บทที่ 201 เทพจอมปลอมเหนือจุดสูงสุด

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 201 : เทพจอมปลอมเหนือจุดสูงสุด

หลินเจี๋ยยืนอยู่ที่ใจกลางห้อง

ตรงหน้าเขาก็คือการจัดวางแบบเดิม ๆ พื้นไม้ ชั้นหนังสือเรียงราย กลิ่นอับจาง ๆ จากหนังสือเก่า ๆ และร่มเงาของต้นไม้ด้านนอกที่ถูกแสงแดดสาดส่อง

ต่างจากแดนนิมิตแรกที่เขาได้สร้าง ความสมบูรณ์และละเอียดอ่อนของแดนนิมิตปัจจุบันนั้นเรียกได้ว่าคนละชั้น ราวกับว่ามันได้รับการอัปเกรดเป็นความละเอียดภาพ 1080p และแทบไม่ต่างจากความเป็นจริงเลย

นอกเหนือจากนั้น ตอนนี้มีดาบเล่มหนึ่ง เอกสารจดโน้ตกองหนึ่ง และหนังสือเล่มหนึ่งบนโต๊ะกาแฟข้าง ๆ ที่มีโซฟาเพิ่มมา

นี่คือผลของการทดลอง ‘ขยายแดนนิมิตสู่ความจริง’ ของเขาซึ่งก็เป็นการนำสิ่งของจริง ๆ ใส่เข้าไปในความฝัน

ด้วยกลัวว่าเอกสารจะถูกขโมยและดาบนั้นไม่เหมาะจะถือเดินร่อนไปมา หลินเจี๋ยจึงฉายพวกมันเข้ามายังแดนนิมิตของตัวเองแล้วศึกษาพวกมันในขณะหลับ

หลังจากสร้างกรอบแดนนิมิตของตัวเองได้สำเร็จ หลินเจี๋ยก็จะไม่ฝันอย่างอื่นอีกในแต่ละครั้งที่เขาหลับ แต่เขาจะ ‘ตื่นขึ้น’ ในความฝันนี้แทน เหมือนกับการตื่นที่จุดเซฟหรือเซฟเฮ้าส์

หลินเจี๋ยเดินลงบันไดไปที่ประตูแล้วเปิดมันออก

ประตูที่อัครสาวกเดือนดับข้างแรม บัค พบว่ามันเขยื้อนไม่ได้นั้นถูกเปิดออกอย่างง่ายดาย ทว่าหลินเจี๋ยกลับไม่ได้พบกับแสงอาทิตย์ด้านนอกหรือภาพของต้นมะเดื่อขนาดใหญ่ที่สามารถเห็นได้จากหน้าต่างชั้นสอง

แต่เขากลับได้พบกับทางเดินสีขาวที่ดูมีมนตร์ขลังแทน

การแสดงออกโดยรวมของทางเดินสีขาวเหมือนชอล์กนี้ละเอียดอ่อนและดูศักดิ์สิทธิ์ เพดานของมันสูงราวสิบเมตร และตัวทางเดินเองก็กว้างขวาง

หน้าต่างสเตนกลาสลายกุหลาบตกแต่งอยู่สองข้างผนัง ปนไปกับจิตรกรรมฝาผนัง แนวเสาและรูปปั้น พื้นที่ขัดเป็นเงาทอประกายเจิดจ้า ประกอบกันเป็นทัศนียภาพตระการตาที่ไม่อาจทำให้แปดเปื้อนได้

นี่คืออารามศักดิ์สิทธิ์ภายในวิหารกลางของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดที่ตั้งอยู่ที่มุมขวาล่างของทั้งอาคารหากมองลงมาจากเบื้องบน จุดประสงค์ของสถานที่นี้คือเพื่อความงดงามโดยแท้จริง มันถูกใช้เป็นห้องรับรองแขกสูงศักดิ์อยู่บ่อยครั้งเมื่อพวกเขามาเยือนเพื่อสร้างความประทับใจแรกที่ไม่อาจลืมเลือน

เมื่อเดินหน้าต่อไปก็จะเป็นบริเวณหลักของโบสถ์ เป็นห้องโถงยาวที่ใช้เพื่อการบูชาเทพ นอกเหนือจากนั้นบริเวณนี้ยังรวมไปถึงห้องเก็บรูปภาพและมรดกที่หลงเหลือของเหล่าพระสังฆราช ทั้งยังเป็นบริเวณพักอาศัยของเหล่าสมาชิกสมณเพศของโบสถ์ด้วย

ทั้งโบสถ์นั้นมีรูปร่างเหมือนจันทร์เสี้ยว ปลายสุดของอาคารทรงจันทร์เสี้ยวนี้เป็นห้องชั้นในสำหรับพระสังฆราชและเหล่าอัครสาวกเท่านั้น

นี่คือแดนนิมิตที่สองที่หลินเจี๋ยได้สร้างขึ้น และเป็นการต่อยอดแยกจากกรอบความฝันของเขาเองด้วย

แน่นอนว่าสุดท้ายแล้ว พื้นที่นี้ก็ยังเป็นความฝันในแดนนิมิต

หลินเจี๋ยใช้เวลาราว ๆ สองสัปดาห์ในการทำตามขั้นตอนต่าง ๆ โดยเริ่มจากเข้าฝัน ส่งอิทธิพลต่อฝัน ชักนำฝัน และยึดความฝันของบุคคลต่าง ๆ

เวลาที่ชายหนุ่มใช้ในสองขั้นตอนแรกนั้นนานที่สุด นี่อาจจะเป็นเพราะความจริงที่ว่าหลินเจี๋ยต้องนำตัวเองเข้าไปอยู่ในความฝันของหนึ่งในอัครสาวก และเพื่อที่จะทำเช่นนั้น ชายหนุ่มจะต้องกระโดดข้ามความฝันนับไม่ถ้วนเพื่อหาสถานที่ที่แน่นอนให้ได้

ทว่าในขณะที่หลินเจี๋ยโอดครวญถึงความยากของงานนี้ให้ซิลเวอร์ฟัง การตอบรับเดียวที่เขาได้รับก็คือสีหน้าละเหี่ยใจของซิลเวอร์ราวกับเธอกำลังพูดกับเด็กบื้อคนหนึ่งอยู่

หลังจากนั้นหลินเจี๋ยจึงได้สำเหนียกว่าขั้นตอนแรก ๆ พวกนี้ควรจะง่ายจริง ๆ แต่เขาก็ดันใช้เวลาปฏิบัติมันนานเกินไป

ซิลเวอร์คงพบว่าเขาไร้พรสวรรค์ในการทำเรื่องเช่นนี้แน่ ๆ

โชคดีว่าเขาเป็นศิษย์ที่ซิลเวอร์ฝึกมาด้วยตนเอง ดังนั้นจึงยังไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับความจริง

ขั้นตอนต่อ ๆ มานั้นจะตรงไปตรงมามากขึ้นหากเทียบกับสองขั้นตอนก่อน

เพราะความที่ความฝันส่วนใหญ่นั้นมีเพียงเศษเสี้ยว ชายหนุ่มจึงแทบถอดข้อมูลใด ๆ จากพวกมันไม่ได้เลย ทว่าเมื่อเขาตรวจพบแดนนิมิตที่เป็นของหนึ่งในอัครสาวกได้แล้ว เขาก็ทำเครื่องหมายมันไว้ทันที

หลังจากนั้น เขาก็จะเริ่มการชักนำความฝันนี้

สำหรับอัครสาวกแห่งโบสถ์แห่งจุดสูงสุดแล้ว การมีโบสถ์มีวิหารมาปรากฏในความฝันนั้นไม่ได้ผิดปกติเลย อันที่จริงเรื่องนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งด้วย แล้วหลินเจี๋ยก็จะต้องชักนำอัครสาวกนี้ให้ฝันเรื่องเดิมซ้ำ ๆ จนแดนนิมิตที่สมบูรณ์ถูกสร้างขึ้นได้

แต่ด้วยเหตุผลบางประการ หลังจากหลินเจี๋ยได้แยกและยึดแดนนิมิตจากอัครสาวกคนนั้นไปเรียบร้อยแล้ว การมีอยู่ของอัครสาวกคนนั้นก็ตรวจจับไม่ได้อีกเลย

นี่ทำให้หลินเจี๋ยผงะและหาหลักการเบื้องหลังมันไม่ได้เลย ทว่าเป้าหมายเดียวที่ตัวเองตั้งไว้ในเรื่องนี้ก็สำเร็จแล้ว

ในตอนนี้เหลือเพียงขั้นตอนสุดท้าย…ซ้อนแดนนิมิตเข้ากับความเป็นจริง

ความฝันนั้นคือความไม่มี

ไม่ว่าความฝันจะสมจริงเพียงไร ความจริงก็ยังคงอยู่ว่าเรื่องทั้งหมดนี้อยู่ในแดนมายา อีเธอร์ที่ใช้เพื่อสร้างความฝันก็เป็นสัญลักษณ์ของท้องฟ้า ราวกับอากาศธาตุที่ลอยอยู่เบื้องบน ไกลแสนไกล

เหมือนกับที่ตาข่ายดักฝันจะต้องถูกวางไว้เหนือศีรษะเสมอเพื่อกรองและจับฝันร้ายที่ ‘ลอยอยู่’

แล้วตอนนี้ หลินเจี๋ยก็กำลังจะทำให้แดนนิมิตของเขาจุติลงไป

สู่ความเป็นจริง…

วิหารกลาง ห้องชั้นใน

ร็อดนีย์สวมชุดสังฆราชสีขาวทองอันดูเคร่งขรึมอย่างทุกที เขาทอดสายตามองขึ้นไปยังช่องแสงวงกลมพร้อมด้วยคทาในมือ

ทิวทัศน์ท้องฟ้านั้นเต็มไปด้วยเมฆสีเทา เค้าลางของดวงจันทร์ปรากฏให้เห็นเป็นครั้งคราวเมื่อหมู่เมฆเคลื่อนผ่าน

ชั้นเลือดสด ๆ แต่ปนเปื้อนชั้นแล้วชั้นเล่าถูกฉาบลงไปบนแท่นพิธีเบื้องล่าง แม้ว่ากองเนื้อและเครื่องในจะถูกแท่นพิธีดูดซับไปไม่เหลือ แต่รอยเลือดที่เหลือไว้นั้นไม่อาจเช็ดให้สะอาดได้แล้ว

สิ่งที่เหลือนั้นมีเพียงหยาดหยดสีแดงเข้มที่กระจายตัวเต็มไปหมด ให้ความรู้สึกลวงตาเหมือนมันกำลังกระดุกกระดิก ดูสะดุดตาเป็นพิเศษเมื่อตัดสีเข้ากับแท่นพิธีสีขาวบริสุทธิ์

ร็อดนีย์ดูเสียสติ “ไม่นาน…อีกไม่นานแล้ว…แล้วเขาจะอุบัติขึ้นมาได้…ข้าสัมผัสถึงการมีอยู่ของเขาได้ เขากำลังเตรียมตัว เขากำลังพร่ำกระซิบ เขากระหายการเกิดใหม่…”

ในระหว่างที่เขาพึมพำกับตัวเอง บางครั้งเขาก็จะชูมือขึ้นในอากาศแล้วร้องตะโกน หลังจากนั้นสักพักเมื่อเขาตั้งสติได้ เสียงถล่มของอาคารและเสียงโหวกเหวกจากการต่อสู้ก็ดังขึ้น!

ในขณะเดียวกัน พวยควันหนาก็กระจายตัวขึ้นไปบนฟ้า ย้อมสีแดงเลือดให้กับท้องฟ้าราตรี

เหล่านักแสดงต่างปรากฏตัวบนเวที ในที่สุดม่านก็รวบกลับเผยให้เห็นการแสดงฉากสุดท้าย การต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยวเพื่อจบทุกศึก

สำหรับโบสถ์แห่งจุดสูงสุด ศาสนาแห่งตะวันและหอพิธีกรรมต้องห้าม ทั้งสามฝ่ายต่างถือการต่อสู้ครั้งสุดท้ายนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุด

ทั้งสามฝ่ายต่างหมดความอดทนจากการต่อสู้ต่อเนื่องยาวนานเป็นอาทิตย์นี้แล้ว

“ฮึ ศาสนาแห่งตะวัน…หรือนี่คือเทพปีศาจที่ว่ากันล่ะ?”

“น่าขำนัก องค์กรที่เกิดจากประวัติศาสตร์ที่ล้มเหลวและการรวมตัวของหัวขโมยยังจะกล้าพยายามทำตัวเป็นเทพกันหรือ?”

ร็อดนีย์ยิ้มเยาะ “วันนี้เราจะมาแสดงให้พวกมันเห็นถึงความหมายที่แท้จริงของความสิ้นหวัง ต่อหน้าพระเจ้าที่แท้จริงแล้ว ทุกสิ่งก็เป็นได้เพียงของเลียนแบบชั้นต่ำ!”

สายรกบนแท่นพิธีเริ่มเปลี่ยนรูปร่างของมันไปแล้ว เส้นเลือดและก้อนเนื้อที่ดูเหมือนก้อนมะเร็งปูดโปน บิดเบี้ยวและขยายตัวออกครอบคลุมแท่นพิธีทั้งแท่นเอาไว้

ภายใต้หนังกำพร้าสีเงินเริ่มมีสีเลือดให้เห็น ภายในสายรกนั้นปรากฏก้อนเนื้อที่ดิ้นยุกยิกอย่างไม่จบสิ้น รยางค์มากมายที่ดูเหมือนแขน ขาและศีรษะจำนวนมากต่างถูกบีบไว้ด้วยกันในขณะที่มันพยายามตะกายออกมา

มันดูราวกับวิญญาณของเหล่านักบวชผู้ถูกหลอกมาสังเวยต่อแท่นพิธีนี้ต่างถูกบีบอัดไว้ในสายรก

นอกเหนือจากนั้น สายสะดือเจ็ดสายได้งอกออกมาจากในสายรกแล้วโยงไปทั่วห้องส่วนในทั้งห้อง ที่ปลายสายสะดือแต่ละเส้นมีเส้นเลือดฝอยนับไม่ถ้วนกระจายออกไปราวใยแมงมุม

ห้องส่วนในทั้งห้องดูราวกับโรงฆ่าสัตว์

เสียงของสตรีศักดิ์สิทธิ์ดังมาให้ได้ยินจากนอกห้องเมื่อเหล่าสาวกกลุ่มต่อไปเริ่มก่อเหตุจลาจลขึ้นมาแล้ว หลายต่อหลายคนเริ่มเคลือบแคลงต่อพิธีกรรมนี้และต่างเตรียมตัวหลบหนี

แกรก! เปรี๊ยะ!

เครื่องประดับสภาวะต่าง ๆ ของดวงจันทร์บนคทาของร็อดนีย์เริ่มแตกอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงการตายของเหล่าอัครสาวกหลาย ๆ คนติด ๆ กัน

“อ๊าา!”

เสียงอึกทึกอย่างลนลานของเหล่าสาวกที่พยายามจะหนีดังมาจากหลังประตู ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องแหลมสูงของสตรีศักดิ์สิทธิ์ และเสียงระเบิดดังลั่น

แกร๊ก!!

ห่วงสองห่วงที่ยึดเครื่องประดับดวงจันทร์ทั้งหลายไว้บิดเบี้ยวไป สื่อถึงการตายของสตรีศักดิ์สิทธิ์

ตู้ม!!!

ในท้ายที่สุด ประตูสู่ห้องด้านก็ถูกระเบิดออก แสงสว่างจ้าเป็นผลมาจากการระเบิดกลืนกินห้องทั้งห้องไป แล้วบริเวณรอบนอกของโบสถ์ก็จมลงสู่ความวุ่นวายแล้ว

เปลวเพลิงเผาทุกส่วนบนร่างของวินเซนต์จนมอดไหม้ ทำให้ร่างของเขาดูราวกับส่วนผสมของแม็กม่าและแผ่นดินระอุที่กึ่งแข็งตัวแล้ว

เขาเหวี่ยงศพของสตรีศักดิ์สิทธิ์ทิ้งไปแล้วสาวเท้ายาว ๆ ตรงเข้ามา เบ้าตาทั้งสองแผดเผาไปด้วยโทสะร้อนระอุ

อาเธน่า โจเซฟและคนอื่น ๆ ตามมาข้างหลังเขา ด้านหลังพวกเขาในทะเลเพลิงนั้นยังพอเห็นเงาร่างที่กำลังห้ำหั่นกันอยู่ คาดว่าเป็นเหล่านักสู้จากหอพิธีกรรมต้องห้ามที่กำลังต่อสู้กับนักบวชของโบสถ์แห่งจุดสูงสุด

ร็อดนีย์กางแขนออกแล้วแย้มยิ้ม “วินเซนต์ลูกเอ๋ย ยินดีต้อนรั…”

ในพริบตา ร่างของวินเซนต์ก็กลายเป็นภาพเบลอ แล้วเขาก็ชกหน้าร็อดนีย์เข้าไปจัง ๆ อย่างดุร้าย!

โครม!

เปลวเพลิงระเบิดออกเมื่อร็อดนีย์กระเด็นไปชนแท่นพิธี

ผลัวะ! ผลัวะ! ผลัวะ!

วินเซนต์รัวหมัดไม่ยั้ง เพลิงปะทุออกมาจากเบ้าตาของเขา และประกายไฟก็ปะทุออกมาจากการกัดฟันของเขา

“แก! เรียก! ใคร! ลูก! มิ! ทราบ!”

อย่างไรเสียร็อดนีย์ก็อยู่ในระดับเหนือนภา แต่หมัดเหล่านี้บี้สมองของเขาจนเป็นน้ำ แม้ศีรษะของเขาจะบุบบี้ แต่ร็อดนีย์ก็ยังหัวเราะออกมาได้ขณะที่เขาเงยหน้าเผชิญกับวินเซนต์ที่ดูราวกับชายผู้ถูกเผาไหม้

เขาละล่ำละลักถาม “แค่ก… แค่ก นี่คือคือพลังที่เทพปีศาจที่เจ้าศรัทธาประสาทแก่เจ้า?”

“มันมีแค่เพียงนี้เองหรือ?”

วินเซนต์ถลึงตาใส่เขา “ฉันจะแสดงพลังที่แท้จริงของเขาให้ดูเอง”

“พลังแห่งทัณฑ์นิรันดร”

วินเซนต์กำหมัดแน่น แล้วอำนาจร้อนแรงร้ายกาจที่ดูไร้คู่ต้านก็ปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ

ตู้ม!

“อ๊าาาาาาา!”

ร็อดนีย์ถูกเปลวไฟกลืนกินไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เขากำลังดิ้นรนอย่างสุดชีวิต พลังศักดิ์สิทธิ์ของดวงจันทร์ในร่างกายของเขาก็ลุกเป็นไฟแล้วเริ่มระเบิดอย่างต่อเนื่อง พร้อมกันนั้น พลังศักดิ์สิทธิ์เดียวกันนั้นก็ฟื้นฟูร่างของเขาขึ้นใหม่ด้วย

ความสามารถในระดับเหนือนภาของเขานั้นทำเพียงยืดเวลาทรมานของเขาออกไปเท่านั้น และเขาก็ต้องทนทุกข์อยู่อีกสิบนาทีเต็ม ๆ กว่าจะมาถึงจุดจบของชะตาได้

ทว่ายามอยู่ต่อหน้าการตายที่ใกล้เข้ามาของเขา ใบหน้าที่ดำเกรียมจนจำไม่ได้ของร็อดนีย์กลับแย้มยิ้มที่ชวนให้ไม่สบายใจ “ข้า…ก็…ใช้…แก่น…จันทร์…ศักดิ์สิทธิ์…นะ…ฮี่ ๆ…”

เสียงหัวเราะชั่วร้ายสุดท้ายของร็อดนีย์นั้นไร้โทนเสียงแหบต่ำของเขา แต่เป็นเสียงที่ทับซ้อนกันของหลาย ๆ บุคคลเสียแทน ในหมู่พวกมันนั้น เสียงที่ดังที่สุดคือเสียงแหลมสูงที่ดูเหมือนเด็ก

จู่ ๆ วินเซนต์ก็รู้สึกเหมือนมีเส้นขนจิ๋ว ๆ นับไม่ถ้วนดิ้นอยู่บนฝ่ามือของเขา และความตกใจที่ถูกล่วงเกินนี้ก็บังคับให้เขาต้องปล่อยมือ

ทันทีหลังจากนั้น สายรกสีเงินที่บวมเป่งก็หดสายรกทั้งเจ็ดของมันอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวของมันเลียนแบบเส้นหนวดในขณะที่มันฉกศพของร็อดนีย์ออกไปห่างจากวินเซนต์ ที่ฐานของสายรกปริออกดูเหมือนปากที่อ้ากว้างแล้วห่อศพของร็อดนีย์ไว้ ก่อนจะกลืนกินเขาเข้าไป

ในขณะที่เหล่าเส้นหนวดเต้นไปมาบนอากาศ สายรกก็เริ่มแกะตัวเองออกมาจากแท่นพิธีแล้วเริ่มลอยขึ้น

ประจวบเหมาะกับที่เมฆสีเทาบนท้องฟ้าสลายไปพอดี และเจ้าก้อนรกนั้นก็ดูราวกับดวงจันทร์เพ็ญที่ทับซ้อนกัน…

ในตอนนี้ กลุ่มคนกลุ่มเล็ก ๆ ก็ปรับอาการกลับมาจากเสียงหัวเราะชวนให้สติแตกนั้นได้แล้ว

ทว่าในขณะที่พวกเขาจ้องท้องฟ้าอย่างไม่เชื่อสายตา พวกเขาบางคนก็อดพึมพำออกมาไม่ได้ “นั่นอะไรน่ะ…”

วินเซนต์ยืนขึ้นแล้วเริ่มถอยหนี เขาตอบเสียงเครียด “ยึดสิทธิอำนาจของดวงจันทร์และสวม ‘หนัง’ ของดวงจันทร์ราวชุดตัวเอง นี่แหละคือเทพจอมปลอมที่โบสถ์แห่งจุดสูงสุดศรัทธาอยู่เสมอ!”

สายรกดิ้นกระเพื่อมอย่างไม่หยุดหย่อน มันดูราวกับเยื่อหุ้มเซลล์ชั้นหนึ่งที่ห่อ ‘ตัวอ่อนทารก’ ไว้ภายใน

ทุกคนที่เห็นภาพนี้ต่างเห็นอย่างชัดเจนว่าภายในก้อนเนื้อน่าขยะแขยงก้อนยักษ์นี้ มีดวงตาดวงมโหฬารที่มีขนาดเกือบเท่าทั้งสายรกเปิดออก

ต่อจากนั้น ด้วยเส้นหนวดที่รัดพันกัน การก่อเกิด ‘ใบหน้า’ ‘ปาก’ ‘ศีรษะ’ และ ‘ลำตัว’ ก็ปรากฏขึ้นทั่วสายรก ท้องฟ้าถูกเส้นหนวดตัดผ่านในขณะที่สัตว์ประหลาดขนาดอภิมหามโหฬารอุบัติขึ้นแล้วบดบังทั้งท้องฟ้าพลางส่งเสียงคำรามสะเทือนเลื่อนลั่น

โจเซฟหายใจเข้าลึก ๆ แล้วกล่าวขึ้น “ทุกหน่วยประจำที่ ตั้งเกราะพลังเวท”