ตอนที่ 176

My Disciples Are All Villains

นับตั้งแต่ที่ยู่ฉางตงออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าไป เขาก็ได้ท้าทายเหล่ายอดฝีมือมากมาหลายคนและไม่เคยที่จะต้องพ่ายแพ้แม้แต่เพียงครั้งเดียว

ไม่ว่าจะเป็นเฉินเหวินเจี๋ย หนึ่งในผู้คลั่งใคล้ดาบ หรือแม้แต่ยอดฝีมือผู้ที่มีพลังร่างอวตารดอกบัว 6-7 กลีบจากสำนักฝ่ายธรรมะเองต่างก็พ่ายแพ้ให้กับดาบเล่มนี้ ด้วยเหตุนี้เองชื่อของยู่ฉางตงจะได้เพิ่มสูงขึ้นจนอยู่อันดับที่ห้าของบัญชีดำ ถ้าหากเขาไม่ใช่หมาป่าเดียวดายจนป่านนี้อันดับของเขาจะต้องเพิ่มสูงมากขึ้นแล้ว

ไม่มีใครรู้ว่าพลังวรยุทธที่แท้จริงของยู่ฉางตงลึกล้ำขนาดไหน มีข่าวลือว่าพลังวรยุทธของเขามีพอๆ กับศิาย์คนแรกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างยู่เฉิงไห่

ทั้งสองคนได้เข้าร่วมศาลาปีศาจลอยฟ้าเป็นคนแรกๆ เพราะแบบนั้นทั้งสองคนจึงเป็นศิษย์อันแสนมีค่าสำหรับจีเทียนเด๋า พวกเขาได้สืบทอดพลังของจีเทียนเด๋าไปเต็มๆ นอกจากนี้ยังมีข่าวลืออีกว่าฝีมือของศิษย์ทั้งสองคนได้เหนือกว่าผู้เป็นอาจารย์ไปแล้ว

การต่อสู้ที่สร้างชื่อให้กับยู่ฉางตงมากที่สุดก็คงจะเป็นการต่อสู้ทางตอนเหนือของเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์

และด้วยสุดยอดเพลงดาบอย่างดาบตัดวิญญาณสามส่วนหวนกลับก็ทำให้เขามีชื่อเสียงมากขึ้นจนถึงทุกวันนี้

ภาพลวงตาและภาพจากโลกแห่งความจริงได้ทับซ้อนกันระหว่างที่ยู่ฉางตงเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว

สายตาของลั่วฉีซานเริ่มพร่ามัว ตัวเขากำลังรู้สึกเหมือนกับกำลังฝันไป การใช้แก่นแท้ดาบแห่งนรกของลั่วฉีซาจทำให้สภาพแวดล้อมในตอนนี้เหมาะคู่ต่อสู้ของเขาจะปลดปล่อยสุดยอดเพลงดาบออกมา

ในโลกแห่งยุทธภพ ถ้าหากคลื่นลูกใหญ่อย่างยอดฝีมือไม่เคลื่อนไหว ทุกอย่างก็จะปกติสุขดี แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คลื่นลูกใหญ่เคลื่อนไหว เมื่อนั้นจะต้องเกิดผลลัพธ์ที่แปรเปลี่ยนไป

ดวงตาของลั่วฉีซานเบิกกว้างขึ้น ตัวเขาได้ใช้พลังร่างอวตารแห่งร้อยวิถีเพื่อที่จะถอยกลับไปตามสัญชาตญาณ

แต่ถึงแบบนั้นภาพลวงตาทั้งสามก็ได้ปรากฏขึ้น มันเป็นภาพลวงตาที่มาจากทั้งทางซ้าย, ทางขวา และตรงกลาง

ดาบสีแดงที่ส่องแสงประกายระยิบระยับได้ตัดผ่านดาบพลังงานของลั่วฉีซานไปอย่างง่ายดาย…

แคล๊ง!

และเมื่อภาพลวงทั้งสามสามารถทำลายอาวุธของคู่ต่อสู้ได้มันก็หลอมรวมกันจนกลายเป็นหนึ่งเดียว

อาวุธระดับโลกขั้นสุดยอดได้ถูกทำลายไปเป็นส่วนๆ ด้วยฝีมือของดาบยืนยาว!

ในตอนนั้นแขนขวาของยู่ฉางตงได้เหยียดตรงในระหว่างที่ตัวเขากำลังพุ่งไปอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันชิ้นส่วนของดาบพลังงานทั้งสองชิ้นก็ได้ลอยไปในอากาศ ชิ้นส่วนของมันดูคล้ายกับเศษแก้วไร้ค่าอย่างไม่มีผิด

เสียงการต่อสู้หยุดลงอย่างกะทันหัน

ระยะเวลาการต่อสู้แทบที่จะไม่เพียงพอที่จะทำให้น้ำในกาต้มน้ำเย็นลงซะด้วยซ้ำ ผลการต่อสู้ได้ออกมาแล้ว

เหล่าศิษย์สาวกที่อยู่บนแท่นบูชาแห่งดาบต่างก็กลั้นหายใจ ในเวลานี้ดูเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างกำลังจะหยุดนิ่ง เหล่าศิษย์สาวกต่างก็มองตามการต่อสู้ไม่ทัน ทุกสายตาในตอนนี้จับจ้องไปที่ผู้ที่เป็นอาจารย์ของพวกเขาอย่างลั่วฉีซาน

ดวงตาของลั่วฉีซานเบิกกว้างก่อนที่จะจ้องไปยังดาบสีแดงที่อยู่ตรงหน้า ปลายดาบในตอนนี้อยู่บนหน้าผากของเขาเป็นที่เรียบร้อย แต่ถึงแบบนั้นลั่วฉีซานก็ยังไม่ถูกแทงเข้า

นี่คือการใช้ดาบอย่างคล่องแคล่วของยู่ฉางตง ตัวเขาสามารถใช้ดาบได้อย่างแม่นยำ เพียงแค่ขยับอีกนิดเดียวเท่านั้น ตัวเขาก็จะสามารถพรากชีวิตของลั่วฉีซานไปได้อย่างง่ายดาย

ไม่มีใครรู้ว่ายู่ฉางตงในตอนนี้กำลังที่จะทำอะไร ไม่มีใครสามารถเข้าใจตัวเขาได้เลย

ลั่วฉีซานในตอนนี้ทำได้เพียงจ้องมองไปยังยู่ฉางตงที่กำลังยิ้มอย่างน่ากลัว ‘ความแตกต่างระหว่างพลังมีมากเกินไป…‘ ลั่วฉีซานไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นได้เลย พวกเขาทั้งสองคนมีพลังที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

แม้แต่นักบุญแห่งดาบลั่วฉีซานเองก็ยังไม่อาจที่จะต้านทานการโจมตีจากดาบปีศาจได้แม้แต่ครั้งเดียว…ถ้าหากโลกยุทธภพรู้เรื่องนี้เข้า เหล่าผู้ฝึกยุทธจะจัดอันดับความแข็งแกร่งของเขาได้อย่างไรกัน?

นักบุญเป็นเพียงฉายาที่ใช้เรียกผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาทั่วๆ ไป

ภายใต้ท้องฟ้าของยุทธภพแห่งนี้ผู้ที่มีฉายาว่านักบุญ แม้แต่เจ้าสำนักจากสำนักต่างๆ เองก้จะต้องให้ความเคารพ…

นักบุญแห่งดาบจึงเป็นฉายาที่เปรียบได้ดั่งคำชมว่าลั่วฉีซานคนนี้เป็นผู้ที่มีความสามารถในการใช้ดาบอย่างแท้จริง

แม้แต่พี่ชายคนโตของเขาอย่างลั่วฉางชิงหนึ่งในสามผู้คลั่งใคล้แห่งดาบยังไม่ได้รับสมญานามนี้

แต่ถึงแม้ว่าจะได้รับสมญานามที่สูงส่งสักแค่ไหน สุดท้ายแล้วเขาก็ถูกดาบปีศาจเอาชนะได้ด้วยเพลงดาบเพียงกระบวนท่าเดียว นี่ถือเป็นการสร้างบาดแผลทางจิตใจครั้งใหญ่ของลั่วฉีซาน ถ้าหากตัวเขาจะได้อยู่ต่อไปจริงๆ ลั่วฉีซานจะมีชีวิตอยู่ต่อได้อย่างไรกัน?

หลังจากที่เงียบอยู่นาน ในที่สุดลั่วฉีซานก้ได้เอ่ยปากถามขึ้นมาซะก่อน “ทำไมเจ้าไม่ฆ่าข้า?”

ทุกๆ คนรู้วิถีที่ดาบปีศาจทำมาโดยตลอด เมื่อใดก็ตามที่เขาบอกจะสังหารใคร คนคนนั้นก็จะถูกสังหาร ไม่สำคัญเลยว่าเป้าหมายของเขาจะอยู่ที่ไหน ยู่ฉางตงคนนี้ก็จะไล่ล่าพวกเขาไปยังสุดขอบโลก แต่ครั้งนี้ตัวเขากลับเลือกที่จะไม่ทำให้ดาบเปื้อนเลือดแทน

ยู่ฉางตงชักดาบกลับไป ในตอนนั้นเองดาบยืนยาวก็ได้ลอยกลัยไปยังฝักที่หลังดั่งเดิม

“ถ้าหากข้าได้ทำลงไปจริงๆ เจ้าก็คงจะเป็นดวงวิญญาณอีกดวงหนึ่งที่จะต้องตายเพราะดาบของข้า แต่ว่า…” น้ำเสียงของยู่ฉางตงเปลี่ยนไป น้ำเสียงของเขากลับไปฟังนุ่มนวลและอ่อนโยนอีกครั้ง “ครั้งนี้ข้าจะไว้ชี้วิตเจ้า”

‘ไว้ชีวิตอย่างงั้นหรอ?’ ลั่วฉีซานไม่เข้าใจเลยว่ายู่ฉางตงหมายความว่าอะไร

เหล่าศิษย์สาวกที่ได้ฟังแบบนั้นต่างก็ตกตะลึง เจ้านายที่พวกเขาเคารพในความสามารถมาโดยตลอดในตอนนี้ได้พ่ายแพ้ให้กับคู่ต่อสู้ด้วยเพลงดาบเดียว เพราะแบบนั้นจะทำให้พวกเขาไม่รู้สึกตกใจได้ยังไงกัน? เหล่าศิษย์สาวกทั้งหลายต่างก็คุกเข่าอย่างหมดแรงเมื่อได้เห็นแบบนั้น

ด้วยระยะทางที่ไกลห่างทำให้เหล่าศิษย์สาวกมองเห็นแค่เพียงยู่ฉางตงที่กำลังลอยอยู่ต่อหน้าอาจารย์ของพวกเขา ยู่ฉางตงในตอนนี้กำลังกอดอกราวกับว่าพวกเขาทั้งสองเป็นเพื่อนที่กำลังสนทนาการ และเพราะระยะทางที่ห่างกันไกลทำให้เหล่าสาวกไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขากำลังจะพูดเลย

ลั่วฉีซานได้ถามออกมาอย่างสับสน “ทำไมกันล่ะ?”

“เจ้ามีเพียงแค่สองทางเลือกเท่านั้น” ยู่ฉางตงได้พูดต่อไป “ทางเลือกแรกชีวิตของเจ้าจะต้องแลกกับดอกแมกโนเลียสีดำ ทางเลือกที่สองเจ้ามีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธทางเลือกแรก แต่ในอีก 3 วันให้หลังข้าจะมาจัดการเจ้าทีหลัง ข้าน่ะเคารพการตัดสินใจของคู่ต่อสู้เสมอ”

“…”

คำพูดของยู่ฉางตงฟังดูสมเหตุสมผลมาก ลั่วฉีซานเองไม่สามารถเลือกอะไรได้ ตัวเขารู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง หลังจากนั้นเขาก็ได้ขมวดคิ้วก่อนที่จะพูดขึ้น “ดอกแมกโนเลียสีดำถือว่าเป็นสมบัติล้ำค่า แม้แต่ผู้ที่ถูกทำลายจุดตันเถียนไปยังสามารถใช้ของสิ่งนี้เพื่อฟื้นฟูจุดตันเถียนได้ ดาบปีศาจ เจ้าต้องการอะไรกันแน่?”

ด้วยพลังวรยุทธที่ยู่ฉางตงมีมันแข็งแกร่งจนเหนือคำอธิบายใดๆ

ลั่วฉีซานได้คาดการณ์เอาไว้ การที่ยู่ฉางตงอยากที่จะได้ดอกแมกโนเลียสีดำแบบนี้เป็นเพราะว่าตัวเขาจะเก็บมันเอาไว้รักษาชีวิตของตัวเองถ้าหากเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่งในภายภาคหน้า

ยู่ฉางตงยิ้มให้ก่อนที่จะพูดขึ้น “เจ้าน่ะเข้าใจผิดอีกแล้วนะ”

“หะ?”

“ข้าน่ะมีศิษย์น้องอยู่คนหนึ่ง นางมีชื่อว่าซีหยวนเอ๋อ นางน่ะทั้งใสซื่อ บริสทุธิ์ และยังไร้เดียงสาอีกด้วย แต่ถึงแบบนั้นนางก็ยังอ่อนโยนกับผู้อื่น ข้าจะนำดอกแมกโนเลียสีดำอันนั้นไปมอบให้กับนาง” ยู่ฉางตงได้หันหลังกลับไปมองทิศที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าตั้งอยู่

แสงแดดของวันได้ส่องทะลุม่านหมอก และเพราะแบบนั้นเองแสงจึงหักเหจนกลายเป็นรุ้งไปในที่สุด รุ้งทั้งหมดอยู่ที่หลังของยู่ฉางตงนั่นเอง

‘ศิษย์น้อง? ซีหยวนเอ๋อผู้อ่อนโยน?’

“มีอะไรบางอย่างที่ข้ายังไม่เข้าใจ” ลั่วฉีซานได้พูดขึ้น

“ได้โปรดพูดมาเถอะ” ยู่ฉางตงได้พูดออกไปอย่างอ่อนโยน

“ตั้งแต่ที่เจ้าออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าไปแล้ว เจ้าก็ไม่ใช่ศิษย์ของที่นั่นอีกต่อไป แล้วเหตุใดกันเจ้าถึงต้องการที่จะยื่นมือเพื่อช่วยนาง?”

“ช่วยอย่างงั้นหรอ?” ยู่ฉางตงได้ส่ายหัวให้พร้อมกับรอยยิ้มจางๆ “ลั่วฉีซาน การที่ข้าจะช่วยไม่ช่วยมันเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้ากัน?”

ลั่วฉีซานถึงกับตกตะลึง แต่ถึงแบบนั้นเขาก็แสดงสีหน้าออกไปไม่ได้ ‘ก็จริงอยู่ว่าข้าไม่เกี่ยว ยังไงข้าก็ได้พ่ายแพ้ให้กับเจ้านี่‘

“พวกเราน่ะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้จบ ข้าก็รู้ได้ทันทีว่าเจ้าน่ะไม่ใช่คนชั่ว ทำไมเจ้าถึงยังเลือกที่จะเป็นศิษย์ของมหาวายร้ายคนนั้นจนถูกทุกคนดูถูกแบบนี้ได้?” ลั่วฉีซานไม่เข้าใจเลยจริงๆ

การแสดงออกของยู่ฉางตงเปลี่ยนไป “เจ้าจะทำให้ข้าเปลี่ยนใจอย่างงั้นหรอ?”

“เอ่อ…” ลั่วฉีซานรู้สึกอึดอัดใจ

“ข้ายังจำได้ดีว่าใครกันที่พูดแบบนั้นกับข้าครั้งล่าสุด เขาคนนั้นก็คือกงหมิงยังไงล่ะ”

‘กงหมิง? ยอดฝีมือจากวิหารแห่งความว่างเปล่ากงหมิง!‘ ลั่วฉีซานถึงกับตกใจ ว่ากันว่ายอดฝีมือจากวิหารแห่งความว่างเปล่ากงหมิงได้ตายไปด้วยเงื่อมมือของศิษย์คนที่ห้า จ้าวยู่ ลั่วฉีซานไม่คิดมาก่อนเลยว่าผู้ที่จะกระทำความผิดที่แท้จริงก็คือดาบปีซาจ ยู่ฉางตงคนนี้

แต่ถึงแบบนั้นมันก็สมเหตุสมผลแล้ว กงหมิงเป็นยอดฝีมือชั้นสูงของวิหารแห่งความว่างเปล่า การที่จ้าวยู่จะฆ่ากงหมิงด้วยวรยุทธเพียงแค่นั้นได้เป็นอะไรที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่นั่นก็ไม่สำคัญอีกต่อไป…ไม่ว่าฆาตกรจะเป็นใครท้ายที่สุดแล้วทุกคนก็จะโทษศาลาปีศาจลอยฟ้าอยู่ดี

ยู่ฉางตงได้พูดต่อไป “อย่าเดินตามรอยกงหมิงจะดีกว่านะ…”

ลั่วฉีซานอยากที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อไตร่ตรองให้ดี เขาก็คงไม่อาจที่จะเปลี่ยนชายคนนี้ได้ แม้แต่กงหมิงจากวิหารแห่งความว่างเปล่าเองยังไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเขาได้ เพราะแบบนั้นแล้วคำพูดของลั่วฉีซานก็คงจะไม่ได้ผลเช่นกัน

ลั่วฉีซานมองไปที่ชายที่อยู่ตรงหน้าของตัวเอง มันยากสำหรับเขาที่จะคิดว่าชายคนนี้คือดาบปีศาจ

ยู่ฉางตงได้ลอยจากไปพร้อมกับกอดอกอยู่ “ข้าน่ะยึดมั่นในวิถีของข้ามาโดยตลอด เพราะแบบนั้นในเมื่อโอกาสมาถึงเจ้า เจ้าก็คงจะถนอมมันไว้จะดีกว่า”