ทั้งเซวียนผิงโหวและเซียวลิ่วหลัง ต่างฝ่ายต่างจ้องหน้ากันและกัน
แววตาทั้งคู่เผยให้เห็นเสี้ยวหนึ่งของความตกใจ
เซียวลิ่วหลังนึกไม่ถึงว่าเขาจะเดินกลับมา
เซวียนผิงโหวเองก็คาดไม่ถึงว่าจะเจอเขาอย่างแบบนี้
เพราะเมื่อครู่นี้ จู่ๆ เกิดความรู้สึกแบบเดียวกับที่เขาเจอตอนอยู่ที่จุดพักม้า
จะไม่เหมือนก็ตรงที่ครั้งนี้ความรู้สึกปะทุแรงขึ้นกว่าครั้งนั้น เขามั่นใจว่าเซียวลิ่วหลังอยู่ตรงนั้นแน่นอน
เซวียนผิงโหวจงใจเดินออกห่าง เพื่อให้อีกฝ่ายตายใจ แล้วค่อยแอบย้อนกลับมา เป็นวิธีที่เขาใช้บ่อยๆ ตอนอยู่ในสนามรบ ด้วยความที่เขาเป็นคนมีวิทยายุทธ์ เรื่องนี้จึงง่ายสำหรับเขา
แต่จะมายากก็ตอนนี้นี่ละแหละ
เขามองไปที่ใบหน้านั้น สายตาของเขามิสามารถซ่อนความรู้สึกประหลาดใจไว้ได้
“ท่าน ท่านโหว ข้าตามไม่ทัน…” เป็นเสียงของผู้ดูแลหลิวที่เพิ่งมาถึง “เอ๋ องค์ชายเจ็ดเล่าขอรับ ไม่ได้อยู่กับท่านหรอกหรือ”
องค์ชายเจ็ดออกไปแล้ว แน่นอนว่าคนละทางกับพวกซูกงกง
เอ่ยจบ ผู้ดูแลหลิวพลันสังเกตได้ว่าท่านโหวไม่ได้สนใจที่เขาพูดเลยสักนิด แถมยังยืนนิ่งอยู่หน้าประตูห้องราวกับโดนแช่แข็งไว้
ผู้ดูแลหลิวจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ หันไปตามสายตาของท่านโหว
พอได้เห็นก็ถึงกับผงะ!
ผู้ดูแลหลิวเบิกตากว้าง ร้องอุทาน “ท่านชาย”
ก่อนหน้า รองเจิ้งเดินตามเซวียนผิงโหวไปจนถึงด้านนอก สักพักเซวียนผิงโหวกลับรีบย้อนไปทางเดิมด้วยความไวแสง รองเจิ้งเกือบตามเขาแทบไม่ทัน แต่สุดท้ายก็ตามเจอจนได้
พอได้ยินคำว่าท่านชายเท่านั้น รองเจิ้งถึงกับนิ่งอึ้งไป
นี่มันเรื่องอันใดกัน
นอกจากเซวียนผิงโหวแล้ว ยังมีท่านชายมาสมทบอีกด้วยรึ แถมเข้าไปในห้องเรียนแล้วด้วย
เซวียนผิงโหวหันไปจ้องผู้ดูแลหลิวตาค้าง “เจ้าเรียกเขาว่าอะไรนะ”
ผู้ดูแลหลิว “ท่านชายอย่างไรเล่าขอรับ!”
“ท่านชายไหน” เซวียนผิงโหวถามผู้ดูแลหลิวก็จริง แต่นัยน์ตาเขากลับอยู่ที่เซียวลิ่วหลัง
ความรู้สึกตกใจชั่ววูบเมื่อครู่พลันหายไป กลายเป็นความเย็นชาเข้ามาแทนที่
ผู้ดูแลหลิวตอบ “ท่านชายที่ข้าน้อยเคยเล่าให้ท่านฟังว่าเรียนหนังสืออยู่ที่กั๋วจื่อเจียนขอรับ บุตรของแม่นางอวิ๋นเหนียง”
มารดาของเซียวลิ่วหลังมาจากตระกูลเฉิน มีนามว่าเฉินอวิ๋นเหนียง แต่ใครๆ ต่างเรียกนางว่าแม่นางสิบสาม
“ใช่หรือ ใช่เขาหรือ” เซวียนผิงโหวชำเลืองคนตรงหน้า แม้แววตาดูสุขุม แต่กลับแฝงไปด้วยความซับซ้อน
ทันใดนั้น เซวียนผิงโหวดึงมือของตนออกจากผ้าอุ่นมือ แล้วยื่นออกไปสัมผัสเข้าที่ใบหน้าของเซียวลิ่วหลัง ก่อนจะใช้หัวแม่มือถูเข้าไปที่ผิวหน้าบริเวณใต้ตาขวาของเซียวลิ่วหลัง
เซวียนผิงโหวเริ่มบันดาลโทสะ “รอยไฝของเจ้าล่ะ เจ้าต้องมีรอยไฝตรงนี้สิ แล้วไหนล่ะ”
ผู้ดูแลหลิวเริ่มเหงื่อตก
ไฝอะไรกัน
ท่านโหวเคยเจอเด็กคนนี้อย่างนั้นรึ
เซียวลิ่วหลังยังไม่ทันจะลืมตาดูโลก ท่านโหวก็กลับเมืองหลวงไปก่อนแล้วมิใช่หรือ!
ฤดูหนาวเมื่อสี่ปีก่อน เซียวลิ่วหลังกับพี่ชายของเขามายังเมืองหลวงแห่งนี้ แต่กลับไม่พบท่านโหว
แล้วไฉน ท่านโหวจึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้ได้
เซียวลิ่วหลังไม่ขยับแม้แต่นิด ยอมให้เซวียนผิงโหวใช้หัวแม่โป้งกดขยี้ผิวหน้าตัวเองจนเกิดรอยแดง จากนั้นก็จ้องเข้าไปในดวงตาอันแสนจะเย็นชาแต่แฝงไปด้วยความขุ่นเคือง
“ท่านจำคนผิดแล้วล่ะ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงและท่าทีนิ่งเฉย “ข้าไม่เคยมีไฝตรงนี้”
เซวียนผิงโหวชักมือกลับ ก่อนจะกำหมัดแน่น
“หลีกทางด้วย” เซียวลิ่วหลังเดินออกไปพร้อมกับไม้เท้าอย่างไม่ใยดี
เซวียนผิงโหวทอดตามองไปตามเงาของเขาและไม้เท้าที่เคลื่อนตัวออกไปด้วยความรู้สึกราวกับเกิดพายุฟ้าฝนในใจ!
เซียวลิ่วหลังเดินไปยังห้องเรียนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม จากนั้นต้อนเจ้าเหยี่ยวน้อยใส่เข้าไปในกระเป๋า สะพายไว้ที่แขน แล้วอุ้มจิ้งคงขึ้นมาไว้ที่บ่า
จิ้งคงน้อยอยู่ในช่วงสะลืมสะลือ เขาพยายามลืมตาขึ้น พอเห็นว่าเป็นเซียวลิ่วหลัง ก็เอนหัวฟุบหลับลงไปบนหัวไหล่ของเขา
พอไม่ได้นอนกลางวันก็แรงหมดเสียอย่างนั้น
เซียวลิ่วหลังเดินออกจากกั๋วจื่อเจียนพร้อมกับเด็กน้อย นกน้อย และไม้เท้า โดยที่เซวียนผิงโหวจับตามองอยู่ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสับสน
“เขานั่นแหละ! พวกเขานั่นแหละท่าน! …” รองเจิ้งที่กำลังจะเอ่ยปากฟ้องว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของเด็กสองคนนั้น แต่จู่ๆ กลับรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาสัมผัสได้ถึงพลังงานอันน่ากลัวของเซวียนผิงโหว ราวกับว่าเขากำลังจะฆ่าใครสักคน รองเจิ้งรีบหุบปากตัวเอง
หลังจากเงาของร่างเซียวลิ่วหลังลับสายตาไปแล้ว เซวียนผิงโหวก็เดินทางออกจากกั๋วจื่อเจียน
รองเจิ้งเดินไปยังห้องเรียน มองซ้าย มองขวา “เอ๋ ไม่เห็นมีใครอยู่เลย แล้วเมื่อครู่นี้ท่านโหวเรียกใครว่าท่านชายกันล่ะ”
ทันใดนั้น คนที่คอยอยู่สังเกตการณ์ห่างๆ อย่างอาจารย์ซุนก็ได้เอ่ยขึ้น “ดูเหมือนว่า จะเป็นบัณฑิตห้องไชว่ซิ่งคนนั้นนะขอรับ”
รองเจิ้งเบ้ปาก “เจ้าหมายถึงเซียวลิ่วหลังรึ เฮอะ ฝันไปเถอะ เขาจะเป็นท่านชายของจวนเซวียนผิงโหวได้อย่างไร แค่อายุก็ไม่ใช่แล้ว!”
หากเป็นเสี่ยวท่านโหวยังว่าไปอย่าง จะติดก็แค่ เสี่ยวท่านโหวตายไปแล้ว
“คงจะไม่ใช่ลูกนอกสมรสของเซวียนผิงโหวหรอกใช่ไหม ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า….” รองเจิ้งหัวเราะเสร็จ ก็พลันหมดสติไป!
หลังจากที่ออกมาจากกั๋วจื่อเจียน เซวียนผิงโหวก็ขึ้นไปนั่งบนรถม้า
ก็เจอกับฉินฉู่อวี้ที่กำลังเสียขวัญเพราะเพิ่งถูกฉางจิงลากตัวออกมา ฉางจิงเอ่ยถามเซวียนผิงโหว “ท่านโหว อย่างไรต่อขอรับ”
“เอาไปส่งที่วัง!” เซวียนผิงโหวที่กำลังจิตใจว้าวุ่นรีบเอ่ยปัด
ฉางจิงครุ่นคิดอยู่พักนึง ก่อนเอ่ยตอบ “อ้่อ ขอรับ”
แม้ท่านโหวจะสั่งให้กลับวัง แต่ไม่ได้บอกว่าใช้วิธีไหนกลับวัง ฉางจิงจึงพาร่างตุ้ยนุ้ยขององค์ชายกระโดดข้ามกำแพงอีกครั้ง!
ฉินฉู่อวี้ผู้ขวัญอ่อนได้แต่ร้องจ๊าก
ท่านลุงโหดร้ายกับเขาเกินไปแล้วนะ!
ต่อไปเขาจะไม่เกเรอีกแล้ว!
ภายในใจของเซวียนผิงโหวยังคงว้าวุ่น แววตาแข็งกร้าวเย็นชา นิ้วมือสั่นเทา “นี่มันอะไรกัน”
เขาเอ่ยถามผู้ดูแลหลิว
ผู้ดูแลหลิวขึ้นรถม้า พลางเอ่ยถาม “ท่านโหวอยากรู้อะไรบ้างหรือขอรับ”
“เด็กนั่นเป็นลูกของอวิ๋นเหนียงรึ”
“ใช่แล้วขอรับ”
“เจ้าตามหาเขาเจอได้อย่างไร เล่ามาให้ข้าฟังโดยละเอียด!”
“…ขอรับ!” ผู้ดูแลหลิวเริ่มต้นลำดับเหตุการณ์ตอนที่เขาออกตามหาเซียวลิ่วหลัง “เรื่องราวเริ่มจากเมื่อสี่ปีก่อนขอรับ”
เซียวลิ่วหลังเดินทางมาพร้อมกับพี่ชาย เพื่อตามหาเซวียนผิงโหว เขาไม่ได้บอกตัวตนที่แท้จริงของเขาให้ใครได้ล่วงรู้ เพียงแต่เวลามีใครถาม ก็ใช้วิธีบอกไปว่าเป็นคนคุ้นเคย มีของมามอบให้
ด้วยความที่มีคนลักษณะนี้เกลื่อน แถมชุดที่เขาสวมใส่ดูแร้นแค้นราวกับยาจก ทหารยามเลยไม่ได้สนใจพวกเขา
บวกกับในช่วงนั้นที่เมืองหลวงเกิดคดีต่างๆ ขึ้น จนฝ่าบาทต้องมอบหมายงานให้เซวียนผิงโหวเป็นผู้รับผิดชอบ
เขาจึงมัวแต่ยุ่งอยู่กับงานราษฎร์งานหลวง
กว่าจะสะสางทุกอย่างเสร็จก็มิใช่ง่ายๆ แล้วก็ดันมาเกิดเรื่องกับเสี่ยวท่านโหวอีก
กว่าเซวียนผิงโหวจะรู้เรื่อง เซียวลิ่วหลังก็ได้เดินทางออกจากเมืองหลวงไปแล้ว
เซวียนผิงโหวเอ่ยเสียงทุ้ม “เรื่องพวกนี้ข้ารู้อยู่แล้ว เพราะข้าเป็นคนเล่าให้เจ้าฟังเอง ที่ข้าถามก็คือตอนที่เจ้าไปตามหาเขาที่ชนบทต่างหาก!”
พ่อบ้านหลิวเพิ่งจะได้กลับมาทำงานเคียงข้างเซวียนผิงโหวมาได้สองปีกว่า
“ข้าน้อยเดินทางไปที่ชนบท และทราบข่าวว่าเขาเป็นบัณฑิตอยู่ที่สำนักบัณฑิตเทียนเซียง เลยไปตามหาเขาที่นั่น แต่เขากลับปฏิเสธลูกเดียว แต่ข้าน้อยก็ไม่ยอมแพ้ หลังจากนั้น…เอ่อ ข้าน้อยก็เลยคิดหาวิธีการต่างๆ ต้องยอมรับเลยว่าเขาเหมือนกับท่านโหวจริงๆ เป็นเด็กที่ดวงแข็งมาก! เรื่องเรียนก็เช่นกัน เขาสอบได้คะแนนดีมาโดยตลอดจนได้เข้ามาเรียนที่กั๋วจื่อเจียนนี่แหละขอรับ”
นัยน์ตาเซวียนผิงโหวเต็มเปี่ยมไปด้วยความสับสน “แล้วขาของเขาล่ะ เกิดอะไรขึ้น”
ผู้ดูแล้หลิวเอ่ย “เรื่องนี้ข้าน้อยได้ไปสืบความจากคนอื่นๆ ได้ยินมาว่าเมื่อปีก่อนเป็นเพราะช่วยสหายคนหนึ่ง เลยเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับเขา”
เซวียนผิงโหวถามต่อ “แล้วไม่รักษารึ”
ผู้ดูแล้วหลิวตอบ “รักษาแล้วขอรับ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด อาการไม่ดีขึ้นเลย”
พอกลับถึงจวนโหว เซวียนผิงโหวเดินเข้าไปในห้องหนังสือ จากนั้นหยิบภาพวาดออกมาจากชั้นวางลับของเขา
ในภาพนั้นเป็นเด็กชายอายุราวสิบสามหรือสิบสี่ปี ดวงตาของเขาอบอุ่นราวกับหยก โครงหน้าโดดเด่น และมีไฝน้ำตาใต้ตาข้างขวา
หากเขายังมีชีวิตอยู่ ปีนี้ก็คงอายุราวๆ สิบแปดปี…
ภาพของเซียวลิ่วหลังปรากฏขึ้นในหัวของเขา
…
เสี่ยวจิ้งคงหลับตลอดทาง พอกลับถึงเรือนก็ตื่นขึ้นมา กลายเป็นเด็กน้อยกระโดดโลดเต้นอีกครั้ง!
อย่างแรกที่เขาทำหลังตื่น คือวิ่งไปดูเสี่ยวจิ่วว่ายังอยู่ดีไหม พอเห็นว่าเสี่ยวจิ่วอยู่ในกรง ก็พลันถอนหายใจโล่งอก
“อย่าเพิ่งรีบดีใจไป” เซียวลิ่วหลังโผล่จากทางด้านหลัง “เจ้าจะพูดเอง หรือจะให้ข้าเป็นคนไปบอกเจียวเจียว”
เสี่ยวจิ้งคงรีบเปลี่ยนท่าทีเป็นนิ่งเงียบในทันใด
สุดท้าย เสี่ยวจิ้งคงก็เลือกที่จะเป็นคนสารภาพเอง เพราะเจียวเจียวเคยบอกไว้ว่า ถ้าพูดความจริงแล้วจะใจอ่อน แต่ถ้าทำตัวต่อต้านก็จะใช้วิธีเผด็จการ!
พอกู้เจียวกลับมาถึงที่เรือน เสี่ยวจิ้งคงก็รีบเข้าไปเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้กู้เจียวได้ฟัง
ปฏิกิริยาแรกของกู้เจียวมิใช่ต่อว่าเขา แต่เป็นการถามเขาก่อนว่าเหตุใดต้องทำเช่นนั้น
เสี่ยวจิ้งคงทำหน้าเศร้า “เพราะพวกนั้นชอบล้อว่าข้าตัวเล็ก ล้อว่าข้าไม่ยอมโต แถมยังบอกว่าข้าเป็นเด็กทารกอีกด้วย”
แม้เขาจะไม่ได้ตัวโตเท่าเด็กคนอื่นๆ แต่สัตว์ที่เขาเลี้ยงนั้นตัวโตแน่นอน!
เสี่ยวจิ้งคงมักจะพาพวกลูกเจี๊ยบไก่ออกไปวิ่งเล่น แถมยังพาเจ้าสุนัขหมาน้อยและเจ้าเหยี่ยวน้อยไปเดินเล่นด้วย เขามักจะเห็นพวกลุงๆ ทั้งหลายก็พานกออกมาบินเล่นเหมือนกัน แต่เทียบกันแล้ว เจ้าเสี่ยวจิ่วเก้าของเขาน่ะตัวใหญ่ที่สุดเลย!
ฟังไปฟังมา ที่แท้ก็จะแข่งนกนี่เอง จิ้งคงไม่ได้ตั้งใจจะขู่อีกฝ่ายแต่แรกอยู่แล้ว
“แต่ไม่รู้ทำไมเขาต้องถอดกางเกงออกมาด้วย” เสี่ยวจิ้งคงทำหน้าไม่เข้าใจ
มีบางเรื่องที่เสี่ยวจิ้งคงยังไม่อาจเข้าถึงและเข้าใจได้
กู้เจียวเกือบจะสำลักออกมา
เรื่องนี้น่ะ…จะว่าไปแล้ว แม้แต่เด็กหนึ่งขวบยังรู้เลย เพียงแต่เสี่ยวจิ้งคงเป็นเด็กที่โตในวัด เลยไม่รู้ความหมายของศัพท์ประเภทอย่างว่าเท่าใดนัก
กู้เจียวไม่ได้ให้ความรู้เรื่องศัพท์พวกนี้กับเขา นางเพียงแค่ลูบหัวของเขา แล้วเอ่ย “แล้วเด็กที่ล้อเลียนเจ้าเรียนหนังสือกันเก่งไหม สอบได้อันดับที่ต้นๆ ทุกครั้งไหม”
เสี่ยวจิ้งคงเบะปาก ก่อนจะเอ่ยด้วยความภาคภูมิ “ไม่เลยสักนิด! พวกเขาน่ะชอบทำการบ้านมาผิด! มีแต่ข้าคนเดียวที่ทำถูกหมดทุกข้อ!”
“เห็นไหมล่ะ พวกเขาทำโจทย์ผิดกันอยู่เลย ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาพูดใช่ว่าจะถูกต้องนี่นาใช่ไหม ที่พวกเขาบอกว่าเจ้าตัวไม่โต บางทีพวกเขาอาจพูดผิดก็ได้ เจ้ายังเด็กอยู่ รออีกสักหน่อยเดี๋ยวก็โตขึ้นเอง! เผลอๆ อาจโตกว่าเด็กพวกนั้นอีกจริงไหม!”
เสี่ยวจิ้งคงคิดตามที่กู้เจียวบอก และแล้วกู้เจียวก็โน้มน้าวได้สำเร็จ
ในเมื่อเขาเรียนหนังสือเก่งขนาดนี้ ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะไม่ตัวโตขึ้น!
เสี่ยวจิ้งคงได้ความมั่นใจกลับมาอีกครั้ง เขากลับมาร่าเริ่งเหมือนเดิมแล้ว!
กู้เจียวเอ่ยถามต่อ “แล้วเจ้าคิดว่าเจ้าทำผิดอะไรไปหรือไม่”
“อื๊ม” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยอย่างจริงใจ “ข้าไม่ควรพาเสียวจิ่วไปกั๋วจื่อเจียน ต่อไปข้าจะไม่ทำแล้ว”
กู้เจียวพยักหน้าให้เขา “เจ้าไปเถอะ”
“อื๊ม!” เสี่ยวจิ้งคงอุ้มเสียวจิ่วแล้วเดินออกไป แต่จู่ๆ ก็หันกลับมา แล้วเอ่ยถาม “แล้วเหตุใดเจ้านั่นต้องถอดกางเกงด้วยล่ะ”
กู้เจียว “…”
มื้อเย็นวันนี้กู้เจียวเป็นผู้รับผิดชอบ เพราะจี้จิ่วอาวุโสเฒ่าออกไปข้างนอก
เซียวลิ่วหลังเข้ามาช่วยกู้เจียวเติมฟืนเหมือนเดิม ในตอนนั้นเองที่กู้เจียวรู้สึกมีบางอย่างไม่ถูกต้อง
วันนี้กู้เจียวทำอาหารที่เขาโปรดมากที่สุด นั่นก็คือเนื้อทอด แต่เซียวลิ่วหลังกลับกินได้น้อยกว่าปกติ
พอทานข้าวเสร็จ เซียวลิ่วหลังตรวจการบ้านให้เสี่ยวจิ้งคง จากนั้นเสี่ยวจิ้งคงก็ไปช่วยตรวจการบ้านให้กู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่น เซียวลิ่วหลังกลับเข้าไปในห้องเตรียมจะทบทวนบทเรียน แต่จนแล้วจนเล่า ก็ไม่ยักกะเห็นว่าเขาจะเปิดหนังสือขึ้นมาเลยแม้แต่หน้าเดียว
กู้เจียวเคาะประตู “ข้าเอง”
ประตูถูกแง้มออก
เขานิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะคว่ำหนังสือลง แล้วหันไปทางประตู “เข้ามาสิ”
กู้เจียวเปิดประตูเข้าไปพร้อมกับชามเม็ดบัวต้ม ก่อนจะวางบนโต๊ะ “ข้าเพิ่งทำเสร็จ กินตอนร้อนๆ สิ”
เซียวลิ่วหลังชำเลืองที่มือเล็กๆ คู่นั้นของกู้เจียว พลางถอนหายใจ “เหตุใดถึงทำครัวอีกล่ะ”
“ข้าเห็นเจ้ากินมื้อเย็นไปนิดเดียวเอง” กู้เจียวเอ่ย
เซียวลิ่วหลังก้มหน้าลง
กู้เจียวเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
แสงเทียนสีเหลืองสลัวตกบนใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาราวกับหยก ขนตาของเขายาวเรียวยาว และมีเงาที่ด้านข้างของจมูกสั่นเล็กน้อย
กู้เจียวเอามือสองค้างเท้าที่แก้ม เอ่ยถาม “ไม่กินรึ”
เซียวลิ่วหลังรู้สึกทานอะไรไม่ลง แต่ก็ยกชามขึ้นมาแล้วตักชิมหนึ่งคำ
หวานสุดๆ
หวานจนลืมความรู้สึกขมขื่นเมื่อครู่นี้เลย
สักพักเขากินจนหมดชาม ก่อนจะหันมามองกู้เจียว
ขณะที่กู้เจียวเองก็กำลังมองเขาอยู่
ทั้งสองสบตากัน
ต่อให้ถูกเขาจับได้ก็ไม่เป็นไร นัยน์ตากู้เจียวเต็มไปด้วยแสงประกายวิบวับราวกับมีดาวอยู่ในนั้น
ภายในใจของเซียวลิ่วหลังเองก็รู้สึกเหมือนได้ถูกเติมเต็ม เรื่องที่ไม่สบายใจก็พลันหายไป
เขาเบนสายตาออกมา ก่อนจะกระแอมแล้วเอ่ยตัดบท “เดี๋ยวข้าไปล้างให้”
“ไม่ต้อง ข้าทำเอง!” กู้เจียวลุกขึ้น แล้วรีบคว้าชามโดยเร็ว “เจ้าเตรียมสอบชุนเหว่ยให้ดีจะดีกว่า ข้าอยากเป็นแม่นางก้งซื่อน่ะ!”
“ออ” เซียวลิ่วหลังทำหน้าผิดหวัง
แค่ตำแหน่งก้งซื่อเองเหรอ ต่อจากก้งซื่อก็ยังมีตำแหน่งจิ้นซื่ออีกนะ แล้วยังมีจ้วงหยวน ปั่งเหยี่ยน ท่านฮวาหลังอีกนะ
เพียงแต่ชื่อเรียกนั้นมันช่าง…
เซียว เสี่ยวอ้าวเจียว ลิ่วหลัง “ไหนจะคำว่าแม่นางต่อท้ายอีก…”
กู้เจียว “นี่เจ้าเอ่ยเรียกข้ารึ”
นี่เขาเผลอพูดออกเสียงรึ เซียวลิ่วหลังรีบพูดแก้ต่าง “ไม่ใช่ คือข้า…”
กู้เจียวมองย้อนแล้วยิ้มให้หนึ่งที “อื๊ม!”