ตอนที่ 328 สะใภ้หวัง ‘ผู้ที่เป็นภาระสมควรถูกโกรธ’

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 328 สะใภ้หวัง ‘ผู้ที่เป็นภาระสมควรถูกโกรธ’

ตอนที่ฉินหลิวซีบอกว่าจะย้ายออกไป เห็นได้ชัดว่าแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้มีน้ำเสียงโกรธแต่อย่างใด แต่ทุกคน โดยเฉพาะคนรุ่นเล็ก กลับรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว

ซ่งอวี่ฉิงดึงมือน้องสาวแทบขดตัวไปข้างหลัง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ

ในตอนแรกฉินหมิงเย่ว์ยังรู้สึกภาคภูมิใจ แต่เมื่อเห็นท่านย่าเอ่ยอย่างรุนแรงเช่นนี้ ก็ตกใจจนตัวแข็งทื่อ

ส่วนสะใภ้หวังและสะใภ้เซี่ย เมื่อเห็นนางฉินผู้เฒ่าเอ่ยรุนแรงเช่นนี้ จึงก้าวไปข้างหน้าพลางเอ่ยขออภัย “ท่านแม่อย่าโกรธไปเลยเจ้าค่ะ”

นางฉินผู้เฒ่าสีหน้านิ่ง

หญิงชราผู้นั้นเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มพลางก้าวไปข้างหน้า เอ่ยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าอย่าได้เอ่ยคำอัปมงคลเช่นนี้เด็ดขาด ฮูหยินยังต้องพาคุณชายน้อยมาโขกศีรษะคารวะท่านในภายภาคหน้านะเจ้าคะ”

เมื่อนางฉินผู้เฒ่าได้ยินนางพูดถึงบุตรสาวคนเล็กและหลานชายในอนาคตก็มีสีหน้าสดใสขึ้นมา

หญิงชราคำนับฉินหลิวซี เอ่ย “ท่านนี้คงจะเป็นคุณหนูใหญ่กระมัง บ่าวคารวะท่านเจ้าค่ะ”

ฉินหลิวซีเหลือบมองนาง พยักหน้าเล็กน้อย เอ่ยกับนางฉินผู้เฒ่าว่า “หากเมื่อไม่มีเรื่องใดแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”

เมื่อหญิงชราเห็นว่านางไม่ได้ถามว่าตัวเองมาจากไหนและไม่ได้ถามสารทุกข์สุขดิบถึงฉินอิงเหนียงที่อยู่ตงเป่ย รอยยิ้มจึงแข็งทื่อเล็กน้อย มีร่องรอยความอึดอัดและความไม่พอใจปรากฏขึ้นในดวงตา

เมื่อนางฉินผู้เฒ่าเห็นฉินหลิวซีก็รู้สึกปวดหัว เอ่ยว่า “ขาของเจ้าได้รับบาดเจ็บ ไปพักผ่อนเถิด”

ฉินหลิวซีรับคำ จากนั้นก็คารวะสะใภ้หวังแล้วจากไปพร้อมกับศิษย์ทั้งสอง

ทำให้ปลาจำนวนมากในบ่อกระโดดไปมาจนวุ่นวาย จากนั้นก็สะบัดก้นหนี แม้แต่อาหารปลาก็ไม่ให้แม้แต่นิดเดียว!

ท่าทางที่แข็งกร้าวของฉินหลิวซีได้สร้างการจดจำให้แก่หญิงชรา ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

บ้าบิ่นเสียจริง

นางมองไปยังนางฉินผู้เฒ่า แสร้งทำเป็นเอ่ยเกลี่ยกล่อมว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าอย่างได้ใส่ใจ คุณหนูใหญ่ไม่มีผู้อาวุโสคอยอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่เล็ก หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะอารมณ์ร้อน ค่อยๆ สอนไปเดี๋ยวก็ดีขึ้นเจ้าค่ะ”

สะใภ้หวังเหลือบมอง คิดว่าเรื่องยังไม่ใหญ่พอจึงได้ปลุกไฟให้ลุกขึ้นมาหรือ

คนอะไร

สะใภ้เซี่ยเอ่ยพึมพำว่า “ไม่ใช่ว่าค่อนข้างอารมณ์ร้อน แต่ราวกับดินปืนต่างหาก ไปสะกิดเพียงนิดเดียวก็ระเบิด”

สะใภ้หวังอดไม่ได้ เอ่ยเย้ยหยันว่า “หากไม่ใช่คนอารมณ์ร้อน ก็คงไม่ได้รับคำชมจากหัวหน้าสำนักถัง จนสามารถผูกมิตรข้ามรุ่นได้หรอกกระมัง”

สะใภ้เซี่ยสำลักอีกครั้ง ท่าทางน้อยใจ

อย่าคิดว่านางฟังไม่ออก นี่เป็นการเตือนนางทางอ้อมว่าบุตรชายของนางสามารถเรียนที่สำนักศึกษาจือเหอได้เป็นเพราะบุญคุณของฉินหลิวซี หากทำให้ฉินหลิวซีขุ่นเคืองก็อย่าหวังว่าจะมีเรื่องดี

สะใภ้เซี่ยน้อยใจก็ส่วนน้อยใจ นางรู้ถึงประโยชน์และโทษ จึงไม่กล้าเอ่ยอะไร

เมื่อสะใภ้หวังเห็นว่านางเลิกโต้แย้ง ความโกรธจึงบรรเทาลง

หลายวันมานี้ต้องออกนอกจวนเพราะเรื่องร้าน ได้เห็นความเย็นชาและอบอุ่นของจิตใจคน นางจึงยิ่งรู้สึกว่าการที่สตรีเปิดเผยตัวตนในที่สาธารณะนั้นไม่ง่ายเลย ยิ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ดังนั้นหลายปีมานี้ฉินหลิวซีผ่านมาได้อย่างไร นางไม่กล้าคิด

ส่วนคนอย่างสะใภ้เซี่ย อยู่ในบ้านอย่างปลอดภัยไม่รู้ถึงลมฝน ปากเอาแต่เอ่ยเรื่องกำไรและขาดทุนของตัวเองเท่านั้น ซึ่งทำให้นางรู้สึกโกรธ

สะใภ้หวังจงใจไม่ดูสีหน้าของนางฉินผู้เฒ่า ครอบครัวตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเช่นนี้ บรรดาบุรุษก็ไม่อยู่ อาศัยสตรีอย่างพวกนางหาเลี้ยงชีพอยู่ข้างนอก หากนางฉินผู้เฒ่ายังไม่เข้มงวดเช่นนี้ ปล่อยให้สะใภ้เซี่ยและคนอื่นๆ เป็นภาระ เช่นนั้นก็อย่าโทษที่นางอกตัญญู

เนื่องจากการมาของฉินหลิวซี บรรยากาศแต่เดิมที่ร่าเริงมีความสุข กลายเป็นบรรยากาศแปลกๆ และหม่นหมองไปในทันที

เมื่อนางฉินผู้เฒ่าเห็นว่าสะใภ้ใหญ่ไม่ยอมลดลาวาศอกก็ยิ่งรู้สึกหดหู่ใจ จึงหมดอารมณ์ที่จะหยอกล้อกับพวกนาง โบกมือพลางเอ่ยว่า “ไปทำธุระของพวกเจ้าเถิด ให้แม่บ้านฟางอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนข้าก็พอแล้ว”

สะใภ้หวังยืนขึ้นโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ โค้งคำนับแล้วจากไป นางยังต้องคุยกับฉินหลิวซี จะให้เด็กคนนี้ย้ายออกไปไม่ได้ มิเช่นนั้นความสัมพันธ์จะยิ่งเปราะบาง

เมื่อสะใภ้เซี่ยเห็นว่านางไม่ได้มีท่าทีจะเอ่ยลาตัวเองด้วยซ้ำ จึงจากไปด้วยความโกรธ

เด็กรุ่นเล็กไม่กี่คนที่เหลืออยู่ต่างมองหน้ากัน

ฉินหมิงเย่ว์เอ่ย “พวกเจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าพี่หญิงใหญ่เห็นว่าเราขัดหูขัดตามากขึ้นเรื่อยๆ อารมณ์ก็ร้อนขึ้น”

ฉินหมิงซินบุ้ยปากพลางเอ่ย “นางเคยเห็นพวกเราในสายตาเสียเมื่อไหร่กัน แทบจะหวังว่าพวกเราจะไม่ปรากฏตัว”

ฉินหมิงเย่ว์มองไปยังซ่งอวี่ฉิงและน้องสาว อยากให้พวกนางอยู่ฝ่ายเดียวกัน

ซ่งอวี่ฉิงฝืนยิ้ม เอ่ย “อาจเป็นเพราะพี่หญิงหลิวซีขาบาดเจ็บอยู่จึงอารมณ์ไม่ดี จริงสิ ข้ามีลวดลายปักใหม่ น้องหญิงทั้งสองเต็มใจช่วยข้าดูหรือไม่”

ฉินหมิงเย่ว์ด่าว่านางไม่มีจุดยืน

ฉินหลิวซีพาศิษย์ทั้งสองเดินออกมา หลังจากเดินมาไกลแล้วจึงได้สังเกตเห็นว่าเด็กทั้งสองมีสีหน้าตึงเครียด โดยเฉพาะเถิงเจาที่ตึงเครียดไปทั้งร่างกาย

“เป็นอะไรหรือ”

“น่ารำคาญ” เถิงเจาขมวดคิ้วด้วยความโกรธ นอกจากสะใภ้หวังแล้ว เขาไม่ชอบสตรีเหล่านั้นเลยแม้แต่คนเดียว โดยเฉพาะหญิงชราผู้นั้น เขาไม่ชอบกลิ่นบนตัวของนาง

ใกล้จะลงโลงแล้ว ยังปากคอเราะร้าย ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายใจ

วั่งชวนก็เอ่ยด้วยสีหน้าเครียดเล็กน้อย “ท่านอาจารย์ พวกนางไม่ชอบพวกเราหรือเจ้าคะ”

นางยังเด็ก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจคำพูดของผู้อื่น ท่านอาสะใภ้สองของท่านอาจารย์ผู้นั้น ดูเหมือนจะรู้สึกว่าพวกเขาเป็นภาระและกินเปลือง

เมื่อวั่งชวนคิดได้เช่นนี้ก็เอียงศีรษะพลางเอ่ย “ท่านอาจารย์ ข้ากินข้าวเพียงครึ่งชามเล็กๆ ได้”

ฉินหลิวซีหัวเราะ ลูบศีรษะนาง เอ่ยว่า “ไม่ได้ ครึ่งถ้วยเล็กจะเลี้ยงไม่โต พวกเจ้าต้องกินข้าวหนึ่งชามทุกมื้อ ซ้ำยังต้องกินเนื้อและดื่มน้ำแกงบำรุง ดูแลร่างกายให้แข็งแรง เพราะหลังจากนี้ไปพวกเจ้าจะต้องเรียนรู้และออกไปบำเพ็ญประโยชน์ช่วยเหลือใต้หล้า ล้วนต้องใช้แรงทั้งนั้น”

“เจ้าค่ะ”

ฉินหลิวซีเห็นว่าเถิงเจายังคงมีสีหน้าเครียด ยื่นมือออกไปกดที่หว่างคิ้วของเขา “เจาเจา ไม่ต้องสนใจพวกนาง เจ้าเพียงแค่ดูการกระทำของอาจารย์เจ้าก็พอแล้ว อาจารย์จะไม่ให้พวกเจ้าและพวกเขาติดต่อกันมากเกินไป”

หว่างคิ้วของเถิงเจาจึงผ่อนคลายลง

กลุ่มคนทั้งหมดเดินกลับไปที่เรือนปีก ยังไม่ทันนั่งลง สะใภ้หวังก็ตามมาถึง

ฉินหลิวซีให้ฉีหวงพาเด็กทั้งสองคนไปทำความคุ้นเคยกับที่อยู่ของตัวเอง ส่วนนางก็เชิญสะใภ้หวังไปนั่งลงและพูดคุยกัน

สะใภ้หวังจ้องนาง “เจ้าอย่าใช้อารมณ์นัก เจ้าบอกกับแม่มาตามตรง ที่บอกว่าย้ายออกไป เพียงแค่ล้อเล่นใช่หรือไม่”

“ไม่ใช่เช่นนั้น ข้ามีความคิดนี้จริงๆ”

ทันใดนั้นสีหน้าของสะใภ้หวังก็เปลี่ยนไป ริมฝีปากขยับ มือกำหมัดแน่น เอ่ยว่า “เป็นเพราะพวกเรากลับมาแล้ว ในบ้านมีคนมากมาย ดังนั้นจึงอึดอัดงั้นหรือ”

เมื่อฉินหลิวซีเห็นสีหน้าเจ็บปวดของนาง คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ “ไม่ใช่ว่าข้ารังเกียจพวกท่าน เพียงแต่ข้าไม่ค่อยชิน อย่างไรเสียสิบปีมานี้ข้าก็อยู่คนเดียวจนชินแล้ว จู่ๆ ก็มีกฎเกณฑ์ทางโลกมากขึ้น จึงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เชื่อว่าฮูหยินผู้เฒ่าและพวกนางก็เป็นเช่นกัน คงจะสบายกว่าหากไม่มีข้า เมื่อครู่นี้ท่านแม่ก็คงเห็นแล้ว”

เมื่อสะใภ้หวังได้ฟังก็ยิ่งเสียใจกว่าเดิม น้ำตาไหลเอ่อ เอ่ยสะอึกสะอื้นว่า “เป็นพวกเราที่ไม่ดีเอง”

“ท่านอย่าเป็นเช่นนี้ ข้าก็เพียงแค่ลองคิดดู ไม่ได้จะย้ายออกไปจริงๆ สักหน่อย ท่านไม่อยากให้ข้าย้าย ข้าก็จะไม่ย้ายแล้ว อย่างไรเสียก็จะเชื่อมต่อระหว่างเรือนนี้กับเรือนด้านข้าง จากนั้นก็ปิดประตูไว้ เข้าออกทางเรือนปีกก็ได้เช่นกัน”

ฉินหลิวซียื่นผ้าเช็ดหน้าให้ “ท่านเช็ดน้ำตาเถิดเจ้าค่ะ”

“จริงหรือ” สะใภ้หวังรีบเช็ดน้ำตาอย่างลวกๆ เอ่ยว่า “ทางที่ดีเจ้าอย่าได้เอ่ยเพื่อปลอบข้า”

“จริงเจ้าค่ะ ข้าเจอพวกนางให้น้อยลงก็พอแล้ว”

เมื่อได้ยินดังนั้นสะใภ้หวังก็ยิ้มออก ถอนหายใจด้วยความโล่งอกพลางเอ่ย “เช่นนั้นก็ดี เจ้าวางใจเถิด เรือนนี้เจ้าขยายได้ตามต้องการ อยากสร้างห้องครัวขนาดเล็กก็สร้าง หากคนไม่พอก็เชิญแม่ครัวกลับมา ขอเพียงแค่เจ้าอยู่ก็พอแล้ว”

ฉินหลิวซีรู้สึกแปลกๆ ในใจ “ท่านไปเจอเรื่องอะไรมาหรือเจ้าคะ”