บทที่ 222 เผยความในใจ อารมณ์พลุ่งพล่าน
นัยน์ตาหงส์เรียวยาวเย้ายวนจ้องเขาเขม็งด้วยความโกรธ แต่ก็เจือแววขุ่นเคืองเศร้าโศกอยู่บ้าง ริมฝีปากที่เพิ่งถูกรังแกไปเมื่อครู่ยังแดงก่ำและบวมอยู่บ้าง นัยน์ตายังมีน้ำตารื้นขอบ มองแล้วดูเป็นแม่นางที่รังแกได้ง่ายดายนัก
มือนุ่มถูกมือใหญ่กำไว้แน่น ร่างบางสะโอดสะองก็ถูกกดไว้เช่นกัน คอเสื้อนางหลุดลุ่ยไม่เรียบร้อย เปิดออกจนเห็นกระดูกไหปลาร้างาม หากเลื่อนลงไปอีกหน่อยจะเห็นส่วนโค้งอันเย้ายวน
นางเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทำให้คนหลงใหลมากจริง ๆ
นัยน์ตาโหลวจวินเหยาแปรเปลี่ยนเป็นมืดมิดน่ากลัว ราวกับในดวงตาสีม่วงเข้มนั่นจะมีสัตว์อสูรกระโจนออกมาแล้วจับนางกลืนกินในคราเดียว
ความเร่าร้อนในสายตาคู่นั้นรุนแรงมากจนชิงอวี่อยากหนีไปให้พ้น
แต่มือทั้งสองนางถูกจับไว้แน่น ร่างก็ถูกเขาทับไว้อีก แม้เขาจะไม่ได้ส่งแรงมาเต็มที่ แต่ก็มากพอจะทำให้นางกระดิกตัวไปไหนไม่ได้แล้ว สู้แรงเขาไม่ได้ ได้แต่นอนราบอยู่บนเตียงเช่นนั้น
ชิงอวี่มุ่นคิ้วดิ้นขลุกขลักอีก แต่สุดท้ายก็ยังไม่อาจหนีไปได้ จึงเอ่ยเสียงเย็นขึ้นมา “ปล่อยข้า”
“โกรธหรือ?” โหลวจวินเหยายกยิ้ม ว่าแล้วก็เอาหน้าผากตนแนบลงกับของนาง นัยน์ตาฉายแววอ่อนโยน “มองข้า”
“ข้าไม่มอง” ว่าแล้วนางก็หลับตาแน่น ราวกับไม่อยากเห็นหน้าคนชั่วที่ไหนอีก
โหลวจวินเหยารู้สึกจนใจอยู่บ้าง ไม่คิดว่าแม่นางน้อยจะอารมณ์ร้อนเช่นนี้
“เจ้าลืมตาแล้วข้าจะบอกว่าข้าชอบใคร”
ขนตานางกระตุกน้อย ๆ ก่อนกลิ่นอายที่แผ่จากร่างจะดูหดหู่ลงบ้าง นางค่อย ๆ ลืมตา เผยให้เห็นนัยน์ตาน่าหลงใหลที่คล้ายกับจะเสียความมีชีวิตชีวาเมื่อก่อนหน้าไปแล้ว สีหน้านางดูซึมลงไปเล็กน้อย
“อารมณ์ร้อนจริง เจ้าฟังข้าก่อนไม่ได้หรือ?” โหลวจวินเหยายิ้มบางพลางถอนใจ มองใบหน้างามน้อย ๆ นั่น จากนั้นเอ่ยเสียงแหบเล็กน้อยขึ้น “เจ้าจ้องตาข้า คนที่ข้าชอบอยู่ในนั้น”
ชิงอวี่ชะงักงันไป นางจ้องเข้าไปในนัยน์ตาสีม่วงที่ส่องประกายราวกับอัญมณีของเขาเข้าจริง ๆ
ในนั้นนางเห็นใบหน้าตื่นตกใจเล็กน้อยของตนเอง
เขาหมายความว่าอย่างไรกันแน่?
“ยังไม่เข้าใจอีกหรือ?” โหลวจวินเหยาก้มหน้าลงมากัดริมฝีปากนาง เมื่อสบตาเข้ากับนัยน์ตาที่เบิกกว้างแล้วเขาก็หัวเราะเบา ๆ “จิ้งจอกน้อยตัวนี้กล่าวหาว่าข้าหน้าไม่อายมาตลอด แต่ข้าก็ทำเช่นนี้กับเจ้าคนเดียว ไม่ทำกับคนอื่น”
ชิงอวี่กำมือ ไม่ทันรู้ตัวก็กำแน่นจนเป็นหมัด หลุบตาลงด้วยความเขินอาย ก่อนจะกัดริมฝีปากตนเบา ๆ ยามเอ่ยคำถามก็เสียงเบามากจนแทบไม่ได้ยิน “ท่านหมายความว่าท่านชอบข้าหรือ?”
“แล้วจะมีใครได้อีก?”
โหลวจวินเหยาบีบนิ้วนิ่มของนาง พลันช้อนเอวนางไว้แล้วสลับตำแหน่งของคนทั้งสอง
พริบตาเดียวทั้งนางและเขาก็เปลี่ยนตำแหน่ง ตอนนี้เป็นเขาที่นอนราบอยู่บนเตียง ส่วนนางอยู่ด้านบน เมื่อมือที่โอบเอวนางไว้ปล่อยนางก็ร่วงลงใส่อกแกร่งทันที
ร่วงลงใส่อกที่แทบจะเปลือยเปล่าของเขา
ร่างนุ่มแนบลงบนแผ่นอกแกร่ง ส่งความรู้สึกปีติแล่นวาบลึกถึงกระดูกในทันใด
ชิงอวี่หน้าแดงฉ่าในพลัน ตะเกียกตะกายจะลุกขึ้น แต่เขากลับยื่นแขนมารัดร่างนางไว้ ทำให้นางต้องนอนซุกไหล่เขาอยู่เช่นนั้น
วงแขนแกร่งของเขาโอบร่างนางไว้แน่นไม่ยอมให้นางดิ้นหนี
ท่าทางชิดใกล้เช่นนี้ทำให้ชิงอวี่รู้สึกกระดากอายอยู่บ้าง ดิ้นยุกยิกเบา ๆ “เอ่อ ท่านต้องทำเช่นนี้ด้วยหรือ? แบบนี้มันไม่ค่อยจะสบายตัว…..”
ย่อมต้องไม่ค่อยสบายตัว ร่างกายบุรุษนั้นต่างจากสตรี มีแต่เนื้อแข็ง ๆ และกล้ามเนื้อเต็มไปหมด ต่างจากสตรีที่จับตรงไหนก็นุ่มนวลนุ่มนิ่ม
แต่เคราะห์ดีที่ชายหนุ่มใต้ร่างนางนั้นไม่ใช่พวกบึกบึนร่างยักษ์ไปเสียทั้งหมด ไม่เช่นนั้นนางยิ่งไม่สบายตัวมากกว่านี้แน่
แต่เพราะนางดิ้นยุกยิกไปมา ร่างเขาเหมือนจะแข็งเกร็งขึ้นในพลัน เสียงหายใจข้างหูเริ่มหนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆ
มือที่จับเอวนางไว้พลันเลื่อนลงด้านล่างก่อนจะบีบมันแน่น พอได้ยินเสียงร้องตกใจปนอับอายจากนาง เขาก็กระซิบเสียงแหบขึ้น “เจ้าอย่าขยับ”
ชิงอวี่กัดริมฝีปากด้วยความโกรธ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
หลังจากเผยความในใจกันไปแล้ว ทำไมนางถึงรู้สึกว่าเขาไม่คิดปิดบังนิสัยชั่วช้าเช่นนี้แล้วเลยเล่า?
แต่ในเมื่อต่างคนต่างก็ชอบกัน เรื่องพวกนี้ก็คงไม่เกินไปกระมัง
ดังนั้นต่างคนจึงต่างนอนกอดกันไปเงียบ ๆ เช่นนั้น เงียบอยู่นานชายหนุ่มจึงถอนหายใจยาวแล้วเอ่ยเสียเศร้าออกมา “ข้าอยากพาเจ้าไปด้วยจริง ๆ”
โชคไม่ดีที่ยังไม่ถึงเวลา หากให้นางขึ้นไปเผชิญเหตุการณ์บนนั้นไม่เป็นประโยชน์อันใดต่อตัวนางเลย
ชิงอวี่เงยหน้าขึ้นมองเขาน้อย ๆ “ท่านต้องจากไปตอนนี้ ก็คงเป็นเพราะมีเรื่องสำคัญกระมัง”
“อืม” โหลวจวินเหยาตอบ “สำคัญนิดหน่อย”
“เช่นนั้นท่านก็ปล่อยข้าได้แล้วกระมัง?” ชิงอวี่ว่าพลางกลอกตา
นี่เขาแยกแยะลำดับความสำคัญได้หรือไม่เนี่ย? หากมีเรื่องสำคัญให้ต้องจัดการจริง เขายังอุตส่าห์หาเวลามาอิงแอบแนบชิดกับนางเช่นนี้อยู่อีก
หากแต่นางไม่คิดเลยว่าเขาจะยกริมฝีปากขึ้นแล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยนออกมา “เจ้าสำคัญกว่า”
ชิงอวี่หน้าแดงไม่ทันตั้งตัว “…..”
มากเกินไปแล้ว รังแกนางมานานขนาดนี้ ยังจะแกล้งนางไม่เลิกอีก
แต่นางพบว่าพอเขาเอ่ยคำจริงจังเช่นนี้กลับดูมีเสน่ห์ไม่น้อย
“แล้วมันเป็นเรื่องอะไรงั้นหรือ?” ชิงอวี่ถามเสียงสบาย
มุมมองของนางที่มีต่อแดนเมฆาสวรรค์ก็มาจากสิ่งที่ไป๋จือเยี่ยนและคนอื่น ๆ เคยพูดถึงเท่านั้น เป็นเพียงคำบอกกล่าวที่ไม่ได้เผยข้อมูลอะไรมาก ดังนั้นนางจึงไม่รู้จักที่นั่นดี สงสัยเกี่ยวกับสถานที่นั้นเช่นกัน
แต่เมื่อนางรู้ว่ามารดาของเจ้าของร่างนี้มีความเกี่ยวพันกับแดนเมฆาสวรรค์ นางก็ยิ่งรู้สึกสนใจแดนระดับสูงแห่งนี้มากขึ้น ดินแดนที่เต็มไปด้วยผู้ยอดยุทธ์มากมายแห่งนั้น
นางเพียงถามไปเฉย ๆ ไม่คิดว่าโหลวจวินเหยาจะอธิบายอะไรให้นางฟังมากมาย
ไม่คิดเลยว่าเขาไม่แม้แต่จะปิดบังนาง แต่ยังเล่าทุกอย่างอย่างละเอียดอีก
“ยังมีดินแดนมีพลังอำนาจสูงส่งอยู่บนแดนเมฆาสวรรค์ เรียกว่ายอดเขาใจสงบ ตำนานเล่าว่ามันจะเปิดออกทุกสหัสวรรษ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ไม่นานมานี้มีคำทำนายว่าอีกไม่นานยอดเขาใจสงบจะเปิดออก ขุมอำนาจทั้งหลายบนแดนเมฆาสวรรค์จึงพยายามหาทางไปที่นั่น”
“นับแต่โบราณมา มีแต่จอมยุทธ์ที่ได้ขึ้นยอดเขาใจสงบเท่านั้นจึงจะได้รับการนับถือว่าเป็นหนึ่งในขุมอำนาจทั้งหลาย ดังนั้น….. หลายวันมานี้ทุกคนก็เลยพยายามเกลี้ยกล่อมให้ข้ากลับไป”
ว่าแล้วโหลวจวินเหยาก็ถอนหายใจ “ข้าไม่มีทางเลือก เป็นเพราะข้า พวกเขาเลยต้องกล้ำกลืนฝืนทนมานานหลายปี ข้าติดค้างพวกเขาไว้ อย่างไรก็ต้องชดใช้”
“ท่านจะไปที่ยอดเขาใจสงบนั่นหรือ?” ชิงอวี่กะพริบตา ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “อันตรายหรือไม่?”
โหลวจวินเหยาส่ายหน้าช้า ๆ “ข้าไม่รู้ ในเมื่อมันเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นคงจะขึ้นไปไม่ง่าย ย่อมต้องมีอุปสรรคอันตรายอยู่บ้างกระมัง”
เมื่อได้ยินว่ามีอันตราย ชิงอวี่ก็ขมวดคิ้ว
นางจำได้ว่าเขามีสภาพร่างกายไม่เหมือนใคร เมื่อบาดเจ็บจะอ่อนแอลงมาก และหากไม่รักษาทันการณ์ก็จะเสียการป้องกันทั้งหมดได้ นับเป็นเรื่องอันตรายมาก
“ท่านจะพาไป๋จือเยี่ยนไปด้วยไหม?” หากไป๋จือเยี่ยนไปกับเขาด้วยก็คงดี อย่างน้อยก็ช่วยรักษาแผลให้เขาได้เลย
แต่เขาก็ส่ายหน้าอีก “ในขุมอำนาจบนแดนเมฆาสวรรค์ แต่ละที่จะส่งคนไปได้เพียงหนึ่งคนเท่านั้น จำนวนคนที่จะขึ้นยอดเขาใจสงบไปได้นั้นมีจำกัด”
“มีกฎประหลาดนัก” ชิงอวี่อดประหลาดใจไม่ได้
“เป็นเช่นนี้มาแต่โบราณแล้ว”
คิดได้ดังนั้น ชิงอวี่จึงค่อย ๆ ลุกขึ้นจากอกเขา นิวเรียวเล็กปัดผ่านเบา ๆ ไปที่ร่างเบื้องล่าง เขารู้สึกได้ถึงสัมผัสประหลาดแล่นไปทั่วร่าง ก่อนสัมผัสนั้นจะค่อย ๆ หายไป
โหลวจวินเหยาเลิกคิ้ว “มันคือ…..”
“สิ่งที่รักษาชีวิตท่านได้ ไม่เป็นอันตรายหรอก”
โหลวจวินเหยากุมมือนางไว้ ระบายยิ้มแทบมองไม่เห็น “ทำไมข้าจึงรู้สึกว่าในตัวเจ้ามีความลับเก็บงำอยู่มากมายนัก?”
ชิงอวี่หลุดหัวเราะ “ส่วนมากท่านก็รู้หมดแล้วนี่”
รวมถึงเรื่องที่นางเป็นวิญญาณมาเกิดใหม่ ใช้ชีวิตนี้เป็นครั้งที่สอง เขาเองก็รู้เรื่องหมดแล้ว ที่สำคัญก็คือเขามีไหวพริบดีเกินเหตุ อย่างไรนางก็ปิดเป็นความลับกับเขาไม่ได้นานอยู่แล้ว
เมื่อเขาบอกว่านางมีความลับ ชิงอวี่ก็อดเลิกคิ้วเหลือบตามองเขาไม่ได้ “ท่านรู้เรื่องข้าตั้งมาก แต่ข้า….. เหมือนจะไม่รู้เรื่องท่านบ้างเลย”
นางรู้เพียงว่าเขามีพลังบำเพ็ญลึกล้ำ เป็นคนมีตัวตนสูงส่งบนแดนเมฆาสวรรค์ รอบกายมีคนฝีมือดีอยู่มากมาย ดูลึกลับซับซ้อนยิ่งนัก
เขาไม่เคยพูดเรื่องเกี่ยวกับตนเองเลย นางเองก็ไม่เคยถามเขามาก่อน
หากนางถาม เขาก็คงบอกนางไปแล้ว
นางพูดจบ เขาก็ค่อย ๆ เอ่ยอธิบาย “บนแดนเมฆาสวรรค์มีขุมอำนาจใหญ่อยู่ 5 แห่ง คือแคว้นมาร สำนักเซียนแพทย์ สมาพันธ์นักล่า อารามจันทร์กระจ่าง และชนเผ่าหมาน ไป๋จือเยี่ยนเป็นประมุขน้อยสำนักเซียนแพทย์ ส่วนข้า…..”
เขาหยุดพูด หันมามองหน้านางแล้วว่าต่อ “ข้าเป็นเจ้าแคว้นมาร”
ชิงอวี่มีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย แม้นางจะรู้ว่าเขามีตัวตนไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นถึงเจ้าครองเขตแดนบนแดนเมฆาสวรรค์ อีกทั้ง….. ชื่อ “แคว้นมาร” ฟังไม่เหมือนสถานที่ที่คนดีมีคุณธรรมจะอยู่ได้ นางจึงคิดว่าพวกเขาก็คงเหมือนคนตรงหน้านางนี่กระมัง เป็นพวกคนนอกรีตชั่วร้าย
แต่เรื่องที่ไป๋จือเยี่ยนเป็นประมุขน้อยของสำนักเซียนแพทย์นั้นนางรู้มาโดยตลอด
ไป๋จือเยี่ยนพยายามถามอยู่หลายครั้งว่านางได้วิชาแพทย์มาจากที่ใด ด้วยความที่อยากรู้มากจึงป่าวประกาศตัวตนออกมาจนสิ้น
แต่ได้เห็นคนฐานะสูงจากสำนักเซียนแพทย์มาอยู่ข้างกายโหลวจวินเหยาที่ดูไม่ค่อยจะเป็นคนดีเท่าไหร่ เหมือนเป็นร่างจุติของปีศาจเสียมากกว่า แล้วคนจากสำนักเซียนแพทย์….. ไม่ยื่นมือเข้ายุ่งเลยงั้นหรือ?
ชิงอวี่ครุ่นคิดหนัก ก่อนหน้านี้นางคิดว่าพวกเขาเป็น….. แค่ก…. มีความสัมพันธ์เช่นนั้น….. นางกระทั่งทิ้งระยะห่างออกมาจากพวกเขาไปช่วงหนึ่งเลยทีเดียว
ก็เพราะนางไม่เคยเห็นบุรุษตัวโตสองคนนี้แยกห่างจากกันเป็นเวลานานเลยสักครั้ง
แต่นางก็ได้รู้ว่าที่อีกฝ่ายต้องตัวติดกับโหลวจวินเหยาตลอดก็เพราะชายหนุ่มมีร่างกายไม่เหมือนใคร อาจเป็นอันตรายได้หากได้รับบาดเจ็บนั่นเอง
คิดได้ดังนั้นแล้ว นางก็หยิบยาช่วยชีวิตทั้งแบบเม็ดและน้ำออกมาจากมิติส่วนตัว ก่อนจะยัดพวกมันใส่มือเขา “ท่านเก็บพวกมันไว้ด้วย เอาไว้ใช้ยามคับขัน ไป๋จือเยี่ยนไม่ได้คอยอยู่ข้างกายท่าน ท่านยิ่งต้องระวัง อย่าให้ตนเองได้รับบาดเจ็บ”