บทที่ 205 ขอโทษที่ข้าอ่อนแอ

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 205 ขอโทษที่ข้าอ่อนแอ

ถึงขณะนี้จะยังไม่มีวิธีถอนพิษกู่จิ้น ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีหนทาง เพียงแต่มันยังไม่ถูกค้นพบก็เท่านั้น

“ข้าจะหาวิธีถอนพิษกู่จิ้นให้จงได้ ต้องทำให้ได้”

แต่สิ่งแรกก็คือ กระบวนการนี้จะยืดยาวและซับซ้อน

เช่นนั้นก่อนอื่นเลย นางจะหยุดเวลา พูดให้แจ้งก็คือจะหยุดช่วงเวลาของเย่แจ๋หยิ่ง ซึ่งนางก็คิดการยับยั้งเวลาได้อยู่สองวิธี

วิธีแรกคือ เหมือนดั่งนักบินอวกาศที่นอนแน่นิ่งอยู่ในสถานีอวกาศ

วิธีที่สองคือ พาเย่แจ๋หยิ่งไปแช่แข็งก่อนที่เขาจะไร้สติจนกลายเป็นผีดิบกินคน

เย่แจ๋หยิ่งนิ่งเงียบ

หลานเยาเยามองไปที่เขาพร้อมพูดว่า: “ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม ก็ต้องเปลี่ยนตัวยา ถึงจะช้าไปหน่อยก็ไม่เป็นไร”

พูดจบ นางก็อยากที่จะดึงเย่แจ๋หยิ่งไปในที่พำนักอีกครั้ง แต่ก็ดึงขึ้นมาไม่ได้ อดไม่ได้ที่จะหลับตาและลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะค่อยๆพูดออกมาว่า:

“เจ้า…ยังมีเรื่องอยากจะพูดอีกใช่หรือไม่?”

หากเป็นไปได้ นางก็หวังว่าจะไม่ใช่ในช่วงเวลานี้ และไม่ใช่ในสถานการณ์เช่นนี้ด้วย

“เยาเยา……”

“ไม่พูดไม่ได้หรือ?” หลานเยาเยารีบเอามือกุมปากของนางไว้ เป็นครั้งแรกที่มีน้ำเสียงวิงวอนขณะจ้องมองเขา

นางรู้ว่าเขาอยากจะพูดสิ่งใด

เช่นนั้นนางจึงจะตามใจความอ่อนแอของนางสักครั้ง

“เยาเยา ในตอนนี้มันไม่เหมือนแต่ก่อน มีสิ่งใดจำต้องพูดออกมาให้เข้าใจกัน จำได้หรือไม่ ที่ครั้งหนึ่งข้าเคยพูดว่า หลังสัญญาสามปีเริ่มดำเนินไป ทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นจำต้องใส่ใจ……”

“ไม่ต้องพูดแล้ว” จู่ๆหลานเยาเยาก็พูดออกมาเบาๆ

เย่แจ๋หยิ่งจ้องมองนางที่มีแววตาวูบวาบ หลังจากเงียบไปชั่วขณะ เขาก็กระซิบว่า:

“ได้ ไม่พูดแล้ว”

“เจ้าคงจะไม่ใช่ว่าอยู่ๆก็หายไปหรอกใช่ไหม?” นางยิ้มออกมาอย่างยากเย็น

“ไม่หรอก”

ที่แห่งนี้คือปลายทางของเขา ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาจะได้เจอนาง เขาจะไปได้อย่างไรกัน?

“งั้นข้าจะไปเดินเล่นเสียหน่อย จะได้คิดหาทางแก้ไข”

“ได้สิ!”

หลานเยาเยาปล่อยมือของเขา และจากไปอย่างรวดเร็ว

นางไม่รู้หรอกว่าจะไปที่ใด รู้เพียงแต่ว่าอยากจะไปให้พ้นสายตาของเขา

นางไม่ค่อยคุ้นเคยกับชนเผ่านี้เสียเท่าไหร่ จึงได้เดินไปเรื่อยเปื่อย ยิ่งเดินก็ยิ่งออกนอกเส้นทาง ยิ่งเดินอากาศก็ยิ่งหนาวเย็น แต่นางก็รู้ว่านางยังไม่ออกนอกเขตของชนเผ่า

ที่แห่งนี้ไม่มีผู้คนอยู่อาศัย จะมีก็แต่ต้นไม้ใบหญ้า

และซากปรักหักพังที่เป็นที่พักอาศัยของชนเผ่า ถึงแม้ว่าที่พักอาศัยเหล่านี้จะอยู่ในสภาพทรุดโทรม แต่ก็ไม่ได้แย่มากนัก โครงร่างการก่อสร้างที่พักอาศัยเหล่านี้ ก็มีลักษณะโครงสร้างที่แตกต่างกันไปเล็กน้อยภายในชนเผ่า

กำลังเดินอยู่ในทางที่เป็นหลุมเป็นบ่อ โดยมีตะไคร่น้ำที่เกาะอยู่ตามโขดหินมานานแสนนาน ทำให้นางสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็น

แม้แต่บนกำแพงที่พุพังก็ยังคงมีตะไคร่ขึ้นเกรอะกรัง แต่ก็ยังปกคลุมไปไม่หมด และนางยังเห็นอีกว่าซากกำแพงเหล่านี้ เหมือนจะถูดสาดด้วยหมึกเมื่อนานมาแล้ว

หมึกรึ?

ผู้ใดจะไม่มีเหตุในการสาดหมึกไปบนกำแพงกันล่ะ? อีกทั้งยังมีอีกหลายจุด

หลานเยาเยาจึงเดินเข้าไปพร้อมเอื้อมมือไปสัมผัสดู จากนั้นก็ดึงมือกลับมาที่ปลายจมูกและดมกลิ่น

มันคือกลิ่นเลือด……

ปรากฏว่านี่มันไม่ใช่หมึก แต่เป็นคราบเลือดที่แห้งกรังมานานหลายปีจนกลายเป็นสีดำ

มีอยู่เต็มไปหมดบนซากกำแพง เพียงแค่ด้านๆเดียว ก็น่าสยดสยองเหลือเกิน ส่วนพื้นของหลุมบ่อ ก็ถูกปกคลุมด้วยตระไคร่น้ำมานานแสนนาน จนไม่สามารถเห็นร่องรอยใดๆ

“เหมือนว่าจะเคยมีการสังหารหมู่เกิดขึ้นที่นี่………”

ทันใดนั้น!

“ซ่าซ่า……”

เหมือนดั่งเสียงลมที่พัดผ่านใบไม้ แต่ว่าหูของหลานเยาเยานั้นไม่เคยผิดพลาด แค่ฟังก็รับรู้ถึงสิ่งผิดปกติได้ทันที

“ผู้ใดกัน? รีบออกมาเสีย”

ขณะที่นางได้ยินเสียงนั้น ก็ได้ถือเข็มเงินไว้ในมือเป็นที่เรียบร้อย เตรียมพร้อมที่จะขว้างออกไปอยู่ทุกเมื่อ

“กรอบ…”

“แกรบ”

“……”

เสียงเหยียบใบไม้ของการก้าวเดินอย่างผ่อนคลายดังขึ้น เสียงค่อยๆใกล้เข้ามา จากนั้นร่างที่คุ้นเคยก็โผล่มาจากด้านหลังของซากกำแพง

ส่วนต่างๆบนใบหน้าถูกรังสรรค์มาอย่างงดงาม แต่เมื่อมาอยู่รวมกัน ก็กลายเป็นดูบ้านๆไปเสีย และในตอนนี้ใบหน้าของเขาก็ได้เผยรอยยิ้มอันชั่วร้าย

หานแส!?

เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน?

คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามนาง กำลังมองท่าทีของนางอย่างใจจดใจจ่อ จากนั้นก็ยิ้มมุมปากอย่างร้ายกาจ พลางถามเรียบๆว่า:

“แปลกใจปานนั้นเชียวรึ?”

“เจ้ามาทำการใดที่นี่?” ไอ่แปลกใจน่ะก็แปลกใจ อย่างไรก็ตามในขณะนี้นางก็ระวังตัวมากยิ่งขึ้น

“แล้วเจ้านั้นมาทำการใดที่นี่กันล่ะ?” หานแสยิ้มขณะใช้คำถามตอบคำถาม

“ก็ไม่ได้ตั้งใจแค่บังเอิญเข้ามา แล้วเจ้าล่ะ? บังเอิญเหมือนกันรึ?”

ทันใดนั้นก็พบว่า ไม่รู้จะพูดเช่นไรดี หานแสผู้ไร้สัมมาคารวะกำลังยิ้มอย่างชั่วร้าย อีกทั้งรอยยิ้มที่ชั่วร้ายนี้ก็ไม่ใช่การแสร้งขึ้นมาแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าการยิ้มเช่นนี้มันช่างไม่มีความเข้ากันกับท่าทีของเขาในเพลานี้เสียเลย

หรือว่านี่คือรอยยิ้มโดยปกติของเขา……

อย่างไรก็ตาม รอยยิ้มเช่นนั้นเหมือนทิ่มแทงเข้าที่ตาของนาง ทำให้นางอึดอัดเสียเหลือเกิน

“บังเอิญรึ? จะมีเหตุบังเอิญเกิดขึ้นบนโลกได้มากมายปานนั้นเชียว?”

“อืม~~พูดเช่นนั้น งั้นเจ้าก็ตั้งใจมาที่นี่ เพื่อระลึกถึงบางอย่างงั้นรึ? หรือว่ามีสิ่งใดปิดบังอยู่ที่นี่กันล่ะ?

เขาดูคุ้นชินกับที่แห่งนี้อย่างมาก

ใครจะไปรู้……

ว่าหานแสจะขำออกมา “เจ้าไม่กลัวว่ายิ่งรู้มากก็จะยิ่งเป็นอันตรายรึ?”

ในชั่วพริบตา

รังสีอำมหิตที่มองไม่เห็นก็แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว พร้อมล้อมรอบหลานเยาเยาไว้ในที่สุด

เขาค่อยๆเด็ดใบไม้ จากนั้นก็สูบฉีดกำลังภายใน ดวงตาขุ่นมัวอันงดงามค่อยๆเบิกกว้าง เมื่อนิ้วเรียวยาวที่ขาวผ่องตวัดขึ้น ใบไม้ใบนั้นก็พยศดั่งม้าป่า หลุดจากปลายนิ้วไปอย่างรวดเร็ว และแล้วก็แทรกเข้าไปในต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ

เสียง “ตู้ม” ต้นไม้ใหญ่ล้มลงกับพื้นเกิดเสียงดังลั่น

เมื่อเห็นเช่นนั้น!

แววตาของหลานเยาเยาก็เป็นประกาย และพูดด้วยยิ้มกริ่มว่า: “หากบอกว่าไม่รู้แล้วจะไม่เป็นอันตรายเช่นนั้นรึ?”

นางเคยฆ่าคนมาแล้วครั้งหนึ่ง รู้ว่าความรู้สึกของคนใกล้ตายนั้นเป็นอย่างไร

ถึงแม้ว่าเพลานี้นางจะรู้สึกถึงรังสีอำมหิต แต่นางก็ไม่ได้รู้สึกถึงความสิ้นหวังหรือความกลัวที่จะตาย

เช่นนั้นแล้ว!

นางหาได้กลัวไม่

ตายเป็นวิญญาณทั้งๆที่ตระหนักรู้ยังแกร่งกล้า กว่าเป็นวิญญาณที่ตายเปล่า

“หึ ก็ใช่”

ขณะที่พูด หานแสก็ค่อยๆเดินเข้ามาจัดผมที่ยุ่งเหยิงของนางให้เข้าที่เข้าทาง แล้วก็เดินผ่านนางไป โดยไม่พูดอะไร และจากไปอย่างผ่อนคลายในทันที

หลานเยาเยาหันหน้าไปมองร่างของเขาที่ไกลออกไปเรื่อยๆ จึงรีบตะโกนถามว่า:

“เจ้ารู้จักหนอนพิษกู่จิ้นหรือไม่?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น!

หานแสก็หยุดชะงัก แต่ก็แค่ชะงักเพียงเท่านั้น จากนั้นก็เดินต่อไป และก่อนที่เขาจะเดินหายลับตาไป เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นมา: “บนโลกนี้ไม่มียาถอนพิษนั่นอีกแล้ว”

อะไรนะ?

ไม่มียาถอนพิษอีกแล้วงั้นรึ?

นี่ก็หมายความว่า……เคยมียาถอนพิษมาก่อนงั้นสิ

เมื่อรู้เช่นนี้ หลานเยาเยาก็โล่งอกโล่งใจไปหลายเปาะ

“ชนเผ่านี้ต้องมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับราชวงศ์เก่าเป็นแน่ นอกจากมีเรื่องตราราชลัญจกรหยกแพร่ออกมาแล้ว ยังจะมีความลับใดที่ซ่อนอยู่อีกนะ?”

เพลานี้ หลานเยาเยาก็มองไปทางกำแพงที่พุพัง และนึกถึงหานแส ในขณะเดียวกันก็นึกถึงเย่แจ๋หยิ่ง แววตาก็ดำดิ่งไปอย่างช่วยไม่ได้

……

แต่เมื่อกลับมาถึงที่พำนักของฮัวหยู่อัน ด้านในนั้นก็ไม่มีคนเสียแล้ว

และก็ได้เห็นเด็กสาวที่อุทิศตนรับใช้ฮัวหยู่อัน จึงถามไปว่า:

“คนในที่พำนักล่ะ?”

“ท่านหมายถึงพี่หยู่อันใช่หรือไม่เจ้าคะ?” เด็กสาวผู้ถักเปียสองข้าง ถามนางด้วยดวงตาที่กลมโต

“อืม นางไปที่ใดแล้วรึ?”

“พี่หยู่อันบอกว่านางจะไปหาเหล่าผู้อาวุโสเจ้าค่ะ”

“แย่ล่ะ”

เมื่อครู่ก็ลืมพูดกับเสี่ยวฮัว การที่นางไปหาเหล่าผู้อาวุโสคนเดียวเช่นนี้ จงอย่าพูดอะไรที่ผิดแผกแตกต่างออกไป

มิเช่นนั้นเสี่ยวฮัวจะตกอยู่ในอันตรายเมื่ออยู่ในชนเผ่านี้ต่อไปในอนาคต

ไม่ได้การล่ะ นางจักต้องตามไปดู

และแล้ว นางก็ให้เด็กสาวนำทางนางไป มาถึงด้านหน้าที่พำนักของผู้อาวุโสใหญ่ นางยังไม่ทันได้เข้าไป ก็ได้ยินเสียงดังมาจากในห้อง “เพล้ง”