ตอนที่ 325 จิตใจที่แข็งแกร่งย่อมไม่เกรงกลัวสิ่งใด
เมื่อถูกซือเหลิ่งเย่ว์ถามเช่นนั้น ฉินหลิวซีก็ชะงักไป “แล้วไม่เหมือนกันตรงไหน ก็เป็นแค่ร้านหนึ่งร้านไม่ใช่หรือ”
ซือเหลิ่งเย่ว์ถึงกลับหัวเราะให้ความใสซื่อนี้ เมื่อมองดูใบหน้าที่สับสนของนางก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ นางเป็นคนที่ไม่ถือสาและมีความเห็นแก่ตัวเลยจริงๆ
“แน่นอนว่าร้านไม่ได้ผิดอะไร แต่การเปิดร้านทำกิจการ สำหรับผู้อื่นข้าไม่กล้ารับรองว่าร้านนั้นจะสามารถทำเงินได้ แต่ร้านของเจ้านี้จะสามารถทำเงินได้อย่างแน่นอน”
น้ำเสียงของซือเหลิ่งเย่ว์มั่นใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากว่าฉินหลิวซีก็มีความสามารถและมีชื่อเสียง คงไม่ใช่เรื่องเกินจริงหากจะบอกว่าร้านค้าสามารถทำกำไรได้โดยไม่ต้องมีเงินทุน
ฉินหลิวซีถูกชมเช่นนี้ก็อดเม้มฝีปากด้วยความภาคภูมิใจไม่ได้
ซือเหลิ่งเย่ว์อยากจะดุนาง “เมื่อร้านนี้ทำเงินได้ ค่อยๆ สะสมทีละเล็กทีละน้อย จากทรายกองเล็กๆ จนกลายเป็นเนินทราย กระทั่งเป็นทะเลทราย เช่นนั้นหลังจากนี้ไปเจ้าจะจัดสรรอย่างไร”
ฉินหลิวซีหุบยิ้มทันที
“บ้านใหญ่ของตระกูลฉิน บุตรชายและบุตรสาวที่นอกเหนือจากเจ้าแล้วตอนนี้ยังมีใครบ้าง” โนเวลพีดีเอฟ
ฉินหลิวซีนึกคิด เอ่ยตอบว่า “ยังมีพี่น้องอีกสองคน”
“ใช่แล้ว นอกจากเจ้าแล้วยังมีพี่น้องอีกสองคน ท่านพ่อของเจ้ายังหนุ่มยังแน่น ไม่แน่อาจจะมีพี่น้องเพิ่มมาอีก ในอนาคตพวกเขาก็จะกลับมาด้วย เติบโตมีครอบครัว จะเป็นไปได้หรือที่พวกเขาจะไม่มีความคิดเกี่ยวกับมรดกนี้” ซือเหลิ่งเย่ว์เสียงเย็นชา “หลิวซี เจ้าเป็นคนเสวียนเหมิน แม้ว่าในทางโลกเจ้าจะเป็นคุณหนูตระกูลขุนนาง แต่เมื่อคิดดูแล้วเจ้ายังไม่เคยได้เห็นกลอุบายหลอกลวงของคนตระกูลใหญ่ที่แท้จริง”
ที่ใดมีคนที่นั่นก็มีการแก่งแย่งต่อสู้กัน ในตระกูลใหญ่ก็เช่นกัน ทุกคนล้วนมีความเห็นแก่ตัว ตอนเด็กอาจจะเคยสนิทสนมกัน แต่เมื่อโตขึ้น ต่างคนต่างมีครอบครัว ยากที่จะไม่พิจารณาเพื่อครอบครัวเล็กๆ ของตัวเอง เพราะในครอบครัวเล็กๆ ไม่ได้มีแค่ตัวเองเพียงคนเดียว ยังมีภรรยาและบุตร ในภายภาคหน้าก็จะมีหลานด้วย
และมรดกขนาดใหญ่เช่นนี้ก็ย่อมกลายเป็นพายชิ้นใหญ่ที่มีกลิ่นหอม ใครๆ ก็อยากได้มันสักชิ้น
ฉินหลิวซีที่เป็นสตรีจะได้ส่วนแบ่งเท่าไหร่กัน แม้ว่าพายนี้นางจะอบด้วยมือของนางเองก็ตาม
เมื่อซือเหลิ่งเย่ว์เห็นนางมีสีหน้าปกติ จึงเอ่ย “ข้าไม่ได้จะยุยงให้เจ้ากับพี่น้องในครอบครัวไม่ลงรอยกัน เพียงแค่อยากบอกว่าทุกคนล้วนเห็นแก่ตัว ตอนนี้พวกเขาไม่มี แต่หลังจากมีครอบครัวแยกเรือนออกไป ก็ยากจะหลีกเลี่ยงผลกระทบได้ เช่นนั้นร้านนี้จะแบ่งอย่างไร”
“เจ้าหมายความว่าพวกเขาจะแย่งชิงร้านนี้หรือ”
“เมื่อมันกลายเป็นขุมสมบัติ ใครบ้างจะไม่อยากได้ ข้าเคยเห็นคนมากมายต่อสู้กันจนตายไปข้างหนึ่งเพื่อทรัพย์สินของตระกูล แม้ว่าจะเป็นพี่น้องกันแท้ๆ ก็ตาม” ซือเหลิ่งเย่ว์หัวเราะ “อีกอย่าง กิจการร้านนี้มีเจ้าเพียงคนเดียวที่ทำได้ หากในภายภาคหน้าเจ้าวางมือไม่ทำแล้ว กิจการนี้เป็นของครอบครัวในทางโลกของเจ้า ใครจะสามารถรับช่วงต่อได้”
“เจ้าพูดถึงประเด็นสำคัญเข้าแล้ว หากข้าวางมือแล้ว ก็ไม่ประโยชน์อะไรที่พวกเขาจะต่อสู้แย่งชิงกัน”
ซือเหลิ่งเย่ว์ “แล้วเงินที่สะสมไว้ก่อนหน้านี้ล่ะ”
ฉินหลิวซียิ้มเล็กน้อย “ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า เจ้าหมายความว่าเงินทำให้คนเกิดความโลภ นำมาซึ่งการต่อสู้กัน จากทะเลทรายก็จะกลายเป็นเพียงกองทราย แต่เจ้าคิดว่าข้าจะสนใจหรือ”
ซือเหลิ่งเย่ว์ชะงักไปครู่หนึ่ง
“ความจริงแล้ว เดิมทีข้าไม่เคยคิดจะทำกิจการ เพราะว่าค่อนข้างยุ่งยาก และข้าก็ไม่มีความอดทนที่จะทำสิ่งเหล่านี้ ร้านนี้เพียงแค่ได้มาเพราะความบังเอิญ และแม่ใหญ่ของข้าก็ให้เงินมาจำนวนหนึ่งพอดี ให้ข้าเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างไรก็ได้ จึงได้นำมาใช้กับสิ่งนี้ ภายใต้สถานการณ์ที่ตระกูลฉินต้องการใช้เงินไปเสียทุกเรื่อง แต่นางกลับมอบเงินให้ข้า เท่ากับว่านางเชื่อใจและต้องการพึ่งพิงข้า”
“บุตรในเรือนใหญ่จะว่าเยอะก็ไม่เยอะ มีเด็กเพียงสามคน บุตรชายภรรยาเอกคนโตก็ถูกเนรเทศ บุตรชายอนุก็เป็นเพียงเด็กน้อย นอกจากพึ่งพาบุตรสาวคนโตที่ไม่ได้อยู่ในทางโลกอย่างข้าแล้ว ยังจะสามารถฝากความหวังไว้ที่ใครได้อีก การที่นางเชื่อใจข้านับว่าเกินความคาดหมายของข้า เพราะด้วยเงินจำนวนนี้นางสามารถนำไปซื้อร้านเล็กๆ ด้วยตัวเองได้ ปล่อยให้เช่าก็จะได้รับค่าเช่า เก็บสะสมทีละเล็กทีละน้อย ก็สามารถหาเงินได้จนกว่าบุตรชายแท้ๆ ของนางจะกลับมา” ฉินหลิวซีมองไปยังซือเหลิ่งเย่ว์ เอ่ยต่อ “เจ้าว่ามีแม่ใหญ่ตระกูลไหนที่จะกล้าเช่นนี้ ในขณะที่ครอบครัวกำลังตกต่ำ ยังกล้าเชื่อใจบุตรสาวอนุที่ไม่ได้เกิดจากท้องของตัวเองอย่างสนิทใจ”
ซือเหลิ่งเย่ว์เลียริมฝีปาก “นางฉลาดมาก”
“ใช่แล้ว แม่ใหญ่ของข้าผู้นั้นฉลาดมากจริงๆ กล้าที่จะเดิมพันและมีความเด็ดขาด นางเชื่อใจข้า เช่นนั้นข้าก็จะจดจำความเชื่อใจของนาง เพียงแค่ร้านหนึ่งร้าน สำหรับข้าแล้ว ไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึง แม้ว่ามันจะเติบโตด้วยมือของข้า จากทรายเม็ดเล็กๆ กลายเป็นทะเลทราย ในภายภาคหน้าอาจจะถูกพวกเขาแบ่งแยกจนกลายเป็นเม็ดทราย แต่ข้าก็ไม่กลัว เพราะเป็นดั่งที่เจ้ากล่าว ร้านนี้มีเพียงข้าคนเดียวเท่านั้นที่สามารถทำให้ดำรงอยู่ได้ ในเมื่อข้าสามารถทำให้มันดำรงอยู่ได้ก็สามารถทำให้มันสลายไปได้ในทันทีเช่นกัน”
“เมื่อไม่มีร้านแล้ว หากข้าต้องการ ก็สามารถทำให้ฟื้นกลับคืนมาได้ใหม่อีกครั้ง หากพวกเขาทิ้งข้าไปแล้วจะได้อะไร หากต้องการทิ้งข้าจริงๆ ความสัมพันธ์นี้ก็จะถูกตัดขาดอย่างสมบูรณ์” ฉินหลิวซียิ้มอย่างไม่ใส่ใจพลางเอ่ย “ดังนั้นไม่ต้องห่วงที่ข้าตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่น ข้าเต็มใจ ชุดแต่งงานนี้ให้ไปแล้วก็แล้วไป หากไม่เต็มใจ อย่างมากข้าก็แค่หาวิธีใช้กรรไกรตัดมันจนขาดรุ่ย”
นี่คือความมั่นใจของนาง ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
เดิมทีฉินหลิวซีก็คิดว่าตัวเองไม่มีความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวอยู่แล้ว แต่ท่าทีของสะใภ้หวังกลับทำให้นางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง แต่ในภายภาคหน้าหากพี่น้องเหล่านั้นตัดขาดสายใยความอบอุ่นนี้เพื่อสมบัตินอกกาย แล้วนางจะทำอะไรได้
หากไม่มีพวกเขาแล้ว ด้วยความสามารถของนาง นางจะยังคงมีชีวิตอยู่อย่างอิสระ ส่วนคนที่ไม่รู้จักบุญคุณอย่างพวกเขา จะมีชีวิตที่ดีได้สักแค่ไหนกัน
คนที่มีความมั่นใจไม่เคยกลัวที่จะสูญเสีย
ซือเหลิ่งเย่ว์เงียบไปนาน จากนั้นก็หัวเราะเยาะตัวเอง “เป็นข้าเองที่ใจแคบ”
“เจ้าไม่ได้เป็นคนใจแคบ เพียงแต่เจ้าเห็นเรื่องเช่นนี้มามากจึงเป็นกังวลแทนข้าก็เท่านั้น ขอบใจเจ้า เหลิ่งเย่ว์” ฉินหลิวซีตบหลังมือนางเบาๆ
หัวใจของซือเหลิ่งเย่ว์อบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย ส่ายหน้าพลางเอ่ย “ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ในใจเจ้ารู้ดีอยู่แล้ว”
“จิตใจที่แข็งแกร่งย่อมไม่เกรงกลัวสิ่งใด”
ซือเหลิ่งเย่ว์ครุ่นคิดกับคำพูดนี้อยู่นาน ทันใดนั้นก็เอ่ยว่า “แล้วถ้าเจ้ามีบุตรล่ะ”
พรวด
ฉินหลิวซีพึ่งจะจิบชา จากนั้นชาก็พุ่งออกมาในทันที “ข้าจะมีบุตรไปทำไมกัน”
“ความสามารถและสายเลือดของเจ้าก็ต้องสืบทอดต่อไปไม่ใช่หรือ”
“ข้ามีศิษย์แล้ว ย่อมถ่ายทอดความรู้ทั้งหมดของข้าให้แก่เขา ส่วนสายเลือดข้าไม่ต้องการ” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อว่า “การให้กำเนิดบุตรเจ็บปวดราวกับถูกทุบเนื้อหักกระดูก ข้าจะไม่ทนกับความเจ็บปวดนี้เพราะสิ่งที่เรียกว่ามรดกทางสายเลือด”
ซือเหลิ่งเย่ว์ “เช่นนั้นการบำเพ็ญคู่ที่พูดถึงในอารามเต๋าของพวกเจ้าล่ะ เจ้าก็จะไม่แต่งหรือ”
“จุดประสงค์ของการบำเพ็ญคู่นั้นคืออะไร” ฉินหลิวซีถามกลับ
ใบหน้าของซือเหลิ่งเย่ว์ร้อนเล็กน้อย เอ่ยอย่างลังเลว่า “ไม่ได้บอกว่าการบำเพ็ญคู่จะทำให้ระดับการฝึกบำเพ็ญเพิ่มขึ้นหรือ”
ฉินหลิวซีจ้องนาง ทำเอาใบหน้าของนางแดงขึ้นเรื่อยๆ และเอาแต่ก้มหน้า จากนั้นก็เอ่ยว่า “เหลิ่งเย่ว์เข้าใจไม่น้อยเลย จะรับสมัครสามีแล้วหรือ”
ซือเหลิ่งเย่ว์กระแอม “ท่านพ่อข้าเตรียมไว้นานแล้ว”
เพียงแต่ตอนนี้นางไม่อยากได้แล้ว
ฉินหลิวซียิ้ม “ตระกูลซือเหลือเจ้าเพียงคนเดียว แน่นอนว่าไม่สามารถปล่อยให้สายเลือดสิ้นสุดได้ เลือกให้ดี เมื่อเลือกได้แล้วก็พามาให้ข้าดูด้วย ข้าจะช่วยทำนายให้เจ้าว่ามีวาสนาที่ดีต่อกันหรือไม่”
ซือเหลิ่งเย่ว์ยกมุมปากขึ้น ไม่ได้อะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับหัวข้อนี้อีก
ทันใดนั้นฉินหลิวซีก็นึกบางอย่างขึ้นได้จึงเอ่ย “จริงสิ ข้าได้ไปเยี่ยมท่านอาจารย์สืออวิ๋นที่วัดอวิ๋นหลิงในหนิงโจว เขามอบจดหมายแนะนำคนผู้หนึ่งให้ข้าหนึ่งฉบับ เป็นคนเผ่าพ่อมดตระกูลอู เมื่อถึงเวลาข้าจะไปพบเขาสักหน่อย ดูว่าคำสาปเลือดของเจ้านี้ พวกเขาพอจะรู้อะไรหรือไม่