ตอนที่ 91

Hell mode

บทที่ 91 ดูแลร่วมกัน

พอเข้าเดือนตุลาคม อเลนก็อายุ 12 ปี เดือนนี้ก็ครบ 4 ปีแล้วตั้งแต่มาคฤหาสน์นี้

ในช่วง 5 เดือนนี้ กลุ่มอัศวินเข้าไปดูแลรังมดที่อเลนทำการปราบมาได้ เดือนกันยายนเริ่มทำการขุดแร่มิธริลตรงตอนเหนือสุดของเทือกเขามังกรขาวแล้ว อเลนเองก็ยุ่งกับรังของมดเกราะที่ได้มา

จากการที่อเลนปราบราชินีมดเกราะ ทำให้มีกำหนดที่จะเริ่มขุดเหมืองแร่มิธริลตรงนี้ประมาณปีหน้า

ในขั้นตอนนี้อยู่ระหว่างส่งคนงานเหมืองไปยืนยันเหมืองมิธริลอันใหม่อยู่ จากการสำรวจทำให้รู้ว่ามีแร่มิธริลจำนวนค่อนข้างมาก

หลังจากนั้นก็ไปกำจัดรังมดเกราะอีก 2 แห่ง น่าเสียดายที่ไม่ค้นพบแร่มิธริล แต่ก็ไม่ได้น่าเสียดายอะไรถึงขนาดนั้น

ช่วงนี้เริ่มคิดขึ้นมาได้

จากการที่ได้สกิลแชร์ ทำให้เวลาล่าเพิ่มขึ้น ตอนที่ได้รับความช่วยเหลือจากหัวหน้ากลุ่มอัศวินที่หมู่บ้านออร์ค ทำให้รู้ว่าตัวเองอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างเป็นอิสระ พอปีหน้าจากกรรมสิทธิ์ของเหมืองมิธริลทำให้ไม่ต้องทำงานหนัก และใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายแล้ว

พอคิดอย่างนั้น ทำให้รู้สึกตัวว่าช่วงนี้ขาดอะไรบางอย่างไป

ตอนอยู่หมู่บ้านคุเรนะมีอะไรบางอย่างไม่เพียงพอ สิ่งนั้นคือฐานะ ทำการล่าอัลบาเฮรอนและชี้นำการล่าหมูป่าอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อที่จะให้ครอบครัวได้เป็นประชาชน ต่อให้ไม่สามารถออกนอกหมู่บ้านได้แต่ก็รู้สึกเติมเต็มอยู่

ส่วนตอนนี้ สภาพเหมือนล่าสไลม์ที่อยู่รอบๆปราสาทอย่างเอาเป็นเอาตายก็ได้ ทำการล่าสไลม์ไปเรื่อยๆจนกว่าจะเลเวลตัน มีเงินที่เหลือเฟือ ไม่ต้องกังวลเรื่องของศัตรู แค่ทำกิจวัตรประจำวันไปเรื่อยๆ

(กรรมสิทธิ์เหมือง สิ่งนี้เหมือนกับไขมันส่วนเกินเลย)

เหมือนแบกไขมันส่วนเกินที่ไม่จำเป็นเอาไว้เลย อยากจะฟาร์มอย่างหนักเลยมาที่โลกนี้ ไม่ได้อยากจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขสักหน่อย

สำหรับตัวเองแล้วอย่างนี้ไม่ใช่การฟาร์มหนัก

ตอนมาคฤหาสน์นี้เมื่ออายุ 8 ขวบคิดไว้ว่าจะไปเป็นนักผจญภัย มิไฮขอร้องให้ช่วยปกป้องเซซิล ซึ่งตอบไปว่า “ครับ” ต่อคำขอสุดท้ายของมิไฮ ซึ่งอยากจะตอบรับคำขอร้องนั้นอยู่

พออายุ 12 ได้เวลาก้าวต่อไปแล้ว ชีวิตการล่าสไลม์รอบๆปราสาทมันไม่ใช่คำตอบของการใช้ชีวิต

“นี่ๆ กำลังคิดอะไรอยู่เหรอ?”

ริกเกลส่งเสียงมาหา

“เปล่าครับ”

พูดคุยทั่วไปกับหัวหน้าคนรับใช้ฝึกหัดริกเกลมาต่อเนื่อง 4 ปี ปีหน้าริกเกลตั้งใจจะเลิกเป็นหัวหน้าคนรับใช้ฝึกหัด แล้วไปเป็นคนขับรถม้าหรือไม่ก็พ่อครัวก็ได้ หัวหน้าคนรับใช้ฝึกหัดไม่ใช่อาชีพที่ทำได้หลายสิบปี ยังไงก็ต้องมอบตำแหน่งนี้ให้กับคนรับใช้ฝึกหัดคนอื่น ซึ่งก็มีมาปรึกษาด้วยน้ำเสียงสบายๆว่างานไหนน่าจะสนุกกว่ากัน

คิดว่าเป็นความคิดที่สมกับเป็นริกเกล พอมองริกเกลแล้วก็คิดขึ้นมาว่าตัวเองอาจจะคิดมากเกินไป

“ดูเหมือนราชทูตจะมาอีกแล้ว มาก็เอาแต่พูดมิธริล มิธริลหนวกหูอยู่นั่นแหละ”

“เหมือนจะเป็นอย่างนั้นครับ เดือนที่แล้วก็เพิ่งมา มีธุระอะไรกันแน่นะ”

จนถึงตอนนี้มีราชทูตมาหาบารอนแกรนเวลอยู่หลายครั้ง แต่ปีนี้รู้สึกความถี่มันเยอะขึ้น

ส่วนธุระก็เกี่ยวกับกำหนดการขุดมิธริล หรือไม่ก็สอบถามความคืบหน้า เพราะไม่สามารถเอาแร่มิธริลจากแคว้นข้างเคียงอย่างไวเคานต์คาร์เนลได้ ทำให้มิธริลภายในเมืองหลวงก็ไม่เพียงพอ เลยเหมือนจะมาเร่งเร้าถึงคฤหาสน์

อยู่ๆวันก่อนก็มาโดยไม่บอกไม่กล่าวแล้วบอกว่าจะมาหาวันไหนเวลาไหน แถมไม่บอกด้วยว่าจะมาด้วยธุระอะไร

เพราะราชทูตจะมาหลังเที่ยง พ่อบ้านเลยบอกให้อเลนอยู่ที่ห้องอาหารชั้น 2 หลังจากที่ตระกูลบารอนกินอาหารเสร็จ

หลังจากผ่านเวลา 13.00 ไปก็มีชาย 2 คนมาที่คฤหาสน์

ตอนที่พ่อบ้านนำทางมายังห้องอาหาร บารอนถึงกับตกตะลึง

คนหนึ่งเป็นราชทูต ถึงราชทูตจะมีหลายคนแต่จะกำหนดผู้ที่มาคฤหาสน์เอาไว้อยู่แล้ว เพราะอย่างนั้นเลยเป็นราชทูตที่เคยพบมาก่อน

ส่วนอีกคนหนึ่งมันไม่ได้จบที่ขำแค่หน้าได้อย่างเดียว

คนที่มาพร้อมกับราชทูต คือไวเคานต์คาร์เนล

“ขอบคุณที่มาหาครับ”

บารอนพูดออกมาอย่างสงบนิ่ง เขาเองคงคิดว่าวันนี้จะมาด้วยเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมิธริล ดังนั้นเลยให้ภรรยาและลูกๆนั่งอยู่ในห้องอาหารด้วย ถ้าไวเคานต์คาร์เนลจะมาด้วยบารอนคงออกมาต้อนรับคนเดียวแล้ว

“ได้ยินมาว่าบารอนแกรนเวลกำลังตั้งใจอย่างเต็มที่กับการพัฒนาภายในแคว้น ช่างสมเป็นแบบอย่างของขุนนางจริงๆ”

ราชทูตที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะพูดเชิงดูถูกบารอนกลับมาอย่างจองหอง อเลนพอเห็นอย่างนั้นก็คิดขึ้นมาว่าราชทูตช่างมีท่าทางที่หยิงผยองไม่เปลี่ยน

ไวเคานต์ไม่นั่ง และยืนอยู่ด้านหลังของราชทูตราวกับเป็นคนสนิท เหมือนกับพ่อบ้านที่ยืนอยู่ด้านหลังของบารอน

“แล้ววันนี้ มาด้วยธุระอะไรหรือครับ?”

ทันใดนั้น ราชทูตก็พูดว่า “อืม” ก่อนจะเงียบไปสักพักแล้วค่อยพูดออกมา

“วันนี้มีคำแนะนำมาให้บารอนแกรนเวล 1 เรื่อง”

“คำแนะนำ?”

“ใช่แล้ว มีความบาดหมางที่ค่อนข้างโด่งดังในหมู่ขุนนางของเมืองหลวงไม่ใช่หรือ คำแนะนำเพื่อที่จะแก้ไขปัญหานั้นไง”

“ความบาดหมาง?”

บารอนคิดทบทวนว่าตัวเองเคยไปทะเบาะกับใครบ้าง ซึ่งก็นึกไม่ออก

“ใช่แล้ว ความบาดหมางอันยิ่งใหญ่ที่ตระกูลบารอนแกรนเวลกับตระกูลไวเคานต์คาร์เนลมีด้วยกันไง ในฐานะราชวงศ์จะนิ่งดูดายไม่ได้ และคิดว่าควรที่จะหาทางแก้ไขปัญหาไง”

“ระ เรื่องนั้นมัน……”

เรื่องบาดหมางใหญ่โตระหว่างตระกูลบารอนแกรนเวลกับตระกูลไวเคานต์คาร์เนลมีเพียงเรื่องเดียว นั่นคือมิธริลตรงเทือกเขามังกรขาว จริงอยู่ที่มีปัญหามาหลายรุ่นตั้งแต่เมื่อก่อน ทั้งสองแคว้นต่างก็โดนมังกรขาวกลั่นแกล้งผลัดกันรุ่งเรืองและตกต่ำ

“เพราะอย่างนั้น วันนี้เลยเอาสิ่งนี้มาด้วย”

ไวเคานต์คาร์เนลตอบสนองต่อคำพูดของราชทูต ด้วยการเอาม้วนจดหมายไปทางบารอน

พ่อบ้านเองก็ตอบสนองด้วยการรับจดหมายมาจากไวเคานต์คาร์เนล และเอาจดหมายไปวางไว้ที่นั่งของบารอน

“นะ นี่มัน?”

“ลองอ่านดูสิ”

บอกให้อ่านก่อนถาม เลยทำการคลี่ม้วนจดหมายและเริ่มอ่าน แล้วสีหน้าของบารอนที่เริ่มอ่านก็เปลี่ยนไปในทันที

“ระ เรื่องอย่างนี้มัน……”

“หือ มีปัญหาอะไรอย่างนั้นเหรอ? ฉันลงมือเคลื่อนไหวเพื่อที่จะแก้ไขความบาดหมางเลยนะ?”

“เดี๋ยวสิ การที่ให้ดูแลเทือกเขามังกรขาวด้วยกัน ระ เรื่องนี้มัน”

“มันทำไมเหรอ? เดิมทีแบ่งอาณาเขตจากยอดของเทือกเขามังกรขาว เลยจะให้ทั้งสองฝ่ายดูแลเทือกเขามังกรขาวร่วมกัน แน่นอนว่ากำไรที่เกิดขึ้นก็ต้องแบ่งครึ่งด้วย”

(ดูแลร่วมกัน? บารอนกับไวเคานต์ดูแลเทือกเขามังกรขาวร่วมกัน? เอาจริงดิ เพราะอย่างนั้นไวเคานต์เลยยิ้มออกมาอย่างนั้นเหรอ)

ไวเคานต์คาร์เนลที่อยู่ด้านหลังราชทูตยิ้มออกมา ไหล่ก็สั่นอยู่เหมือนกำลังกลั้นขำเอาไว้

สิ่งที่ราชทูตเอามา คือหนังสือสัญญาดูแลเทือกเขามังกรขาวร่วมกันระหว่างบารอนกับไวเคานต์ โดยเขียนไว้ว่าขุนนางทั้งคู่จะต้องแบ่งภาระและกำไรกันคนละครึ่ง

“แต่ว่ามัน”

“มีอะไรไม่พอใจอย่างงั้นเหรอ? เพื่อที่จะแก้ไขปัญหา ฉันถึงกับไปขอให้รองรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมายร่างสัญญาให้เชียวนะ”

“แต่ว่า……”

“พอได้แล้ว ไวเคานต์คาร์เนลลงนามไปเรียบร้อยแล้วด้วย”

ราชทูตที่บอกว่าไม่ต้องพูดอะไรไปมากกว่านี้แล้วให้รีบๆลงนามในสัญญาต่อบารอนที่กำลังสับสนและลำบากใจ ดูเหมือนอยากจะให้สัญญาจบลงอยู่

เกิดความเงียบขึ้น ราชทูตจ้องมองไปที่บารอน

“……ต้องขอโทษด้วยครับ แต่จู่ๆมาพูดอย่างนี้ ถ้าเป็นไปได้ขอตรวจสอบกับราชวงศ์อีกครั้งก่อนจะได้หรือเปล่าครับ?”

ในที่สุดบารอนก็เค้นคำพูดที่นึกออกมา

“ว่าไงนะ? จะไม่ลงนามในสัญญาที่ฉันอุตส่าหไปขอมาจากรองรัฐมนตรีเหรอ? ช่างเป็นบารอนที่วางก้ามซะเหลือเกินนะ”

“ปะ เปล่าครับ แค่อยากจะตรวจสอบอีกครั้งก่อนเท่านั้นเองครับ อยากจะไปตรวจสอบที่เมืองหลวงครับ”

“โห ไม่เชื่อในตัวฉันงั้นเหรอ ดูเหมือนพอขุดมิธริลเองได้แล้วทำตัวหยิ่งขึ้นนะ ก็ได้!”

แล้วราชทูตก็ยืนขึ้น และรีบเดินไปทางประตูทางออกอย่างไว คนสนิทอย่างไวเคานต์คาร์เนลก็ตามไปติดๆ พอพ่อบ้านจะตามไปก็โดนบอกว่าไม่ต้องมาส่งก่อนจะปิดประตูอย่างแรง

ราชทูตไม่อยู่ในห้องอาหารแล้ว บารอนทำการขว้างสัญญาที่อยู่ตรงหน้าทิ้ง

“สัญญาบ้าๆอย่างนี้ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว เซบาสเอ๋ย จะไปเมืองหลวง หัวหน้ากลุ่มอัศวินอีก 2 วันให้หลังสินะ?”

“ครับ ตอนนี้กำลังกลับมาจากเทือกเขามังกรขาว คิดว่าอีก 2 วันน่าจะมาถึงเมืองครับ”

เวลาที่เหมือนหยุดลงเพราะราชทูต เดินหน้าอีกครั้งตอนที่จะเริ่มตรวจสอบสถานการณ์ ดูเหมือนพอหัวหน้ากลุ่มอัศวินกลับมาแล้ว จะขึ้นเรือเหาะเวทมนตร์เพื่อมุ่งหน้าไปเมืองหลวง

แล้วก็สั่งให้ครอบครัวของบารอนและคนรับใช้แยกย้ายจากห้องอาหาร

หลังจากนั้นหลายชั่วโมง อเลนก็ทำงานในช่วงบ่าย ถึงจะบอกว่างาน แต่นอกจากงานเสิร์ฟแล้วแค่ไปช่วยงานที่คนไม่พอ ทั้งทำอาหาร ทำงานสวน งานซักล้างเองก็ทำ ส่วนวันนี้ใช้ผ้าเช็ดภาชนะเครื่องเงินที่ครอบครัวบารอนใช้รับประทานอาหาร

(ดูแลร่วมกันเหรอ ถึงจะฟังดูดี แต่น่ายุ่งยากนะเนี่ย)

นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ในระหว่างที่ใช้ผ้าเช็ดภาชนะเครื่องเงินให้สะอาด

ดูแลร่วมกัน แนวทางที่สงบสุข การแบ่งอย่างเท่าเทียมไม่ให้ขัดแย้ง

มีแต่คำพูดที่สวยหรูทำให้คิดว่าปฏิเสธได้ยาก ถ้าปฏิเสธจะโดนถามว่าปฏิเสธเพราอะไร อาจจะโดนใส่ร้ายว่าอยากจะยึดครองไว้คนเดียวก็ได้ คงคิดว่าถ้าไปที่เมืองหลวงอาจจะพอทำอะไรได้อยู่

ตอนนั้นเอง

เพล้ง

“ว้ายยยยย!!!”

เสียงกรีดร้องของผู้หญิงที่มาจากชั้นบนดังก้องไปทั่วคฤหาสน์