ตอนที่ 252 พบเจอ(1)

เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินเจี้ยนเซ่อก็รู้สึกว่าสมควรไป

แต่ซูหว่านอี๋กลับลังเลนิดหน่อย “พวกเราจะไปปักกิ่งกันหมดเลยเหรอ มันจะฟุ่มเฟือยเกินไปหรือเปล่า เดี๋ยวให้เคอวั่งไปกับพวกลูกก็ได้”

ฉินเคอวั่งได้ยินเช่นนี้ก็หันมองแม่ตัวเองอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะพูดขึ้น “แม่ครับ แม่กับพ่อไปด้วยกันเถอะครับ ก่อนเปิดเทอมทั้งครอบครัวจะได้ไปลองเดินเล่นในเมืองหลวงกัน”

“ใช่แล้วหว่านอี๋ มู่หลานกับเคอวั่งก็ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยกันแล้ว นี่ถือเป็นเรื่องดี พวกเราไปเที่ยวปักกิ่งด้วยกันเถอะ จะได้ไปส่งสองพี่น้องลงทะเบียนเข้าเรียนมหาวิทยาลัยด้วย แบบนี้ไม่ดีเหรอ”

ฉินมู่หลานแอบทราบอยู่ลึก ๆ ว่าที่แม่ไม่อยากไปปักกิ่งบางทีอาจจะเกี่ยวกับตระกูลเซี่ย หรืออาจจะเป็นเพราะไม่อยากพบเจอคนรู้จัก แต่เธอกับเคอวั่งไปเมืองหลวงเพื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากนั้นก็จะต้องอยู่ที่นั่นต่อ เพราะฉะนั้นเธอจึงรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่ซูหว่านอี๋จะไม่โผล่ไปที่เมืองหลวง

“แม่ ในเมื่อพวกเราทุกคนอยากจะไปปักกิ่ง แม่ก็ไปด้วยกันเถอะ แม่ไม่อยากไปดูหนูกับเคอวั่งลงทะเบียนเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเหรอคะ?”

“ไม่ใช่แบบนั้นอยู่แล้ว”

ซูหว่านอี๋ส่ายหัวปฏิเสธทันที หล่อนอยากไปส่งลูกสาวกับลูกชายไปลงทะเบียนเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่ปักกิ่งเหลือเกิน แต่ก็กลัวว่าจะได้พบคนที่ไม่อยากเจอด้วยเช่นกัน

เหยาจิ้งจือได้ยินเช่นนี้ ก็เอ่ยถามด้วยความสงสัยนิดหน่อย “ในเมื่อใจจริงแล้วอยากไป ถ้าอย่างนั้นก็ไปด้วยกันเนี่ยแหละดีแล้ว”

ฉินมู่หลานยกยิ้มแล้วจับมือซูหว่านอี๋ก่อนจะเอ่ย “ใช่ค่ะแม่ ไปด้วยกันดีแล้ว แม่จะไม่ไปปักกิ่งตลอดทั้งชีวิตเลยก็ไม่ได้หรอกไหม ถึงยังไงเคอวั่งกับหนูก็ยังต้องอยู่เรียนที่ปักกิ่งอีกตั้งสองสามปี”

“แม่ ไปด้วยกันเถอะครับ”

ฉินเคอวั่งยังคงเอ่ยคะยั้นคะยอต่อไป

ซูหว่านอี๋เห็นแบบนี้ ก็ไม่ได้พูดอะไร และพยักหน้าก่อนจะเอ่ย “ได้ ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปปักกิ่งด้วยกันเถอะ”

“ดีจังเลย”

ฉินเคอวั่งดีใจมาก แววตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

เมื่อเห็นลูกชายมีท่าทางแบบนี้ บนใบหน้าของซูหว่านอี๋ก็ปรากฏรอยยิ้มเหมือนกัน ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าตัวเองยอมไปปักกิ่งก็ได้ หากมันทำให้พวกลูกสาวมีความสุข เช่นนั้นก็คุ้มค่า

หวังจาวตี้กับซ่งอวี้เฟิ่งยืนมองอยู่ข้าง ๆ ด้วยความอิจฉา พวกหล่อนเคยไปไกลสุดแค่ในเมืองเท่านั้น เคยได้แต่ฟังเรื่องราวที่ปักกิ่ง แต่ตอนนี้อารองกับอาสะใภ้รองจะได้ไปที่ปักกิ่งแล้ว

แม้แต่ฉินเคอเหล่ยกับฉินเคอเจี๋ยที่อยู่ข้าง ๆ ก็อดมองฉินเจี้ยนเซ่อแล้วพูดขึ้นมาไม่ได้ “อารองครับ ถ้ากลับมาแล้วอย่าลืมซื้ออาหารพิเศษจากปักกิ่งมาฝากพวกเราด้วยนะครับ”

ฉินเจี้ยนเซ่อได้ยินเช่นนี้ก็ยกยิ้มแล้วเอ่ย “ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวกลับมาแล้วจะซื้อของอร่อย ๆ มาฝากทุกคนเลย”

ซุนฮุ่ยหงเพิ่งโดนคนในครอบครัวดุ ตอนนี้ก็ยังรู้สึกทนไม่ไหวจนต้องพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ถ้าไปเมืองหลวงกันทั้งครอบครัว ก็คงใช้เงินเยอะมากเลยนะ”

หลิวชุ่ยฮวาได้ยินเช่นนี้ ก็จ้องมองลูกสะใภ้คนโตก่อนจะเอ่ย “ทำไมเธอจะต้องยุ่งไปทุกเรื่องเลย ในเมื่อพวกเจี้ยนเซ่อจะไปกันเอง พวกเขาก็คงรู้อยู่แล้ว เธอไม่ต้องไปห่วงพวกเขาหรอก”

ฉินเจี้ยนหัวจ้องมองซุนฮุ่ยหงตาเขม็ง รู้สึกว่าวันนี้หล่อนช่างพูดจาไม่น่าฟังเสียเลย จึงดึงคนกลับเข้าไปทันที

ไม่มีซุนฮุ่ยหงแล้ว ทุกคนก็รู้สึกโล่งอยู่ไม่น้อย

และเมื่อคุณปู่ฉินเห็นว่าครอบครัวของลูกชายคนเล็กตกลงเรียบร้อยแล้ว ก็อดพูดไม่ได้ “เจี้ยนเซ่อ ในเมื่อตกลงว่าจะไปปักกิ่งกันแล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกแกก็ไปเตรียมตัวให้พร้อม คนจนเดินอยู่ในเมืองคนรวย จำใส่ใจเอาไว้ว่าตอนออกนอกบ้านต้องวางตัวให้ดี รักษาภาพพจน์ตัวเองบ้าง แล้วก็เรื่องอาหารกับที่พักไม่ต้องกังวล ถ้าเงินไม่พอ พวกฉันก็มี”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินเจี้ยนเซ่อก็รีบกล่าวทันที “ขอบคุณครับพ่อ พวกเราพอมีเงินอยู่ พวกพ่อกับแม่เก็บเงินเอาไว้ใช้เองเถอะครับ อย่าต้องประหยัดเลย ซื้ออาหารอร่อย ๆ ให้ตัวเองได้กินเยอะ ๆ”

คุณปู่ฉินได้ยินเช่นนี้ก็ไม่เอ่ยสิ่งใดอีก เพียงแค่ยกยิ้มแล้วหันมองเซี่ยเหวินปิงกับคนอื่น ๆ ก่อนจะเอ่ย “ญาติหลานเขย วันนี้พวกคุณก็ทำงานหนักแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนกันเถอะครับ”

“ได้ครับผู้เฒ่าฉิน พวกคุณก็รีบพักผ่อนนะครับ”

ฉินมู่หลานเห็นแบบนี้ก็เห็นด้วย ก่อนจะยกยิ้มแล้วเอ่ยลาครอบครัว

ตอนนนี้ทั้งสองครอบครัวก็ได้ตัดสินใจกันเรียบร้อยแล้วว่าจะไปเมืองหลวงด้วยกัน เพราะฉะนั้นฉินมู่หลานจึงเลือกซื้อตั๋วเอาไว้ล่วงหน้า ก่อนจะเอามาให้ฉินเจี้ยนเซ่อกับซูหว่านอี๋ “พ่อคะแม่คะ หนูซื้อตั๋วรถไฟเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาเราก็ไปกันเลย วันมะรืนนี้อย่าลืมเก็บของนะคะ”

ฉินเจี้ยนเซ่อไม่คิดว่าลูกสาวจะรีบร้อนขนาดนี้

“มู่หลาน พวกเราต้องรีบไปเมืองหลวงขนาดนั้นเลยเหรอ”

ซูหว่านอี๋ก็อดพูดไม่ได้ “ใช่แล้วมู่หลาน กว่าพวกลูกจะเปิดเทอมก็อีกตั้งหนึ่งเดือน และอีกไม่นานก็ใกล้จะปีใหม่แล้วด้วย พวกเราจะออกเดินทางก่อนฉลองปีใหม่เหรอ ไม่เร็วไปหน่อยเหรอลูก?”

“เป็นเพราะใกล้ปีใหม่ หรูฮวนจะแต่งงานเร็ว ๆ นี้แล้วค่ะ พวกเราใกล้จะถึงเวลาไปงานแต่งหล่อนแล้ว นอกจากนี้หนูอยากรีบไปดูบ้านที่เมืองหลวงด้วยค่ะ เรื่องนี้ต้องเวลาเลือกดูนานหน่อย เพราะฉะนั้นถ้าไปเร็วก็ย่อมดี”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูหว่านอี๋ก็มีสีหน้าประหลาดใจเต็มเปี่ยม

“มู่หลาน ลูกจะซื้อบ้านในปักกิ่งเหรอ?”

ฉินมู่หลานพยักหน้าแล้วเอ่ย “ใช่ค่ะ ว่าจะซื้อเลย ถ้าเป้นอย่างนั้นตอนครอบครัวเราไปปักกิ่งก็จะสามารถพักได้สะดวกกว่าค่ะ”

เช่นเดียวกับครั้งนี้ ครอบครัวของพวกเขาไปเมืองหลวงกัน หากตรงไปพักที่บ้านตระกูลเหยาหรือตระกูลเจี่ยง พ่อกับแม่ก็คงไม่ค่อยสะดวกใจ นอกจากนี้ หากซื้อบ้านในปักกิ่งก็จะสามารถทำกำไรได้ด้วย หากมีที่พอเหมาะ เธอก็อยากจะซื้อเอาไว้สักสองหลัง

“แต่ว่า…ซื้อบ้านในเมืองหลวงต้องใช้เงินเยอะมากเลยนะ ลูกอยากจะซื้อจริงเหรอ?”

เมื่อได้ยินคำพูดของซูหว่านอี๋ ฉินมู่หลานก็ยกยิ้มแล้วพูดขึ้น “แม่คะ หนูมีเงินจะซื้อบ้านค่ะ พวกแม่ไม่ต้องกังวล แต่คงต้องฝากให้พวกพ่อกับแม่ช่วยตกแต่งบ้าน พอดีหนูอาจจะไม่มีเวลาค่ะ”

ก่อนที่ซูหว่านอี๋จะทันได้เปิดปากพูด ฉินเจี้ยนเซ่อก็ยกยิ้มแล้วเอ่ยก่อน “วางใจได้เลยมู่หลาน เดี๋ยวพวกพ่อช่วยเอง พ่อกับน้องชายลูกก็จะร่วมช่วยด้วยกัน”

ฉินเคอวั่งก็เอ่ยตาม “ใช่ครับพี่ เดี๋ยวต่อไปผมก็จะได้เรียนรู้เรื่องพวกนี้ ถ้าได้มีประสบการณ์เร็วขึ้นหน่อยก็เป็นเรื่องดี”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินมู่หลานก็ยกยิ้มแล้วเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็ดีค่ะ ฝากนายกับพ่อด้วยนะ”

ซูหว่านอี๋เห็นว่าทุกคนได้ทำการตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

เมื่อถึงวันออกเดินทาง ทั้งสองครอบครัวก็หอบกระเป๋าใบเล็กใหญ่ แล้วไปสถานีรถไฟด้วยกัน หลังจากนั้นก็ขึ้นรถไฟ

มีซูหว่านอี๋อยู่ด้วย เหยาจิ้งจือจึงรู้สึกสบายไม่น้อย เพราะเรื่องการดูแลเด็กยังเป็นซูหว่านอี๋กับหล่อนที่มีประสบการณ์ มีทั้งสองช่วยกัน ทำให้สะดวกสบายมาก

เมื่อคิดว่าลูกสะใภ้คนเล็กจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยปีหน้า เหยาจิ้งจือก็ใจสั่นอีกครั้ง และเนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนกับคุณนายเหยา ทำให้หล่อนไม่ค่อยอยากอยู่บ้านนานเท่าไหร่ เหยาจิ้งจือจึงอดหันมองแล้วเอ่ยถามซูหว่านอี๋เสียไม่ได้ “ญาติสะใภ้ พวกคุณจะกลับหลังจากมู่หลานเข้าเรียนแล้วใช่ไหมคะ?”

ซูหว่านอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้าแล้วเอ่ย “ใช่แล้วค่ะ ครั้งนี้พวกเรามาส่งพวกเขามอบตัว เพราะฉะนั้นเมื่อพวกเขาเข้าเรียนแล้ว พวกเราก็จะกลับไปกันค่ะ ถึงตอนนั้นต้องรบกวนพวกคุณดูแลเด็กทั้งสองคนด้วยนะคะ”

หลังจากพูดจบก็รู้สึกประหม่านิดหน่อย เพราะหล่อนก็เป็นคุณยาย แต่กลับไม่สามารถอยู่ดูแลหลานทั้งสองคนได้

เหยาจิ้งจือได้ยินเช่นนี้ ก็รีบส่ายหัวแล้วเอ่ย “ไม่รบกวนเลย เรื่องดูแลเฉินเฉินกับชิงชิง ก็เป็นสิ่งที่ฉันควรทำค่ะ”

ฉินมู่หลานที่อยู่ข้าง ๆ ก็เอ่ยพูดขึ้น “พ่อคะ แม่คะ ทุกคนอย่าเพิ่งรีบกลับกันเลยค่ะ ถ้าพ่อได้งานที่เหมาะในปักกิ่งก็อยู่ต่อเถอะค่ะ”

ฉินเจี้ยนเซ่อคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ หางานในปักกิ่งจะง่ายขนาดนั้นได้อย่างไร นอกจากนี้เขาจบเพียงชั้นประถมเท่านั้น การหางานทำในปักกิ่งยิ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย

เซี่ยเหวินปิงได้ยินเช่นนี้ก็รีบหันไปมอง ก่อนจะเอ่ยถาม “มู่หลาน เธอมีความคิดอะไรดี ๆ หรือ ฉันกับพ่อเธอก็ไม่ได้ต่างกัน จะหางานทำในปักกิ่งได้เหรอ?” เขาทราบว่าลูกสะใภ้คนเล็กจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย พวกเขาจึงต้องอยู่ในเมืองหลวง อันที่จริงเขาอยู่ช่วยเรื่องที่บ้านได้ไม่ค่อยมากนัก อาจไม่ดีเท่าออกไปหารายได้ข้างนอกแทน

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

วางแผนจะไปอยู่ระยะสั้นที่ปักกิ่งแล้ว จะได้งานอะไรกันนะ

ไหหม่า(海馬)