เมื่อเห็นความตื่นเต้นที่ปิดบังไม่อยู่ของเจียงอันเฉิง เจียงซื่อยิ้มและเอ่ยถาม “ท่านพ่อมีเรื่องมงคลหรือเจ้าคะ”
“ไม่ถึงกับเป็นเรื่องมงคล ข้าเพียงมีเรื่องหนึ่งอยากถามความเห็นเจ้า” เจียงอันเฉิงตอบอย่างหยิ่ง
“ท่านพ่อพูดมาเลยเจ้าค่ะ”
“เจ้าคิดว่าท่านลุงเจินเป็นอย่างไร”
ช่างเป็นคำถามที่ถามได้กะทันหันมาก เจียงซื่อตอบตรงๆ “ท่านลุงเจินเป็นขุนนางที่ดีคนหนึ่ง บุคลิกประจำตัวและความสามารถล้วนแต่ทำให้ลูกรู้สึกชื่นชมยิ่งนัก”
เจียงอันเฉิงมองดูลูกสาวที่งดงามดุจดอกไม้และหยกล้ำค่า แม้ว่าทำใจไม่ได้แต่สุดท้ายก็ถามออกไป “แล้วเจ้ายินยอมที่แต่งเข้าตระกูลของเขาหรือไม่”
“หา?” เจียงซื่อถึงกับตะลึงงัน
“วันนี้ใต้เท้าเจินเชิญข้าไปดื่มชา เขามาสู่ขอเจ้าแทนลูกชายของเขา…”
เจียงซื่อฟังเงียบๆ พลันนึกถึงชายหนุ่มที่พบโดยบังเอิญที่สวนป่าคนนั้น และชายหนุ่มคนนั้นเพิ่งมาที่เรือนนี้พร้อมกับใต้เท้าเจินเมื่อไม่นานมานี้ นึกๆ ดูแล้ว...ชายหนุ่มคนนั้นไม่เหมือนกับเป็นเด็กรับใช้สักนิด!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เจียงซื่อพลันใจเต้นรัว หรือว่าเขาคือบุตรชายคนโตของใต้เท้าเจิน?
ความบังเอิญแบบนี้ทำให้อารมณ์ของนางสับสนเล็กน้อย
“ซื่อเอ๋อร์ เจ้ามีความคิดเห็นว่าอย่างไร” เจียงอันเฉิงพูดเสร็จ เขามองและรอเจียงซื่อตอบกลับ
หากว่าลูกสาวพยักหน้าเขาเองก็คงรู้สึกผิดหวัง แต่ถ้าหากปฏิเสธ ก็เหมือนว่าจะไม่ดีใจเช่นกัน
ตระกูลเจินนับว่าเป็นคู่สมรสที่ไม่เลว
เจียงซื่อสัมผัสได้ถึงความคาดหวังของเจียงอันเฉิง แต่ความคาดหวังนี้กลับทำให้จิตใจของนางยิ่งหน่วง อายุนางตอนนี้ การแต่งงานคงเป็นเรื่องที่หลบไม่พ้นอีกแล้ว
เจียงซื่อนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ จนเจียงอันเฉิงดูออกลางๆ ว่าผิดปกติ “ซื่อเอ๋อร์ไม่อยากแต่ง?”
“ลูกยังไม่อยากพูดถึงการออกเรือนเจ้าค่ะ” เจียงซื่อก้มศีรษะลงด้วยความรู้สึกผิด
นางเข้าใจเป็นอย่างดี การทำเช่นนี้จะทำให้ท่านพ่อลำบากใจ นางอายุเท่านี้แล้ว เวลาเจอคู่สมรสที่เหมาะสมในทุกๆ ด้าน ก็ควรที่จะแต่งออกไปอย่างยินดีปรีดา มิฉะนั้นก็จกลายเป็นการเอาแต่ใจ ไม่รู้จักชั่วดี แต่ท่านพ่อสามารถเข้าใจนางได้ ก็นับว่าเป็นผู้อาวุโสหนึ่งในล้านที่ดีคนหนึ่ง
“ช่างเถอะๆ ถ้าตอนนี้ซื่อเอ๋อร์ยังไม่อยากแต่งงานก็ไม่แต่ง ที่เรือนนี้ก็ใช่ว่าจะเลี้ยงดูเจ้าไม่ไหวเสียหน่อย เจ้าเป็นสาวน้อยอย่าเอาแต่ขมวดคิ้วสิ” เจียงอันเฉิงมองออกว่าเจียงซื่อรู้สึกผิดและไม่สบาย จึงรีบกล่าว
“ท่านพ่อ ข้า…” เจียงซื่อรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก แต่กลับพูดอ้ำอึ้ง
เจียงอันเฉิงมองลูกสาวที่หน้าตาเหมือนกับภรรยาผู้ล่วงลับแล้วถอนหายใจยาว “คนเรา จะแต่งงานสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้จริงๆ”
คนๆ หนึ่งจะเจอคนที่ชอบจากใจจริงๆ มันไม่ง่าย เขาหวังเพียงว่าลูกสาวของเขาจะเจอคนเช่นนั้น แน่ล่ะ คนนั้นก็ต้องชอบในลูกสาวเหมือนที่ลูกสาวชอบเช่นกัน มิฉะนั้น ถึงลูกสาวของเขาจะชอบชายผู้นั้นมากแค่ไหน เขาก็ไม่เห็นด้วยแน่
“ทางตระกูลเจิน ไว้พ่อไปบอกให้เองนะ” เจียงอันเฉิงปลอบเจียงซื่อ “ลูกกลับไปพักเถอะ”
……
เจินซื่อเฉิงได้รับจดหมายตอบกลับจากเจียงอันเฉิง พลางสูดหายใจลึกและกล่าวต่อเจินฮูหยิน “ดูเหมือนว่าเหิงเอ๋อร์กับคุณหนูเจียงไม่มีพรหมลิขิตต่อกัน เสียดายยิ่งนัก”
เจินฮูหยินได้ฟังพลางขมวดคิ้ว “ตระกูลเจียงไม่ยินดีงั้นรึ”
เจินซื่อเฉิงยิ้มอย่างขมขื่น “เขาแจ้งว่าเพิ่งยกเลิกงานแต่งงานไป บุตรสาวของเขายังไม่อยากพูดถึงการออกเรือน อยากเว้นช่วงสักสองปี”
“ไม่ยินดีก็ช่าง เรายังอุตส่าห์รีบไปคุยแต่ก็ยังไม่สำเร็จอีก” เจินฮูหยินแม้จะรู้สึกเสียดาย แต่สำหรับคนที่เป็นแม่นั้น ใครมองลูกชายของเขาไม่เข้าตานั้นเป็นเรื่องใหญ่ ความรู้สึกดีเล็กๆ ที่มีให้กับเจียงซื่อเมื่อตอนอยู่ที่ร้านขายเครื่องเงินพลันหายไปในพริบตา
หึ ลูกชายของนางดีถึงเพียงนี้กลับไม่เข้าตา เห็นได้ว่าเป็นคนตาบอดสินะ เจินฮูหยินอารมณ์ไม่ดี กับเจินซื่อเฉิงที่เป็นคนก่อเรื่องนี้ขึ้นมาก็ย่อมไม่ทำหน้าดีๆ ให้อยู่แล้ว “ไม่สำเร็จก็ไม่สำเร็จ ท่านไม่ไปอยู่ด้านหน้าศาลาการว่าการพระนคร ยังอยู่ตรงนี้อีกทำไมเจ้าคะ”
“แล้วเหิงเอ๋อร์…”
“ใครเป็นคนก่อก็เป็นคนไปพูด” เจินฮูหยินกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
เจินซื่อเฉิงก้าวทับฉับๆ มาถึงห้องหนังสือของเจินเหิง
ประตูห้องหนังสือแง้มไว้ จากช่องว่างนั้นสามารถมองเห็นว่าเจินเหิงกำลังตั้งใจอ่านอะไรบางอย่างอยู่ที่โต๊ะหนังสือ
อะแฮ่ม เจินซื่อเฉิงไอแรงๆ หนึ่งที
เจินเหิงทำการซ่อนภาพเข้าไปในช่องลับอย่างรวดเร็วปานฟ้าผ่าที่แทบอุดหูไม่ทัน แล้วจึงลุกขึ้นเดินไปที่ประตู “ท่านพ่อมาได้อย่างไรขอรับ”
เมื่อนึกถึงความน่าจะเป็นบางอย่าง หัวใจของหนุ่มน้อยพลันเกิดไฟลุก ติ่งหูแดงขึ้นช้าๆ
เจินซื่อเฉิงมองเห็นทุกสิ่ง หัวใจที่ผ่านการต่อสู้และทดสอบมาอย่างโชกโชนพลันรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าเขาหลอกให้ลูกชายดีใจเก้อ
เขาเงียบไปครู่ใหญ่ถึงปริปาก “เรื่องตระกูลเจียง เจ้าลืมไปเถอะนะ”
เจินเหิงนิ่ง
เจินซื่อเฉิงออกแรงตบที่ไหล่เจินเหิงหลายที “ในอนาคต เดี๋ยวก็ได้เจอคนที่เหมาะสมกว่า เรื่องนี้พ่อไม่ถนัดเท่าไหร่ วันหลังก็ให้แม่เจ้าเป็นคนตัดสินใจนะ”
ผูกด้ายแดงครั้งแรกแต่ดันขุดหลุมฝังบุตรชายแท้ๆ ของตนจนเกือบตาย เขาตั้งใจไขคดีต่อไปดีกว่า เรื่องบางเรื่องก็ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญมาทำจริงๆ
สีเลือดที่ใบหน้าของเจินเหิงจางลงไปช้าๆ ริมฝีปากที่ซีดขาวขยับขึ้นช้าๆ “ลูกทราบแล้วขอรับ”
“เหิงเอ๋อร์…”
เจินเหิงยิ้ม “ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วง ลูกไม่เป็นไรขอรับ”
เจินเหิงอยากเกลี้ยกล่อมอีก แต่ก็รู้สึกว่าพูดมากไปไม่มีความจำเป็น สุดท้ายเขาจับเคราไปมา จากนั้นไขว่มือไว้ด้านหลังจากไปทันที
อะแฮ่ม ยังเป็นเด็กน้อยอยู่เลย ได้รับการกระทบกระเทือนบ้างไม่เป็นไร
เจินเหิงมองดูเจินซื่อเฉิงเดินจากไปเงียบๆ กระทั่งมองไม่เห็นเงาแล้วจึงปิดประตูห้องหนังสือลง จากนั้นเดินไปที่โต๊ะและหยิบภาพออกมา สาวน้อยในภาพเหมือนจริงมาก เวลาที่มองราวกับว่าแทบจะได้กลิ่นหญ้าอ่อนที่อยู่ในสวนป่า เจินเหิงพลันรู้สึกแย่ขึ้นมา ไม่ถึงกับหัวใจแตกสลาย แต่มันรู้สึกเจ็บจริงๆ
เขายื่นมือออกมาแล้วแตะที่คิ้วและตาอันสวยงามของสาวน้อยในภาพ เจินเหิงหัวเราะขึ้นอย่างขมขื่นและไม่มีเสียง ดูเหมือนว่าเขายังไม่ดีพอ และยังไม่เข้าตานาง ช่างเถอะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาเองก็จะไม่ฝืนบังคับ
เจินเหิงหยิบภาพขึ้นมาเตรียมฉีก ขณะที่เพิ่งแสดงท่าทางออกมาเขาพลันหยุดมันลง เขามองภาพนั้นอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายเจินเหิงเสียดายไม่กล้าฉีก และซ่อนภาพไว้ในช่องลับส่วนที่ลึกที่สุดอย่างเงียบๆ
……
อีกไม่นานก็ใกล้จะถึงวันเกิดของอี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินผู้ซึ่งเป็นท่านยายของเจียงซื่อ
วันนี้ เจียงอันเฉิงแต่งตัวอย่างเหมาะสม และพาเจียงซื่อกับพี่ๆ น้องๆ เดินทางไปยังจวนอี๋หนิงโหว
จวนอี๋หนิงโหวมีการสืบทอดแบบมรดกถาวร ท่านตาของเจียงซื่อเป็นคนที่อยู่ในพระทัยของจิ่งหมิง ฮ่องเต้ เกียรติยศย่อมแตกต่างจากจวนตงผิงปั๋ว วันนี้จวนอี๋หนิงโหวคึกคักมากเป็นพิเศษ รถม้าที่เดินทางมาร่วมอวยพรให้แก่อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินล้วนจอดยาวไปจนถึงถนน
เมื่อก่อนเจียงซื่อมาพักเป็นเวลาสั้นๆ ที่จวนอี๋หนิงโหวบ่อยๆ
ตอนนั้นนางรังเกียจจวนปั๋วที่เก่าและทรุดโทรม อิจฉาความโอ่อ่าของจวนโหว ถึงกระทั่งที่ว่าหากว่านางเป็นคูณหนูของจวนอี๋หนิงโหวก็คงจะดี เพราะใจอยากอยู่ที่นั่น จึงมักอยู่นานจนไม่อยากกลับ
แต่หลังจากที่เกิดใหม่ เจียงซื่อกลับไม่มีความรู้สึกเช่นนั้นอีก
ถึงแม้ท่านยายยังรักและเอ็นดูนาง แต่ใครคนอื่นนั้นคิดอย่างไร นางไม่ใช่สาวน้อยไร้เดียงสาคนเก่าที่ไม่รู้อะไรแต่นางกระจ่างตั้งนานแล้ว
เมื่อลงจากรถม้า เจียงจั้นกล่าวเสียงเบา “น้องสี่ วันนี้พี่ใหญ่มาด้วย ไม่รู้ว่าถึงเวลาแล้วข้าจะมีโอกาสได้พูดกับนางหรือไม่ เจ้าอย่าลืมทักทายพี่ใหญ่แทนข้าด้วยนะ”
“พี่รองวางใจเถอะ ข้าไม่ลืมแน่”
“อืม ถ้าเช่นนั้นข้าไปหาท่านพ่อก่อน หากเจ้ามีอะไรก็ให้อาหมานหาวิธีไปบอกกับข้านะ”
“พี่รองรีบไปเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงข้า”
รถม้าขับตรงไปยังประตูสอง เมื่อมาถึงประตูสอง รถม้าก็หยุดลง เจียงซื่อลงจากรถม้าและถูกสาวรรับใช้ของจวนโหวพาเข้าไปอยู่กับพี่ที่มีลำดับญาติเท่าเทียมกัน
“น้องสี่” เสียงนุ่มดีใจที่ปิดบังไม่อยู่พลันดังขึ้น
เจียงซื่อมองตามเสียง และก็เห็นเจียงอีพี่สาวคนโตที่ไม่ได้พบกันนาน