ตอนที่ 210 เหมิงซานหมิง

เฟิ่งรั่วหนานกลับมาแล้ว กลับมาพร้อมกับความคับข้องหมองใจ

จะเรียกว่าถูกบ้านฝ่ายมารดาเกลี้ยกล่อมให้กลับมาก็ได้ สถานการณ์ส่วนรวมสำคัญกว่าตัวบุคคล อำนาจปกครองสองจังหวัดล้วนอยู่ในมือซางเฉาจงแล้ว

อย่างที่เผิงโย่วไจ้กล่าวเอาไว้ เผื่อประโยชน์ของตระกูลเฟิ่ง ตระกูลเฟิ่งจำเป็นต้องกล่อมให้บุตรสาวกลับมา

กล่อมให้กลับมาน่ะไม่เท่าไร ยังต้องการให้นางยอมโอนอ่อนผ่อนตามอีก เหตุผลก็ง่ายดายนัก ไม่ทราบว่าพอซางเฉาจงได้อำนาจของสองจังหวัดไปแล้วจะจัดการใหม่อย่างไร ไม่รู้เลยว่าจะเตะโด่งตระกูลเฟิ่งออกไปหรือไม่

ว่ากันตามหลัก ซางเฉาจงต้องไว้หน้าเผิงโย่วไจ้ ไม่กล้าทำเกินไปนัก

แต่หากทำตัวไม่เข้าท่าเกินไปจริงๆ ทำให้ซางเฉาจงโกรธขึ้นมาจริงๆ กับเรื่องบางอย่างเกรงว่าสำนักหยกสวรรค์คงไม่สะดวกจะเข้าไปยุ่งมากนัก

สำนักหยกสวรรค์ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญ มีจุดที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญต่างกันไป เป็นเช่นเดียวกับหนิวโหย่วเต้า ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการเมืองการทัพนัก ในเมื่อมอบอำนาจส่วนใหญ่ให้ซางเฉาจงไปแล้ว เจ้าก็ไม่ควรเข้าไปแทรกแซงวุ่นวาย

หากซางเฉาจงต้องการหาเหตุมาเตะโด่งตระกูลเฟิ่งออกไปจริงๆ เกรงว่าแม้แต่เผิงโย่วไจ้เองก็จัดการลำบากเช่นกัน

มองเห็นว่าใกล้จะถึงตัวเมืองชิงซานแล้ว เพียงแต่สภาพอากาศกลับไม่เป็นใจ จู่ๆ ฝนก็ตกลงมา ทำให้เฟิ่งรั่วหนานที่อยู่บนหลังม้าเปียกซ่กเหมือนลูกนกตกน้ำ ทำให้อารมณ์ของนางย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม

สิ่งที่ทำให้อารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อยคือ ยามที่มาถึงประตูเมือง มองเห็นซางเฉาจงยื่นอยู่ใต้ประตูเมือง พาคนมารอต้อนรับด้วยตัวเอง

เพียงแต่นางสังเกตเห็นอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนคนที่ซางเฉาจงต้องการมาต้อนรับจะไม่ใช่ตน พอเห็นหน้านางก็ทักทายเล็กน้อยเท่านั้น สายตาทอดมองท้องถนนที่มีสายฝนโปรยปราย

ผ่านไปครู่หนึ่ง หลานรั่วถิงเอ่ยขึ้นมา “ท่านอ๋อง มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

ซางซูชิงสะบัดผ้าคลุมกันลมผืนหนึ่ง ช่วยคลุมให้พี่สะใภ้ พอได้ยินเสียงก็หันไปมองพร้อมกับเฟิ่งรั่วหนาน

มองเห็นเพียงว่าท่ามกลางม่านฝน คณะเดินทางขบวนหนึ่งปรากฏขึ้น คนหลายสิบคนคุ้มกันรถม้าขบวนหนึ่งมุ่งหน้าเข้ามา

ซางซูชิงปล่อยพี่สะใภ้ไว้ ขณะที่กำลังฝ่าฝนออกไปต้อนรับพร้อมกับซางเฉาจงและหลานรั่วถิง กลับมีม้าตัวหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว คนผู้หนึ่งที่สวมหมวกงอบไว้กระโดดลงมา กล่าวกับซางเฉาจงว่า “ท่านอาจารย์กล่าวว่า ไม่ควรทำให้เอิกเกริก ต้องการให้ท่านอ๋องกลับไปก่อน ค่อยไปพบกันในจวนก็ยังไม่สายพ่ะย่ะค่ะ”

พอทางนี้ได้ฟังความ ก็จากไปอย่างรวดเร็ว

เฟิงรั่วหนานที่ติดตามไปด้วยค่อนข้างสนใจใคร่รู้ ไม่ทราบผู้มาเป็นใคร ไม่น่าเชื่อว่าสามารถทำให้ทางนี้มีปฏิกิริยาตอบสนองมากขนาดนี้

ไป๋เหยาที่ติดตามมาคุ้มกันก็นึกสงสัยอยู่ในใจเช่นกัน ผู้มาเป็นใครกันแน่?

กลุ่มคนสวมหมวกงอบหลายสิบคนคุ้มกันรถม้าเข้าเมือง มีคนนำทางไปยังถนนด้านหลังจวนผู้ว่าการจังหวัดที่ถูกปิดเอาไว้

รถเข็นคันหนึ่งถูกยกลงมาจากท้ายรถม้า คนผู้หนึ่งมุดออกมาจากในรถมา ถูกแบกออกมา

หลานรั่วถิงที่รอต้อนรับอยู่ตรงประตูท่ามกลางสายฝนค้อมคำนับ ประสานมือเอ่ยเรียกด้วยความเคารพนบน้อม “แม่ทัพเหมิง!”

ผู้มาหาใช่ใครอื่น เป็นเหมิงซานหมิง ตอนนี้ต้องการตัวเขา จึงเชิญตัวเขาออกมาจากหุบเขา

“เสี่ยวหลาน ไม่พบกันเสียนาน” เหมิงซานหมิงที่ผมโพลนทั้งศีรษะพยักหน้าพลางส่งยิ้มให้หลานรั่วถิงเล็กน้อย

“ท่านลุงเหมิง!” สองพี่น้องตระกูลซางคารวะอย่างพร้อมเพรียง สองพี่น้องไม่สนใจว่าตนจะเปียกฝน ต่างกางร่มกันฝนให้เขาด้วยตัวเองขนาบทั้งฝั่งซ้ายขวา

“ไม่บังอาจรบกวนท่านอ๋องและท่านหญิงเช่นนี้” เหมิงซานหมิงรีบส่งสัญญาณให้คนด้านหลังเข้ามาแทนที่ ไม่ยอมให้สองพี่น้องกางร่มให้เขาต่อ จากนั้นถึงประสานมือคารวะกลับพลางเอ่ยว่า “ร่างกายทุพพลภาพไม่อาจคารวะเต็มพิธีการได้ ขอท่านอ๋องและท่านหญิงโปรดอภัยให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

“ท่านลุงเหมิง เข้าไปหลบฝนก่อนเถิด” ซางเฉาจงผายมือเชื้อเชิญ

มีคนยกเหมิงซานหมิงไปนั่งบนรถเข็น จากนั้นทั้งคนและรถเข็นก็ถูกยกเข้าไปในจวนพร้อมกัน

ไป๋เหยายืนกอดกระบี่อยู่ใต้ชายคา มองกลุ่มคนที่เข้าไปด้านใน

เฟิ่งรั่วหนานที่ตัวเปียกชื้นยังไม่ได้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่เดินเตร่ไปมาอยู่ใต้ชายคา

ล้วนอยากทราบกันว่าผู้มาเป็นใคร มีเกียรติถึงขั้นที่สองพี่น้องตระกูลซางยอมเปียกฝนออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง

หลัวอันที่สวมหมวกงอบไว้เป็นผู้เข็นรถ เมื่อรถเข็นมาถึงด้านล่างบันไดห้องโถงหลัก ก็ถูกยกขึ้นไปอีกครั้ง ยกเข้าสู่ห้องโถงหลักโดยตรง

ไป๋เหยาและเฟิ่งรั่วหนานก็ตามเข้าไปสังเกตการณ์ด้วย

ภายในห้องโถง ซางซูชิงรับผ้าขนหนูที่บ่าวรับใช้ยื่นให้ ช่วยเช็ดละอองฝนที่กระเด็นใส่ร่างเหมิงซานหมิงด้วยตัวเอง

เหมิงซานหมิงมองไปรอบๆ จากนั้นถามว่า “เหตุใดจึงไม่เห็นศิษย์ผู้ประเสริฐของท่านตงกัวเล่า?”

ซางเฉาจงตอบว่า “เต้าเหยี่ยไปบำเพ็ญเพียรในหุบเขานอกเมือง ยังไม่ทราบว่าท่านมาถึงแล้ว”

เหมิงซานหมิงพยักหน้ารับ สายตาเคลื่อนไปที่ร่างของเฟิ่งรั่วหนาน แววตาวูบไหว เอ่ยถามว่า “ท่านนี้คือพระชายาใช่หรือไม่?”

เฟิ่งรั่วหนานจ้องมองบุรุษใบหน้าซูบตอบเรียบเฉย ผมขาวโพลนทั้งหัวคนนี้อยู่ตลอด พอได้ยินก็ตอบรับ “ใช่แล้ว เจ้าคือผู้ใด?”

แววตาของเหมิงซานหมิงอ่อนโยนทว่าทรงพลัง ประสานมือคำนับเอ่ยขึ้นว่า “เหมิงซานหมิง น้อมพบพระชายา! ร่างกายทุพพลภาพไม่อาจคารวะเต็มพิธีการ ขอพระชายาโปรดอภัย!”

เหมิงซานหมิงหรือ? เฟิ่งรั่วหนานตกตะลึงยิ่ง คนผู้นี้ก็คือเหมิงซานหมิงหรือ?

นางก็มีฐานะเป็นผู้บัญชาการกองทัพคนหนึ่ง อยู่ในแคว้นเยี่ยต่อให้ไม่เคยได้ยินเรื่องของคนอื่น แต่ไม่เคยได้ยินชื่อเหมิงซานหมิงได้อย่างไร คนผู้นี้คือแม่ทัพเอกคนสนิทของหนิงอ๋องซางเจี้ยนปัว แตกฉานทั้งบุ๋นบู๊ ได้ยินว่ากององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญในสังกัดของหนิงอ๋องก็ถูกก่อตั้งขึ้นโดยคนผู้นี้ ยืนยงไร้พ่ายในทุกสมรภูมิรบ ไม่เคยเพลี่ยงพล้ำ!

ในมุมมองของทหารในแคว้นเยี่ยน เหมิงซานหมิงนับเป็นตัวตนระดับเทพสงครามคนหนึ่ง เป็นแบบอย่างที่แม่ทัพนายกองน้อยใหญ่ในแคว้นเยี่ยนให้ความนับถือ นางก็เช่นกัน

เฟิ่งรั่วหนานไม่เห็นซางเฉาจงอยู่ในสายตาได้ แต่สำหรับบุคคลอย่างเหมิงซานหมิงผู้นี้กลับให้ความเคารพนับถืออย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของชื่อเสียงคุณวุฒิหรือกิตติศัพท์การต่อสู้ ล้วนกลบทับนางได้ทั้งสิ้น ยังไม่ถึงคราวที่ผู้เยาว์อย่างนางจะมาทำตัวกำแหงต่อหน้าอีกฝ่าย

เพียงแต่ นางค่อนข้างสงสัยพอสมควร กล่าวกันว่าคนผู้นี้สิ้นชีพในสงครามแล้วมิใช่หรือ? เหตุใดถึงยังมีชีวิตอยู่?

แต่ก็นับว่ากระจ่างแล้ว ที่แท้ก็เป็นคนผู้นี้ มิน่าเล่าพวกซางเฉาจงถึงได้ให้เกียรติขนาดนี้ นางรีบประสานมือคารวะกลับพลางเอ่ยว่า “เฟิ่งรั่วหนานน้อมพบแม่ทัพเหมิง!”

เหมิงซานหมิงโบกมือ “มิกล้า มิกล้า กระหม่อมเป็นเพียงคนพิการไม่คู่ควรได้รับการคารวะจากพระชายา!”

เขามองพินิจเฟิ่งรั่วหนาน ทอดถอนใจอยู่ในใจ สะท้อนใจกับรูปโฉมอันหยาบกระด้างของเฟิ่งรั่วหนานยิ่งนัก แอบรู้สึกหดหู่ใจแทนซางเฉาจง

แต่ก็ไม่ได้ตัดสินคนจากรูปลักษณ์ อีกทั้งทราบชัดเจนดี หากซางเฉาจงมิได้ตกอับ คงไม่มีทางแต่งกับสตรีรูปโฉมเช่นนี้ ที่ไม่มีความงามอยู่เลย

ไป๋เหยาที่อยู่ด้านข้างก็แอบแปลกใจเช่นกัน เขาย่อมเคยได้ยินชื่อของบุคคลระดับเหมิงซานหมิง ไม่คิดเลยว่าซางเฉาจงจะเชิญคนผู้ออกมา

ถึงแม้โดยทั่วไปแล้วเขาจะไม่ข้องแวะกับด้านกองทัพ แต่ก็พอจะเดาได้รางๆ ซางเฉาจงเชิญคนผู้นี้ออกจากเขา เกรงว่าคงต้องการก่อตั้งกององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญขึ้นอีกครั้ง!

นี่มิใช่เรื่องเล็ก เขาเตรียมตัวแล้วว่ากลับไปจะส่งข่าวรายงานสำนักหยกสวรรค์ทันที

เฟิ่งรั่วหนานที่ถอยออกไปอยู่ด้านข้างโอดครวญอยู่ในเล็กน้อย หากสำนักหยกสวรรค์ทราบว่าซางเฉาจงเชิญคนผู้นี้ออกจากหุบเขาแล้ว เกรงว่าคงให้การสนับสนุนซางเฉาจงยิ่งขึ้น และไม่แปลกเลยที่สำนักหยกสวรรค์จะต้องการให้ตระกูลเฟิ่งยอมก้มหัว ชาติพยัคฆ์ย่อมไว้ลาย รากฐานของตระกูลซางปรากฏขึ้นแล้ว ไม่ทราบเช่นกันว่าตระกูลซางยังมีไพ่ลับอันใดที่ไม่ได้นำออกมาอีกหรือไม่

มีคนสอดรู้สอดเห็นอยู่มากเกินไป คำพูดบางอย่างย่อมไม่สะดวกจะกล่าวถึง

ไม่นานนัก เหมิงซานหมิงถูกเข็นมายังห้องหนังสือของซางเฉาจง

เหมิงซานหมิงมองการตกแต่งในห้องหนังสือของซางเฉาจง เรียบง่ายยิ่งนัก เขาถอนหายใจ เอ่ยว่า “ท่านอ๋องตั้งตัวผงาดขึ้นมาได้เช่นนี้ หากวิญญาณของท่านอ๋องยังอยู่ ต้องปลาบปลื้มใจแน่พ่ะย่ะค่ะ”

ซางเฉาจงยิ้มขื่นๆ “หากว่ากันไปแล้วล้วนต้องขอบคุณเต้าเหยี่ย มิเช่นนั้นคงยากจะมีวันนี้ได้ เขาคอยปูทางให้ข้ามาตลอด ข้าถึงเดินได้สะดวกราบรื่น”

เหมิงซานหมิงพยักหน้ารับนิดๆ เรื่องบางอย่างเขาได้อ่านจากจดหมายลับแล้ว เข้าใจเรื่องราวส่วนใหญ่พอสมควร เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนท่านอาจารย์ตงกัวจะเตรียมการไว้อย่างลับๆ แล้ว ไม่คิดเลยว่าหลังจากเขาออกเขตลับไปครานั้นจะร้อยเรียงเรื่องราวเชื่อมโยงไว้ กลับไปต้องไปคารวะเสียแล้ว”

หลานรั่วถิงเหลือบมองซางเฉาจงเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อเชิญแม่ทัพเหมิงออกจากหุบเขามาแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังเรื่องราวบางอย่างอีกต่อไป ที่เชิญแม่ทัพเหมิงออกจากหุบเขามาครานี้ ประเด็นหลักย่อมเป็นเพราะจะก่อตั้งกององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญขึ้นมาอีกครั้ง ประเด็นรองเพราะต้องการพึ่งพาชื่อเสียงของแม่ทัพเหมิง ติดต่อกับกองกำลังเก่าของท่านอ๋อง! ด้วยการกวาดล้างของราชสำนัก คนบางกลุ่มถูกบีบคั้นไร้ทางเลือก จำเป็นต้องก่อกบฏตั้งกองกำลังของตนขึ้น มีหลายคนที่เคยเป็นอดีตเพื่อนร่วมงานของแม่ทัพเหมิง หากแม่ทัพเหมิงส่งจดหมายไปหาสักฉบับ แม่ทัพทุกท่านต้องประหลาดใจแน่!”

เหมิงซานหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้าเล็กน้อย “อาจจะเห็นแก่หน้าข้าอยู่เล็กน้อย แต่ปัจจุบันต่างไปจากในอดีต แตงที่ฝืนเด็ดย่อมไม่หวาน อำนาจไม่ได้อยู่กับทางฝั่งท่านอ๋อง ตอนนี้กำลังของท่านอ๋องยังอ่อนด้อยเกินไป ไม่อาจรีบร้อนได้ ต้องเสริมสร้างอำนาจให้ตนก่อน รอจนมีอำนาจ ย่อมประสบความสำเร็จไปตามธรรมชาติ มิเช่นนั้นสร้างความลำบากใจให้พวกเขาไปก็ไม่มีประโยชน์ หากจัดการไม่ดีจะบาดหมางผูกความแค้นกันเอง เผื่อช่องไว้สำหรับอนาคตหน่อยเถิด…”

ท่ามกลางพายุฝน บนยอดเขา หนิวโหย่วเต้านั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่เพียงลำพัง ปล่อยให้ลมพัดฝนสาดใส่ เปียกชุ่มไปทั้งตัว น้ำฝนไหลหยดลงมาจากปลายคาง

เขากำลังฝึกฝนเคล็ดกายาเคลื่อนจักรวาลในเคล็ดวิชามหาจักรวาลอยู่

ฝึกฝนเคล็ดกายาโดยนั่งนิ่งๆ ท่ามกลางพายุฝนอาจจะแปลกไปบ้าง แต่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวิชายุทธ์ที่เขาฝึกฝนแน่นอน

จุดพิเศษของเคล็ดกายาชุดนี้ ไม่ว่าจะนิ่งเฉยหรือเคลื่อนไหว ล้วนอยู่ระหว่างฟ้าดิน

ฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาลเพียงใด จะขยับหรือหยุดนิ่ง จะสำเร็จหรือไม่ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความเข้าใจของตัวบุคคล พลาดพลั้งไปเล็กน้อยอาจจะผิดพลาดไปไกลโข

หากต้องการฝึกฝนเคล็ดกายาเคลื่อนจักรวาล จะต้องเรียนรู้ปราณแท้มหาจักรวาลเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของหยินหยาง เข้าใจสมดุลถึงจะสามารถเรียนรู้การปรับเปลี่ยนจักรวาลเป็นกำลัง แปลงจักรวาลเป็นพลัง ตระหนักถึงขอบเขตกาลเคลื่อนย้าย จักรวาลคือฟ้าดิน ไม่ว่าจะขยับหรือหยุดนิ่งย่อมอยู่ในขอบเขตของจักรวาล หลังฝึกฝนสำเร็จถึงจะกลายเป็นเคล็ดกายาเคลื่อนย้ายจักรวาล

กล่าวก็คือ เคล็ดกายาเคลื่อนจักรวาลมิใช่เคล็ดกายาเคลื่อนย้ายที่อุกอาจยิ่งใหญ่อันใด แต่เป็นเคล็ดวิธีควบคุมที่ขับเน้นเสริมส่งกับการแปลงจักรวาลให้กลายเป็นพลัง

ในเคล็ดกายาเคลื่อนจักรวาลบอกไว้ว่า มนุษย์พบธาราเป็นอุปสรรค มัจฉาพบวารีเคลื่อนไหวได้ดั่งใจนึก

จะเปลี่ยนอุปสรรคให้กลายเป็นอิสระได้อย่างไร คือความลี้ลับน่าอัศจรรย์ของเคล็ดกายาเคลื่อนจักรวาล

เหตุใดถึงบอกว่าเคล็ดกายาเคลื่อนจักรวาลขับเน้นเสริมส่งกับหลักการแปลงจักรวาลเป็นพลังน่ะหรือ?

ศึกนอกเมืองไจซิงก็คือตัวอย่าง ในสถานการณ์ที่สภาวะของฝ่ายศัตรูต่างกันไม่มากนัก ยังคงสามารถซัดฝ่ามือออกไปต้านรับสลายพลังโจมตีของอีกฝ่ายได้ตรงๆ หากว่าสภาวะของอีกฝ่ายเหนือกว่าตน ไม่ว่าจะเป็นพลังโจมตีหรือความเร็วในการโมตี ล้วนจะทำให้ตนตั้งรับไม่ทันทั้งสิ้น หากสลายพลังไม่ทันจะจัดการอย่างไรเล่า?

ในเคล็ดกายาเคลื่อนจักรวาลมีคำตอบ ยังคงเป็นประโยคเดิม ไม่ว่าจะนิ่งเฉยหรือเคลื่อนไหวล้วนอยู่ระหว่างฟ้าดิน!

เวลานี้หนิวโหย่วเต้ากำลังทำความเข้าใจสิ่งนี้อยู่ ปล่อยพายุฝนสาดพัด อยู่ในกระบวนการรับรู้ถึงลมทุดสายที่พัดมา สัมผัสถึงฝนทุกหยดที่ตกกระทบร่างตน สังเกตรายละเอียดรับรู้องค์รวม

มีแต่ทำความเข้าใจรายละเอียดยิบย่อย ถึงจะสามารถเผชิญหน้ากับความผันผวนไปทีละขั้นได้

สิ่งนี้ทั้งลึกลับเลื่อนลอยอีกทั้งลี้ลับมหัศจรรย์ เป็นเคล็ดวิชาที่ไม่สามารถอธิบายออกมาให้ชัดเจนได้ ทำได้เพียงชี้แนะให้เจ้าไปทำความเข้าใจเท่านั้น

แนวทางการบำเพ็ญเพียรเช่นนี้ก็เป็นแนวทางการบำเพ็ญเพียรแบบที่หยวนกังรังเกียจที่สุดด้วย…

นอกมหานครเป่ยโจว ในป่าเขาเงียบสงัดผืนหนึ่ง

เงามนุษย์สองร่างหยุดเดิน ลู่เซิ่งจงประสานมือกล่าวกับอู๋ซานเหลี่ยงว่า “ขออภัยที่ไม่อาจไปส่งไกลกว่านี้ได้ หวังว่าจะมีโอกาสพบกันอีก ฝากทักทายเต้าเหยี่ยแทนข้าด้วย!”

เขามาที่นี่ก็เพื่อเปลี่ยนตัวกับอู๋ซานเหลี่ยง อู๋ซานเหลี่ยงได้บอกเล่าสถานการณ์ทั้งหมดที่สืบทราบต่อเขาแล้ว กำลังจะเดินทางกลับจังหวัดชิงซาน

อู๋ซานเหลี่ยงประสานมือกล่าวว่า “ลาก่อน รักษาตัวด้วย!”

ลู่มองส่องเขาจากไปไกล ลู่เซิ่งจงยกมือไพล่หลังถอนหายใจเบาๆ เขาไม่รู้จักเซ่าผิงปอมากนัก แต่หนิวโหย่วเต้าบอกว่าเซ่าผิงปออันตรายมาก กำชับให้เขาระวังตัวอยู่หลายครั้ง

หนิวโหย่วเต้าก็ไม่ได้กำหนดมาเป็นพิเศษว่าให้เขาทำอย่างไร ให้อิสระเขามากยิ่ง สรุปก็คือ เป้าหมายคือสังหารเซ่าผิงปอ! หากสังหารไม่ได้ก็ต้องสร้างปัญหาให้เขา ทำให้เซ่าผิงปอกลัดกลุ้มไร้อิสระ!

…………………………………………………………