคราะห์ฟ้าดิน

[หลงซั่นเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 1 ดาว]

หานเจวี๋ยที่เพิ่งสืบทอดพลังวิเศษเสร็จมองเห็นอักขระแถวนี้ที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า

เขาตรวจดูข้อมูลของหลงซั่นในทันที

[หลงซั่น: ระดับเซียนสวรรค์ไท่อี่ขั้นสมบูรณ์ โอรสจักรพรรดิสวรรค์ สายเลือดมังกรแท้ ได้มรดกมหาจักรพรรดิมังกรสวรรค์ บุตรแห่งสวรรค์ที่หาได้ยากในหมื่นยุค มีความแข็งแกร่งทรงพลังที่สามารถข้ามขอบเขตพลังฆ่าศัตรูได้ เนื่องด้วยจักรพรรดิสวรรค์ต้องการให้เขาท้าประลองกับท่าน จึงเกิดความสนใจในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 1 ดาว]

โอรสจักรพรรดิสวรรค์!

สายเลือดมังกรแท้!

มรดกมหาจักรพรรดิมังกรสวรรค์!

บุตรแห่งสวรรค์ที่หาได้ยากในหมื่นยุค?

นี่นับว่าเป็นดวงชะตาแต่กำเนิดสี่ประการหรือ

หานเจวี๋ยลอบสบถ ‘นี่ต้องใช้สูตรโกงแหงๆ!’

เซียนสวรรค์ไท่อี่ขั้นสมบูรณ์ อีกทั้งยังสามารถข้ามขอบเขตพลังฆ่าศัตรูได้!

รูปแบบตัวเอกอีกคนแล้ว!

หานเจวี๋ยรู้สึกถึงอันตรายขึ้นมาแล้ว

เขาฝึกบำเพ็ญมหากงล้อโชคชะตาปราณกระบี่ต่อ

หลังจากฝึกฝนพลังวิเศษนี้เสร็จ หานเจวี๋ยก็เริ่มยกระดับพลังวิเศษมรรคกระบี่อื่นๆ ภายในเวลาอันสั้น ตบะบำเพ็ญไม่สามารถจะเพิ่มระดับได้ จะต้องเพิ่มระดับความแข็งแกร่งก่อน

มาถึงแม่น้ำมรรคกระบี่อีกครั้ง เขาบังเอิญพบจั้งกูซิง ยังไม่ทันรอให้หานเจวี๋ยกล่าวทักทาย จั้งกูซิงก็ชิงเอ่ยปากขึ้นก่อนว่า “เทพปีศาจที่อาละวาดวังสวรรค์ถูกจับกุมแล้ว กำลังจะได้รับทัณฑ์สวรรค์ อีกไม่นานวังสวรรค์ก็จะกลับสู่สันติสุข ถึงเวลานั้นก็จะชำระล้างเผ่ามารต่อ”

หานเจวี๋ยพยักหน้าเอ่ย “ข้าทราบมาบ้างแล้ว เทพปีศาจตนนั้นถูกจับแล้ว? ไม่ใช่ว่าเขามีกลุ่มอิทธิพลอยู่เบื้องหลังหรือ”

จั้งกูซิงกล่าวอย่างเรียบนิ่ง “เขาเป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง หมากที่สำนักพุทธกับวังสวรรค์วางกระดาน วังสวรรค์แบ่งดินแดนของสี่อาณาจักรแดนเซียนทั้งหมดให้แก่สำนักพุทธ วังสวรรค์ต้องการรักษาหน้า เทพปีศาจนั่นจะต้องตาย”

หานเจวี๋ยยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกเหมือนเรื่องเล่าของซุนหงอคง

ถึงแม้ในเรื่องไซอิ๋วจะไม่ได้เขียนไว้ชั่วร้ายถึงเพียงนี้ แต่จากทฤษฎีสมคบคิดต่างๆ ของพวกนักท่องอินเทอร์เน็ตในสังคมยุคใหม่ ไซอิ๋วก็กลายเป็นด้านมืดของสำนักพุทธแล้ว

“เทพปีศาจนั่นเป็นลิงหรือ” หานเจวี๋ยเอ่ยถาม

จั้งกูซิงเอ่ยตอบว่า “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร อย่างไรเสียข้าก็เฝ้าอยู่ที่นี่มาโดยตลอด หากไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าเองคงคร้านที่จะสืบเรื่องราวพวกนี้”

หานเจวี๋ยได้ยิน ก็ออกเดินทางในทันที กล่าวยิ้มๆ ว่า “ขอบคุณในความปรารถนาดีของพี่ใหญ่ยิ่งนัก”

จั้งกูซิงแค่นเสียงเอ่ย “พี่ใหญ่อะไร เหตุใดไม่เรียกผู้อาวุโส”

“สนิทกันถึงเพียงนี้แล้ว เรียกผู้อาวุโสดูห่างเหินยิ่งนัก!”

“เอาเถิด เจ้าคิดไตร่ตรองดีแล้วใช่หรือไม่ แม้ก่อนหน้านี้จะมีกรณีของยอดแม่ทัพเทพ แต่จักรพรรดิสวรรค์มักจะวางอุบายลุ่มลึก อารมณ์ผิดปกติแปรปรวน ในสายตาสูงส่ง อาจจะยากที่เจ้าจะเข้าตาเขา”

“หากไม่ได้จริงๆ เช่นนั้นข้าก็มีแต่ต้องยอมแพ้ ถึงข้าจะสู้ไม่ไหว แต่เรื่องหนีก็พอได้อยู่”

“ข้าก็รู้สึกว่าไอ้หนูอย่างเจ้าไม่ปกตินัก ตบะที่บำเพ็ญก็ไม่เหมือนมรรคผลไท่อี่ ระบบเต๋าของเจ้ายิ่งเหมือนโลกีย์หกวิถี”

“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ ข้าก็ไม่ใช่ผู้ทรงพลังกลับชาติมาเกิด มีโอกาสวาสนาก็ต้องคว้าเอาไว้”

“ก็จริง”

หลังจากนั้น หานเจวี๋ยก็สอบถามเรื่องบรรพชนพุทธภควัตกับจั้งกูซิง

จั้งกูซิงมีความเข้าใจเรื่องบรรพชนพุทธภควัตจริงๆ

“ในบรรดามหาพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ บรรพชนพุทธภควัตเป็นองค์ที่ไม่มีคุณูปการมากที่สุด แต่ได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อผู้บุกเบิกวิชาวัฏจักรหกวิถี คิดว่าการเวียนว่ายตายเกิดถึงจะเป็นวิถีสูงสุด ถึงจะเป็นมรรคาสวรรค์ที่แท้จริง ยามที่บรรยายกับศิษย์สำนักพุทธเขาถึงขั้นโน้มน้าวให้ละทิ้งการบำเพ็ญตบะหลายต่อหลายครั้ง ทำเอามหาพระพุทธเจ้าอีกสี่พระองค์โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ พระพุทธเจ้าหนึ่งในนั้นกล่าวว่าหากท่านศรัทธาในวัฏจักรเวียนว่ายตายเกิดถึงเพียงนี้ เหตุใดท่านถึงไม่เข้าสู่การเวียนว่ายตายเกิดเสีย เพราะเช่นนั้นบรรพชนพุทธภควัตจึงกระโจนเข้าสู่วัฏจักรเวียนว่ายตายเกิด ไร้ข่าวคราวนับแต่นั้น”

จั้งกูซิงทอดถอนใจเอ่ย หลังจากหานเจวี๋ยฟังจบถึงได้ปักใจเชื่ออย่างสมบูรณ์ว่านี่ไม่ใช่แผนการชั่วร้ายของสำนักพุทธ

แต่เพราะบรรพชนพุทธภควัตมีปัญหาจริงๆ

จั้งกูซิงพลันกล่าวหัวเราะเย้ยหยันว่า “ที่เจ้าใส่ใจบรรพชนพุทธภควัตเพียงนี้ เป็นเพราะคลุกคลีกับเขามาแล้วใช่หรือไม่ เขาไปเกิดใหม่หลายพันครั้งแล้ว สำนักพุทธเองก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมรับความคิดของเขา เจ้าไม่ต้องกังวลใจไป สำนักพุทธก็อยากให้บรรพชนพุทธภควัตเวียนว่ายตายเกิดชั่วนิรันดร์ยิ่งนัก”

หานเจวี๋ยเผยรอยยิ้มออกมา ‘พี่ใหญ่ตั้งมั่นนัก เรื่องนี้ยังสามารถคำนวณได้’

เขาถามถึงหลงซั่นอีกครั้ง

“ไม่เห็นเคยได้ยิน”

คำตอบของจั้งกูซิงทำให้หานเจวี๋ยจนปัญญา

‘ก็จริง

เป็นไปไม่ได้ที่โอรสจักรพรรดิสวรรค์จะมีเพียงคนเดียว’

ทั้งคู่สนทนากันต่อสักพัก ก่อนที่หานเจวี๋ยจะมุ่งหน้าต่อไป

พายุหิมะในโลกมนุษย์ดำเนินต่อไปนานหลายปี ท่ามกลางหิมะนั้นได้แฝงพลังวิญญาณเอาไว้ ทำเอาผู้ฝึกบำเพ็ญล้วนได้รับผลประโยชน์ แต่สำหรับคนธรรมดาทั่วไปแล้ว นี่ก็คือหายนะครั้งใหญ่

วิญญาณมนุษย์ธรรมดาค่อยๆ ตกตายท่ามกลางภัยพิบัติหิมะมากขึ้นเรื่อยๆ

ผืนดิน ภูเขาและลำธารล้วนถูกเกล็ดหิมะทำให้แข็งตัวจนกลายเป็นธารน้ำแข็ง ไม่เหลือพื้นที่สีเขียวชอุ่มให้เห็นอีกต่อไป

หานเจวี๋ยพลันนึกถึงยุคน้ำแข็งขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

หรือก่อนหน้านี้โลกก็เคยเผชิญหน้ากับมหาเคราะห์เช่นนี้ เช่นนั้นที่โลกกลายเป็นยุคน้ำแข็ง ก็เพราะโลกกำลังปกป้องตัวเอง?

‘มีความเป็นไปได้มาก!’

ทว่านั่นล้วนเป็นเรื่องของอดีตชาติ เป้าหมายหลักของหานเจวี๋ยคือพยายามที่จะแข็งแกร่งขึ้นให้ได้

วังสวรรค์อาจจะมาได้ทุกเมื่อ

หานเจวี๋ยเริ่มเป็นกังวลขึ้นมาแล้ว

เขาตั้งตารอคอยอยู่ทุกวัน ทำให้ตอนที่เขาฝึกบำเพ็ญมักยากจะสงบใจเป็นอย่างยิ่ง

ซูฉีกลับมาแล้ว และก็เป็นหานเจวี๋ยที่เรียกเขากลับมา

เขาบอกว่าจักรพรรดิปีศาจจิ้งจอกดำธาตุไฟเข้าแทรกขณะบำเพ็ญตบะ ดังนั้นเขาจึงออกมาได้อย่างราบรื่น ไม่ได้มีอุปสรรคใดๆ

หลังจากหานเจวี๋ยได้ฟังแล้ว ก็อยากหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้

‘ดาวตัวซวยก็ยังเป็นดาวตัวซวยวันยังค่ำ!’

หลังจากซูฉีกลับมาก็พบว่าพลังวิญญาณเพิ่มพูน เช่นนั้นจึงรู้สึกดีใจยกใหญ่ เริ่มปิดด่านฝึกฝนทันที

ตั้งแต่หลังจากที่พูดคุยกับจั้งกูซิง เวลาก็ผ่านไปประมาณเจ็ดปี

หานเจวี๋ยข่มความกระวนกระวายใจไว้ไม่อยู่ จึงหยัดกายลุกขึ้นเดินออกจากถ้ำเทวาฟ้าประทาน

เซียนซีเสวียน ฉางเยวี่ยเอ๋อร์และสิงหงเสวียนล้วนกำลังบำเพ็ญตบะภายในถ้ำเทวา ไม่ได้ออกไปข้างนอกอีก

หานเจวี๋ยมาหาเซียนซีเสวียน

เซียนซีเสวียนได้ยินเสียงของเขา ก็ให้เขาเข้ามาในถ้ำเทวา

เมื่อนับดู ก็เป็นเวลานานมากแล้วที่หานเจวี๋ยไม่ได้ถกธรรมกับนาง

เมื่อได้เห็นเซียนซีเสวียนอีกครั้ง หานเจวี๋ยก็พบว่านางเหมือนกับเมื่อก่อน ยังคงมีบุคลิกสูงส่งประหนึ่งเทพเซียนเช่นเดิม

“เหตุใดเจ้าถึงยอมออกด่านมาหาข้าได้” เซียนซีเสวียนเอ่ยถามยิ้มๆ

สายตาที่นางมองทางหานเจวี๋ยเต็มไปด้วยนัยลึกซึ้ง

นางไม่ได้เขลา นางเข้าใจเจตนาที่หานเจวี๋ยมีต่อตนดี ทั่วทั้งสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ มีสักกี่คนกันที่สามารถเข้ามาบำเพ็ญตบะในเขาเพียรบำเพ็ญเซียนได้

หานเจวี๋ยเอ่ยถามพลางกลั้วหัวเราะ “เรื่องที่วังสวรรค์กำลังจะมา เจ้าเคยได้ยินมาบ้างหรือไม่”

ในเขาเพียรบำเพ็ญเซียนเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความลับอะไร สิงหงเสวียนเองก็ทราบแล้ว จากความสัมพันธ์ของนางกับฉางเยวี่ยเอ๋อร์ จะต้องบอกกล่าวกับฉางเยวี่ยเอ๋อร์แล้วเป็นแน่ และฉางเยวี่ยเอ๋อร์ก็เป็นศิษย์ของเซียนซีเสวียน แน่นอนว่าก็ต้องรู้แล้วเช่นกัน

เซียนซีเสวียนกล่าวว่า “ข้าทราบแล้ว อันที่จริงแล้วเจ้าไม่จำเป็นต้องรั้งอยู่เพื่อสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์หรือเพื่อคนทั่วหล้า เจ้าสามารถขึ้นสวรรค์ได้ รีบขึ้นสวรรค์ให้เร็วหน่อยเถิด ไม่จำเป็นต้องเอาเป็นเอาตายกับเทพเซียน ส่วนพวกเรา อีกทั้งยังสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ นี่ก็ล้วนเป็นชะตา ไม่จำเป็นต้องทำให้ตนเองต้องเสี่ยงอันตราย

รู้จักเจ้ามานับพันปี ข้าก็รู้จักนิสัยของเจ้าเป็นอย่างมาก ตอนแรกสิ่งที่เจ้าต้องการคือการบำเพ็ญเซียน สิ่งที่เจ้าต้องการคือความเป็นอมตะ ไม่จำเป็นต้องถูกรั้งด้วยความรู้สึก

มีชีวิตอยู่มานานเพียงนี้ กล่าวตามตรง ข้าก็อยู่มามากพอแล้ว ต่อให้วันพรุ่งนี้จะต้องตาย ข้าก็ไม่ได้รู้สึกเสียดาย สิ่งเดียวที่รู้สึกนึกละอายคือน้ำใจของเจ้า ความหวังดีที่เจ้ามีต่อข้า ข้าเกรงว่าคงไม่มีวันตอบแทนได้”

น้อยครั้งนักที่นางจะกล่าววาจายืดยาวเช่นนี้ในคราวเดียว

หานเจวี๋ยกล่าวยิ้มๆ “วางใจเถิด ข้าย่อมมีอุบายรัดกุมครอบด้านแน่ หากสู้ไม่ได้ ข้าจะพาเขาเพียรบำเพ็ญเซียนขึ้นสู่สวรรค์ไปด้วยกัน เพียงแต่ เจ้ายินยอมที่จะไปกับข้าหรือไม่”

เซียนซีเสวียนส่ายหน้าหลุดยิ้ม “หากข้าบอกว่าไม่ยินยอม ก็คงไม่รู้จักรักษาน้ำใจ หน้าซื่อในคด”

จากนั้น นางก็เปลี่ยนเรื่อง เริ่มพูดคุยเรื่องอดีตที่ผ่านมากับหานเจวี๋ย

จิตใจที่เป็นกังวลของหานเจวี๋ยก็พลอยสงบลงตามด้วย

หลังจากพูดคุยกับเซียนซีเสวียนอยู่หลายวัน เขาก็ไปหาฉางเยวี่ยเอ๋อร์อีก และพูดคุยกันอีกหลายวันเช่นเคย สภาพจิตใจจึงฟื้นสู่สภาวะปกติอย่างสมบูรณ์

เมื่อนึกย้อนกลับไป ก็มีประโยชน์อยู่เหมือนกัน

สามารถรื้อฟื้นจิตแรกเริ่มได้

เมื่อกลับมาถึงภายในถ้ำเทวาฟ้าประทานอีกครั้ง หานเจวี๋ยที่กำลังจะฝึกบำเพ็ญ จู่ๆ เบื้องหน้าก็ปรากฏอักขระขึ้นมาแถวหนึ่ง

[ตรวจสอบพบว่ากฎสวรรค์ที่มาถึงโลกมนุษย์แห่งนี้กำลังถูกเก็บ มหาเคราะห์ฟ้าดินกำลังจะมาถึง]

……………………………………………………………