บทที่ 227 เขาวงกตขยับตลอดเวลา

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

บทที่ 227 เขาวงกตขยับตลอดเวลา

จดหมายในมือของเขาไร้ซึ่งตัวอักษรเลยสักตัวเดียว และทุกหน้าก็เต็มไปด้วยรูปคนตัวเล็กและต้นไม้

ในขณะที่ฉินปู้เข่อจับพู่กันเขียน นางก็รู้สึกว่าลายมือของนางตัวใหญ่ ไม่สวย น่าเกลียด และเปลืองพื้นที่กระดาษในการเขียน ดังนั้นนางจึงเลือกวาดลายเส้นง่าย ๆ แทน ซึ่งแน่นอนว่านางเสี่ยงระบุสิ่งที่โดดเด่นของสถานที่ที่นางอยู่ในปัจจุบันลงไปด้วย

แม้นางจะรู้ว่าหมี่อี้เหิงต้องตรวจสอบจดหมายก่อนจะส่ง และไม่สามารถส่งคำใบ้เหล่านี้ออกไปได้ แต่นางก็ยังตัดสินใจวาดมันลงไป

ดังนั้นเมื่อหมี่โม่หรู่มองกระดาษสีขาวในมือของเขา เขาก็เข้าใจสถานการณ์คร่าว ๆ ผ่านรูปวาดนั้น แล้วจู่ ๆ ก็พบว่ามีแผ่นกระดาษขาดไปหนึ่งแผ่น และตำแหน่งสำคัญครึ่งหนึ่งหายไป

เมื่อเขาเห็นกระดาษแผ่นสุดท้ายมีรูปสตรีผู้หนึ่งอุ้มเด็กยืนยิ้มอยู่หน้าประตูของ ‘ตำหนักอ๋องหลี่ชิน’ เขาก็อดหัวเราะไม่ได้

นี่นางกำลังบอกเขาว่านางจะกลับมาพร้อมกับลูก

หมี่โม่หรู่พลิกจดหมายในมือไปมาอีกหลายครั้งขณะนั่งอยู่บนเตียง เขารู้ถึงความสามารถของเสี่ยวเข่อดี และเขาเชื่อว่าเสี่ยวเข่อจะสามารถพาลูกกลับมาได้อย่างปลอดภัย

แต่ในเวลานี้ ความรู้สึกที่ว่าตนเองไม่สามารถทำอะไรได้ทำให้เขาหงุดหงิดเล็กน้อย เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาจะไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากรอนาง?!

เขาไม่รู้ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงในการลักพาตัวลูกและเสี่ยวเข่อไปของคนผู้นั้นคืออะไร หมี่โม่หรู่วางจดหมายไว้ข้างกายแล้วประสานมือของตนแน่น พลางหวนระลึกถึงความอบอุ่นที่ไม่ได้สัมผัสมานาน

ในคืนนั้นฉินปู้เข่อนอนหงายอยู่บนเตียง นางลืมตาและพลิกตัวไปมาเพราะนอนไม่หลับ

หมี่เฉินอี้ที่อยู่บนพื้นไม่ได้เอ่ยคำใด เขารู้ว่าตอนนี้นางไม่ได้ยินและเขาก็จะไม่พูดอะไร ดังนั้นเขาจึงหลับตาและฟังคนที่นอนอยู่บนเตียงดิ้นไปมา

หรือว่านางจะฉวยโอกาสในตอนกลางคืนเพื่อไปดูว่าจะออกไปได้หรือไม่ ชั่วขณะหนึ่งนางหันหน้าไปด้านข้างและเห็นชายหนุ่มนอนหลับตาอยู่ที่พื้น

ดูเหมือนว่าเขาจะหลับเร็ว

ฉินปู้เข่อค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินเขย่งเท้าออกไป

วันนี้ตอนกลางวันนางเดินตามหลังอีฮ่วยไปรอบ ๆ อยู่นาน และนางก็เข้าใจโครงสร้างของตำหนักและทางเดินมากขึ้น

“ซ้ายสิบห้า ขวาแปด ซ้ายเจ็ด ขวาเก้า…” นางท่องจำนวนก้าวที่นางจดไว้ในวันนี้อย่างเงียบ ๆ แล้วเดินไปยังตำหนักที่ลูกอาศัยอยู่

ราตรีเงียบสงัด เด็กกำลังหลับและแม่นมก็หลับใหลเช่นกัน

ฉินปู้เข่อผลักประตูเบา ๆ แล้วเดินเข้าไปในห้องชั้นใน ก่อนจะอุ้มเด็กในเปลขึ้นมาในอ้อมแขนของนาง

ช่างราบรื่นยิ่งนัก การกระทำในคืนนี้ดำเนินไปได้อย่างราบรื่นมากเสียจนนางรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง

ฉินปู้เข่อเม้มปากขณะกอดลูกแล้ววางลูกกลับเข้าที่ ก่อนจะจูบเขาที่หน้าผากและกระซิบว่า “หมิงเอ๋อร์ แม่จะกลับไปพักผ่อนแล้ว เจ้าต้องเป็นเด็กดีเมื่อแม่ไม่อยู่นะ”

พูดจบนางก็ก้มตัวเดินออกจากห้องไปเงียบเชียบ แล้วเดินกลับตามเส้นทางเดิม ราวกับว่าจุดประสงค์ของการเดินทางมาในครั้งนี้คือเพื่อมาหาลูก โดยปราศจากความคิดอื่นใด

บนต้นไม้สูงหลังตำหนักที่หมิงเอ๋อร์อาศัยอยู่ แสงสะท้อนอันเย็นยะเยือกส่องออกมาแล้วค่อย ๆ หดกลับเข้าไป คมดาบสีขาวราวหิมะส่งเสียงเสียดสีเล็กน้อยเมื่อกลับเข้าฝัก

แต่ช่วงนี้ฉินปู้เข่อไม่ได้ยินเสียงใด ๆ เลย จึงมั่นใจว่านางไม่ได้ยินอย่างแน่นอน

หลังจากกลับมาที่เตียง ฉินปู้เข่อก็เอื้อมมือมากุมหน้าอกแน่น หัวใจของนางสั่นระรัว นางไม่อาจสงบสติอารมณ์ลงได้อยู่นาน หากไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งทางจิตใจของตนเอง นางก็คงหวาดกลัวมากจนเดินไม่ได้เพราะขาแข้งอ่อนแรง

แม้ว่าช่วงนี้นางจะไม่ได้ยิน แต่นางก็มองเห็น

ตำหนักที่หมิงเอ๋อร์อาศัยอยู่นั้นเต็มไปด้วยคนนั่งยอง ๆ บนต้นไม้ อย่างน้อยก็มีองครักษ์ราวสามสิบสี่สิบคน

ทว่าแทบไม่มีองครักษ์อยู่ในพื้นที่อื่นในตำหนักเลย และนางก็ไม่เห็นองครักษ์แม้แต่คนเดียวระหว่างทางกลับ

ดูเหมือนว่าหมี่อี้เหิงจะมั่นใจในเขาวงกตของเขามาก

หลังจากที่ฉินปู้เข่อนอนลงบนเตียงจนหัวใจที่เต้นระรัวค่อย ๆ สงบลง นางก็ลุกขึ้นอีกครั้งแล้วเดินไปที่โต๊ะในห้องชั้นนอกอย่างเชื่องช้า

นางไม่เพียงแต่มององครักษ์บนต้นไม้เท่านั้น แต่ยังมองดูทางเดินทุกทางในตำหนักด้วย

ด้วยทางเดินเหล่านี้ นางจะสามารถวาดแผนผังเขาวงกตในตำหนักนี้และค้นหาทางออกที่ถูกต้องได้

หมี่เฉินอี้ที่หลับไปแล้วลุกขึ้นเช่นกัน เขาเดินไปที่ห้องชั้นนอกและสะกิดนางเพื่อเตือนให้นางมองปากของเขา “เจ้าออกไปแล้วหรือ?”

“อืม ออกไปแล้วเพคะ”

หมี่เฉินอี้เลิกคิ้ว นางเพิ่งเดินนำหน้าไปและเขาแอบสะกดรอยตามหลังไป เมื่อนางเข้าไปในตำหนักที่เต็มไปด้วยองครักษ์ เขาก็หยุดตามและนั่งยอง ๆ อยู่ที่มุมห้องเพื่อรอให้นางกลับมาทางเดิม

ดูเหมือนว่านางจะรู้ว่ามีองครักษ์มากมายซ่อนตัวอยู่ในตำหนักด้วย แต่กลับไม่รีบวิ่งหนีออกมา และทำราวกับว่าตำหนักนั้นเป็นตำหนักของเด็กปกติ

“ท่านลุกมาได้ทันเวลาพอดี ตอนนี้หม่อมฉันฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีใครเขียนแผนผังทางเดินในตำหนัก มันเกือบจะเหมือนกับที่หม่อมฉันวาดบนกระดาษ เส้นแนวนอนเล็ก ๆ หมายความว่าสุดทางเดินเป็นกำแพง ดูสิว่าพวกเราจะออกจากเขาวงกตนี้ได้อย่างไร” ฉินปู้เข่อวางแผนที่ที่นางเพิ่งวาดเสร็จไว้ข้างหน้าหมี่เฉินอี้

หมี่เฉินอี้หยิบมันขึ้นมาดูและพบเส้นทางที่จะออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาหันหลังไป ฉินปู้เข่อก็มองไปยังทางเดินที่เขาชี้และพยักหน้า

“พบทางแล้ว สิ่งที่ยากที่สุดในตอนนี้คือการพาเด็กออกมาด้วย” มีองครักษ์มากมายในตำหนักที่หมิงเอ๋อร์อาศัยอยู่ และมันเป็นไปไม่ได้ที่จะขโมยเขาออกมา และเป็นการยากที่จะใช้กลยุทธ์ล่อเสือออกจากถ้ำ

มันเป็นไปไม่ได้ที่จะจัดการองครักษ์สามสิบหรือสี่สิบคนในคราวเดียว

และต้องใช้เวลาอย่างเร็วที่สุดสามวัน เพื่อให้หูและจมูกของนางหายดีก่อนจึงจะเริ่มเคลื่อนไหวได้

ทันใดนั้นเอง ฉินปู้เข่อเหมือนจะเห็นบางสิ่งเคลื่อนไหวที่หางตาของนาง นางเงยหน้าขึ้นและจ้องไปที่กำแพงข้างหน้า แล้วก็ตกตะลึงเมื่อมองออกไปนอกกำแพง

“เกิดอะไรขึ้น?” หมี่เฉินอี้มองตามสายตาของนางที่มองไปยังกำแพงตรงหน้าเขา แต่เขามองเห็นเพียงแค่กำแพงเท่านั้น

“ให้ตายเถอะ กำแพงและทางเดินด้านนอกกำลังขยับเอง” ฉินปู้เข่อจ้องไปที่ทางเดิน กำแพงและนอกกำแพงอย่างว่างเปล่า พวกมันกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่ช้ามาก

ภายในเวลาแค่ชั่วก้านธูป การเคลื่อนไหวภายนอกก็หยุดลงและเส้นทางใหม่ก็ถูกสร้างขึ้น เส้นทางที่นางพยายามจดจำอย่างหนักได้แตกต่างไปจากเส้นทางในตอนนี้

ไม่น่าแปลกใจที่หมี่อี้เหิงมีความมั่นใจมาก บางทีเขาอาจเดาได้นานแล้วว่านางตามอีฮ่วยไปรอบ ๆ ตำหนักทุกวันเพื่อจดจำแผนผังทางเดิน แต่เขาก็ไม่ได้กลัวเลย

เส้นทางสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นแม้ว่านางจะค้นหาซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ไร้ประโยชน์ นอกจากจะขอให้หมี่อี้เหิงพานางออกไปด้วยตัวเองแล้ว ฉินปู้เข่อก็ยังไม่พบวิธีที่จะออกจากตำหนักอยู่ดี

หมี่เฉินอี้ก็พ่ายแพ้ต่อข้อเท็จจริงนี้เช่นกัน “ดูเหมือนว่าจะออกไปไม่ได้เสียแล้ว”

“เป็นไปได้หรือไม่ว่าเราทำได้แค่นั่งรอ?” ฉินปู้เข่อทรุดตัวลงบนเก้าอี้นวมอย่างหดหู่ ก่อนจะขยำภาพวาดที่อยู่ข้างหน้านางแล้วโยนทิ้งไป “ตำหนักนี้จะขยับทันทีที่พูด คาดว่าอาจจะมีหลายร้อยเส้นทาง และเป็นไปไม่ได้ที่จะวาดแผนผังให้เสร็จได้!”

“ข้าเคยเห็นการสร้างกลไกเช่นนี้ในหนังสือ ตราบใดที่หินที่ควบคุมการเคลื่อนไหวถูกทำลาย กลไกที่สร้างไว้ก็จะพัง และทางเดินก็จะไม่สามารถเคลื่อนที่ได้อีกต่อไป” หมี่เฉินอี้ลูบคางของเขา “สายตาของเจ้ายังดีอยู่หรือไม่ ลองพยายามมองหาหินที่เป็นกุญแจของตำหนักนี้ดูสิ”

………………………………………………………………………….