บทที่ 239 บอกความลับแก่ท่าน

บทที่ 239 บอกความลับแก่ท่าน

เสี่ยวเป่าเมาแล้ว ขนสัตว์สีขาวบนรอบคอนางยิ่งทำให้ใบหน้าเล็ก ๆ ที่กำลังแดงระเรื่อเด่นชัดขึ้น

นางอุ้มจิ้งจอกน้อยไว้ในอ้อมแขน นั่งคุกเข่าบนเบาะเล็ก ๆ ของตนอย่างว่าง่าย ตาเยิ้ม ๆ ก็เพ่งมองไปข้างหน้า

ดูเหมือนนางกำลังพยายามแสร้งทำเป็นไม่เมา

“เสี่ยวเป่า?”

หนานกงหลีจิ้มแก้มป่อง ๆ ของเจ้าก้อนแป้งจนเกิดเป็นรอยแดงจาง ๆ เนื้อนุ่มเต็มไปด้วยไขมันเด็ก ยิ่งจิ้มก็ยิ่งมันมือ หยุดไม่ได้จริง ๆ!

“เสี่ยวเป่าเมาหรือ”

เมื่อได้ยินคำว่าเมา เจ้าก้อนแป้งก็รีบนั่งหลังตรงทันที

“ม่ายเมา เสี่ยวเป่าม่ายเมาเลยส้ากนิด”

นางเอ่ยเถียงเสียงอ้อแอ้ หันมามองคนที่จิ้มหน้านางเล่นด้วยสายตาขุ่นมัว ทันใดนั้นนางก็เบิกตากว้าง

“ท่าน… ท่านอาเจ็ด ไยท่านถึงมีสองคน!”

เสียงเล็ก ๆ เต็มไปด้วยความประหลาดใจ

หนานกงหลีเชิดหน้าพลางกระตุกยิ้มมุมปากอย่างไม่พอใจ

“เป็นถึงขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมรับว่าตนเมาอีกหรือ เจ้าเด็กปากแข็ง”

เสี่ยวเป่าหน้ามุ่ย “เสี่ยวเป่าม่ายเมา เห็น ๆ อยู่ว่าเป็นปัญหาของท่านอาเจ็ด อ๊ะ ท่านอาเจ็ดอย่าขยับสิ”

นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังพร้อมยกมือเล็ก ๆ ทั้งสองจับใบหน้าอันหล่อเหลาของอาเจ็ดไว้

“เสี่ยวเป่า เสี่ยวเป่ายังมีสติดีทุกอย่าง เสี่ยวเป่ามีความลับจะบอก เสี่ยวเป่าซ่อนเหล้าไว้มากมาย!”

ทว่าระดับเสียงที่นางใช้บอกความลับนั้นดังถึงขั้นอาสี่และพี่ชายที่อยู่รอบ ๆ ก็ได้ยิน ดวงตาหลายคู่หันมามองนางเป็นตาเดียว หนานกงหลีตาเป็นประกายมากกว่าใครเพื่อน จากนั้นทุกคนก็มองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย

หนานกงหลีฉีกยิ้มชั่วร้าย “เช่นนั้นเสี่ยวเป่าพอบอกอาเจ็ดได้หรือไม่ว่าซ่อนไว้ที่ใด”

ความมึนเมามันทำให้เสี่ยวเป่าขาดสติ จึงเอ่ยชื่อที่ซ่อนด้วยเสียงอ้อแอ้

“ที่ที่ใกล้ตัวเสี่ยวเป่าที่สุด นั่นก็คือตำหนักหนิงหัว!”

ทุกคน: จดไว้ในสมองน้อย ๆ แล้ว จบงานเลี้ยงจะต้องรีบไปตามหา!

เสี่ยวเป่าลูบจิ้งจอกน้อยในอ้อมแขนพลางพึมพำไม่หยุด นางไม่เพียงแต่คายความลับเรื่องสถานที่ซ่อนเหล้าเท่านั้น ทว่ายังรวมถึงคลังสมบัติเล็ก ๆ ที่นางเก็บเงินส่วนตัวไว้ด้วย

ทุกคน: …ดูเหมือนจะเมาจริงด้วย

เสี่ยวเป่าที่เมาแอ๋ยังคงเป็นเด็กดีนั่งนิ่งอยู่ในที่ของตนเอง ไม่ร้องไห้หรือเอะอะเสียงดัง เมื่อมีคนถามนางถึงจะตอบ

หนานกงฉีซิวกลัวว่านางจะปวดหัว จึงเอื้อมมือไปแตะหน้าผากพร้อมเอ่ยถามเสียงนุ่ม “ปวดหัวหรือไม่”

เสี่ยวเป่าส่ายหัว “ม่ายปวด หัวของเสี่ยวเป่าฉลาดมากนะ!”

หนานกงฉีซิวหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก “ใช่แล้ว ๆ เสี่ยวเป่าฉลาดที่สุด”

หนานกงฉีโม่บีบจมูกกระจิริด “ง่วงนอนหรือไม่”

เสี่ยวเป่ายังคงส่ายหัว “ม่ายง่วง เมื่อไหร่ท่านพ่อจะมาหาเสี่ยวเป่า”

นางรอให้ท่านพ่อมาอุ้มนางกลับไปนอน

ดูเอาเถิด เมาขนาดนี้แล้ว ในหัวก็ยังมีแต่ท่านพ่อ

งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา เมื่อควรค่าแก่เวลา เสี่ยวเป่าก็ถูกพี่ใหญ่อุ้มขึ้นมาแนบอก

นางกึ่งหลับกึ่งตื่น ซบหัวลงบนไหล่พี่ใหญ่อย่างแนบชิด หาวหนึ่งครั้งก่อนจะคว้าเสื้อผ้าบนตัวพี่ชายมาดม พอขยับจมูกฟุดฟิดก็พบว่าเป็นกลิ่นที่คุ้นเคย นางถึงได้วางใจ

จู่ ๆ ก็มีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวอย่างงง ๆ เพราะร่างกายนั้นซื่อสัตย์กับความรู้สึก นางจึงทิ้งตัวแนบชิดเขาได้อย่างสนิทใจ

“ทุกท่าน ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย ต้องขอตัวพาน้องหญิงกลับก่อน”

เขาโน้มศีรษะลงเล็กน้อยให้ผู้คนรอบตัวที่สนทนากับตน จากนั้นองครักษ์ข้างกายก็ผลักรถเข็นพาเขาออกไป

ผู้คนที่อยากจะตีสนิทเขาพลันรู้สึกเสียดาย แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้ารั้งเขาไว้ เพราะทุกคนต่างล้วนว่าขาขององค์ชายใหญ่ยังไม่หายดี

พวกเขาทำได้เพียงมององค์หญิงน้อยที่ดูเหมือนจะหลับไปแล้วจากไปด้วยความเสียดาย เดิมทีอยากเข้าไปทักทายนางตามมารยาท

ส่วนคนที่เหลือนั้นยังอยู่ต่อ ไม่อาจปลีกตัวออกไปได้ในทันที

“เซียวเหยาอ๋อง ไม่ทราบว่าเหล้านี้ยังพอมีอีกหรือไม่ เราชาวเป่ยเยว่อยากจะขอซื้อ”

“พวกเราชาวเยว่หลีก็อยากซื้อเช่นกัน ได้โปรดเถิดองค์ชายทุกท่าน เหล้านี้รสชาติดีจริง ๆ เวลานี้มีเพียงอาณาจักรต้าเซี่ยของพวกท่านเท่านั้นที่มีในครอบครอง”

“ต้าเซี่ยยังมีเหล้าองุ่นและเหล้าลูกพลับอีกกี่มากน้อย ซยงหนูของเราต้องการทั้งหมด!”

ชาวซยงหนูร่างกายสูงใหญ่กำยำผลักราชทูตจากอาณาจักรอื่นออกไปก่อนจะกล่าวเสียงหนักแน่น

บรรดาราชทูตจากอาณาจักรน้อยใหญ่มองชายผู้นั้นเป็นตาเดียว

“ท่านทำเช่นนี้ไม่ถูกกระมัง เดิมทีเหล้านี้ก็มีเพียงน้อยนิด หากท่านฮุบไว้ผู้เดียว แล้วพวกข้าเล่า”

“จริงด้วย ข้ายังไม่ได้ยื่นข้อเสนอของข้าแก่ต้าเซี่ยเลยด้วยซ้ำ ชาวซยงหนูอย่างพวกท่านไยถึงได้เข้ามาแทรก!”

บุรุษชาวซยงหนูมองผู้คนรอบ ๆ ด้วยสีหน้าดุร้าย “ล้วนใช้เงินซื้อเหล้าเหมือนกันทั้งนั้น เงินของพวกท่านมีค่ามากกว่าเงินของซยงหนูหรืออย่างไร”

“เจ้า… ป่าเถื่อนจริง ๆ ไร้มารยาท ถึงอย่างไรก็ต้องให้ความสำคัญกับลำดับก่อนหลังสิ!”

หนานกงหลีมองชาวหมานพลางส่ายหน้า จุ๊ ๆ ดูท่าคนพวกนี้คงยังถูกรีดทรัพย์ไม่หมด ถึงได้มีเงินถุงเงินถังมาซื้อเหล้าอีก

ผู้ใดจะคาดคิดว่า เหล่าราชทูตที่มีไว้เพื่อเจรจาเรื่องใหญ่ระหว่างอาณาจักร บัดนี้กลับก้มหน้าก้มตาเจรจาผูกมิตรกับต้าเซี่ยราวกับพ่อค้าวาณิช เพียงเพราะอยากจะซื้อเหล้าสองชนิดที่เสี่ยวเป่ามอบให้เสด็จพ่อของนาง

ราชทูตจากอาณาจักรน้อยใหญ่: หน้าตา? เวลาเช่นนี้ผู้ใดจะมัวห่วงหน้าตากันเล่า!

ขุนนางฝ่ายบุ๋นบู๊ของอาณาจักรต้าเซี่ย: เหอะ ๆ เหล้า? แม้กระทั่งเหล้าคนพวกนั้นก็ยังไม่มีเป็นของตนเอง!

ทันทีที่หนานกงหลีเอ่ยขอตัว หมายจะตรงไปที่พระราชวังพร้อมกับเหล่าหลานชาย ทว่ายังไม่ทันได้ขยับ หนานกงหลีพลันรู้สึกเหมือนมีของหนัก ๆ สองอันรั้งตัวเขาไว้

พอเขาก้มลงมอง อืม… ที่แท้ก็ไม่ได้มีของหนักอันใดหรอก มีแต่บุตรชายฝาแฝดโง่ ๆ สองคนของเขา

“ปล่อยมือ”

เจ้าสองคนนี้ เขารู้ได้ทันทีว่าพวกเขาคิดจะทำสิ่งใด

หนานกงเหิงกอดขาซ้ายเขาไว้แน่น “ท่านพ่อ ท่านคือบิดาบังเกิดเกล้าของพวกข้านะ!”

หนานกงเหยี่ยนเอ่ยสำทับ “มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้านนะท่านพ่อ!”

บุตรชายทั้งสองมองเขาด้วยสายตาอ้อนวอน ซ้ำใบหน้าก็ฉายคำว่า ‘พาพวกข้ากลับไปด้วย!’

พวกเขาชอบดื่มเหล้า แล้วพวกเขาก็คออ่อน!

หนางกงหลี “(▼ヘ▼)”

เจ้าลูกสองคนนี้มันเอาคืนข้า!

“ท่านพ่อ~~~”

ถึงอย่างไรท่านพ่อก็ต้องพาพวกเขาไปด้วย เช่นนั้นพวกเขาไม่จำเป็นต้องปล่อยมือแล้ว

หนานกงหลีกุมขมับ สุดท้ายก็ต้องกระเตงพาบุตรชายทั้งสองติดตามไปด้วย

ณ ตำหนักฉินเจิ้ง

หนานกงสือเยวียนถึงกับยกมือปิดจมูก เขารู้สึกงงเล็กน้อยว่าเหตุใดลูกสาวที่ดูเชื่อฟังยามอยู่ในงานเลี้ยง แต่พอกลับมาหาเขาถึงได้กลายเป็นเช่นนี้

ฮ่องเต้ผู้หนึ่งยังคงนั่งบนบัลลังก์ด้วยท่าทางสง่างาม เพียงแต่วันนี้… มีลูกน้อยขี้อ้อนเกาะติดไม่ห่าง

เดิมทีเขาจะไปส่งเสี่ยวเป่าเข้านอนก่อน หากแต่ไม่มีทางเลือก ก็เจ้าเด็กดื้อยอมตายไม่ยอมห่างจากอกบิดา กอดคอเขาไว้แน่น พอเขาจะดึงออก นางก็ร้องไห้จ้า น่าสงสารจับใจจนเขารู้สึกผิด ทั้งที่นางไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใด เพียงใช้ดวงตากลมโตที่กำลังหลั่งน้ำตาจ้องเขาด้วยสายตาตัดพ้อ

หนานกงสือเยวียน: …หัวจะปวด!

คนเป็นบิดาจึงไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงอุ้มเสี่ยวเป่าด้วยแขนข้างเดียว ปล่อยให้เจ้าตัวเล็กกอดคอไว้ และหลับสนิทบนอกเขา

ในขณะที่อุ้มเด็กดื้อออกมา ใบหน้าเขาก็ยังเย็นชาไร้อารมณ์เช่นเคย เพียงแต่ความสง่างามตามแบบฉบับฮ่องเต้หนุ่มนั้นลดลงไปไม่น้อย และแทนที่ด้วยความ… น่ารัก

หนานกงจ้านกับหนานกงฉีซิว สองอาหลานเห็นเจ้าตัวน้อยหลับอยู่บนตัวผู้ที่ได้ชื่อว่าโอรสสวรรค์พลันอยากจะหัวเราะ แต่ก็ไม่กล้า