บทที่ 229 ถามตัวต่อตัว

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

บทที่ 229 ถามตัวต่อตัว
บทที่ 229 ถามตัวต่อตัว

“เหตุใดเขา… เฮอะ เขาช่างกล้านัก” เมื่อหมี่ฉงได้ยินเช่นนั้นก็พับแขนเสื้อขึ้น “เหตุใดเจ้าไม่ลองซ้อมเขาให้น่วมแล้วบอกให้เขาพาเราเข้าไปล่ะ?”

หมี่เฉินอี้กระโดดขึ้นเคาะหน้าผากของเขาด้วยพัดในมือ โทษฐานที่เขาดูเหมือนคนโง่เขลา “เจ้าจะกล้าแสดงตัวให้เขารู้ว่าเราแอบเข้าไปในตำหนักหรือ? ปัจจุบันเรื่องที่อาเหิงอยู่กับเขาได้มาจากการแอบเข้าไปสืบของเรา ดังนั้นเจ้าต้องการจะสาวไส้ให้กากินหรือ?!”

“เสด็จอา ไม่ใช่ว่าข้าไม่กังวล ทุกวันนี้ทุกคนกังวลมากจนนอนไม่หลับ และเจ้าเจ็ดก็ยิ่งกังวลมากขึ้นไปอีก ตอนนี้ในที่สุดก็ได้เบาะแสบางอย่างแล้ว ข้าจึงอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น”

หมี่โม่หรู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เสด็จอา คืนนี้ข้าอยากเจอเสี่ยวเข่อ ท่านพาข้าเข้าไปได้หรือไม่”

หากไม่มีทางอื่นนอกจากต้องใช้มัน บางทีของมหัศจรรย์ในระบบของเสี่ยวเข่ออาจจะมีประโยชน์

“ได้” แม้ว่าเขาจะลังเลใจ แต่ดูเหมือนว่าหมี่เฉินอี้จะไม่สามารถหาเหตุผลใดมาปฏิเสธได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาเองก็รู้ว่าทุกวันนี้แม่สาวน้อยกำลังทุกข์ทรมานใจ บางทีการได้เจอโม่หรู่นั้นอาจจะน่ายินดีมากกว่าการได้เจอเขา

“ท่านอ๋อง องค์ชายสองยังคงรออยู่ที่ห้องโถงใหญ่พ่ะย่ะค่ะ” อู๋เหินเปิดประตูเพื่อเตือน

“ไปเถอะ” หมี่โม่หรู่จับเสื้อคลุมของตนให้ตรงและเดินออกจากห้องอ่านหนังสือ

ตำหนักชั้นในและห้องโถงใหญ่อยู่ห่างกันไปไม่กี่ก้าว สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนจากสภาพซีดเผือดก่อนหน้านี้ เป็นความเย็นชาและความเฉยเมยตามปกติ

ในห้องโถงใหญ่ หมี่โม่หรู่เหลือบมองไปยังผู้มาเยือน และดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความมืดมน

“พี่สอง” หมี่โม่หรู่ยกยิ้มอย่างสุภาพ “เหตุใดวันนี้ท่านถึงมีเวลาเสด็จมาที่นี่”

หมี่เหิงยืนขึ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่สะใภ้สองของเจ้าได้ยินว่าน้องสะใภ้ของนางไม่แข็งแรงหลังคลอดลูก นางจึงรู้สึกกังวลเล็กน้อยและขอร้องให้ข้าพานางมาเยี่ยมหลายวันแล้ว วันนี้ข้าทนไม่ไหวจึงพานางมาเยี่ยม”

หมี่เหิงเข้ารับตำแหน่งมาหลายปีแล้ว แต่เขาก็ถูกองค์รัชทายาทข่มเอาไว้ในช่วงปีแรก เขาขี้ขลาดมาตลอด ไม่เคยต่อสู้หรือแย่งชิงไขว่คว้า แต่การกระทำเช่นนี้กลับสร้างความประทับใจให้ฮ่องเต้ต้าเซี่ยและข้าราชบริพารหลายคน

แต่เมื่อเทียบกับหมี่โม่หรู่ที่อ่อนโยนเช่นกัน ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเขาไม่มีความสามารถและขี้ขลาดเกินไป

พระชายาสองที่อยู่ข้างเขาประหม่าเล็กน้อยกล่าวว่า “นั่นเป็นเพราะว่าหม่อมฉันมีปัญหาเยอะ แต่หม่อมฉันคิดว่าน้องสะใภ้ไม่เคยให้กำเนิดบุตรจึงเกิดความหวาดผวาในวันคลอด หากมีคนพูดชี้แนะก็คงจะดีกว่านี้”

คำพูดเหล่านี้ดูมีความจริงใจและบริสุทธิ์ยิ่งนัก หมี่โม่หรู่เกือบทนไม่ได้อยู่พักหนึ่ง ไม่รู้ว่าทั้งคู่แสดงละครเก่งหรือว่าไม่รู้จริง ๆ กันแน่

“เมื่อเร็ว ๆ นี้พระชายาได้อาศัยอยู่ในตำหนัก และได้รับการดูแลจนสภาพจิตใจของนางดีขึ้นมาก แต่นางยังไม่ต้องการพูดคุยกับคนนอก ข้าเกรงว่าวันนี้พระชายาสองจะมาเสียเที่ยวเสียแล้ว” หมี่โม่หรู่พูดแก้ตัว

พระชายาสองดูเสียใจและกล่าวว่า “เพคะ ครั้นพระจันทร์เต็มดวงแล้ว หม่อมฉันจะแวะมาหาน้องสะใภ้เจ็ดนะเพคะ” พูดจบนางก็หยุดและอธิบายว่า “น้องเจ็ด หม่อมฉันไม่ได้มีเจตนาอื่นใด หม่อมฉันแค่รู้สึกว่าน้องสะใภ้แตกต่างจากสตรีคนอื่น ๆ ในตำหนัก นางกล้าหาญและชาญฉลาดเสียจนน่าริษยา”

หมี่โม่หรู่หัวเราะเบา ๆ “ไม่มีปัญหา”

หลังจากที่ทั้งสามสนทนากันครู่หนึ่ง หมี่เหิงก็ลุกขึ้นบอกลา เมื่อเขาหันหลังกลับ หมี่โม่หรู่ก็พูดอย่างเย็นชาว่า “เมื่อเร็ว ๆ นี้ตำหนักของพี่สองมีคนมาอาศัยอยู่เพิ่มหรือ?”

หมี่เหิงหยุดฝีเท้าของเขาแล้วทำราวกับงุนงง “มีใครเพิ่มเข้ามา?”

“ผู้ชายหรือ… เด็กใช่หรือไม่?” เมื่อเห็นสีหน้าที่สับสนของเขา หมี่โม่หรู่ก็ต้องการอธิบายทุกอย่างตามตรง

สีหน้าของหมี่เหิงเปลี่ยนไป เขาหันไปหาพระชายาสองแล้วพูดว่า “เจ้ากลับไปก่อน ข้าจะกลับไปตอนบ่าย”

เมื่อเห็นเช่นนั้นหมี่โม่หรู่ก็วางแผนที่จะก้าวต่อไป “เสด็จพี่สอง ท่านรู้จักตัวตนของชายผู้นี้หรือไม่? และเด็กมาจากที่ใด?”

…………………………………………………………………………