คุกใต้ดินจวนผู้ตรวจการมีพื้นที่ไม่ใหญ่มากนัก ปกติแล้วพวกโจรกลุ่มน้อยที่มักจะสร้างความวุ่นวายในเมืองต่างก็ไม่เคยถูกขังในคุกแห่งนี้ เป็นคุกที่มีไม่เกินสี่สิบห้อง และยังมีห้องขังที่ไม่ได้ใช้งานบางส่วน กรงเหล็กจึงใกล้ผุพัง ขังคนไม่ได้

ไม่ต้องเอ่ยถึงความเย็นเยือกและความอับชื้น ห้องขังทุกห้องมีขนาดเล็กมาก ขังคนได้ประมาณสี่คน มั่นใจได้เลยว่าจะต้องเบียดกันจนหายใจไม่ออกแน่

เมื่อทั้งสองคนเดินมาถึงหน้าประตู ก็เห็นเซวียชางที่กำลังหาววอดเอนกายพิงผนังหิน ท่าทางสะลืมสะลือราวกับยังไม่ตื่น

“เซวียชาง! ทำอะไรน่ะ ยังไม่ตื่นอีกหรือ?”

เขาเป็นคนมีไหวพริบคนหนึ่ง จึงเบิกตาโพลงทันที

“อ่า พี่ใหญ่เจิ้ง… พี่ใหญ่หลิน!”

เจิ้งอันจึงก่นด่าด้วยถ้อยคำหยาบคายใส่เซวียชางไม่ยั้ง “เมื่อเช้าก่อนข้าจะไปได้กำชับว่าอย่างไร? ต้องระวัง ต้องระวังมากกว่านี้ เจ้าระวังแบบนี้งั้นหรือ? กลางวันแสก ๆ ยังคิดจะงีบหลับ? หากคุกใต้ดินเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะชี้แจ้งกับท่านผู้ตรวจการและเหล่าพี่น้องอย่างไร! แล้วเฉินจิ่นเล่า? พวกเจ้าสองคนต้องอยู่ด้วยกันไม่ใช่หรือ? ”

ในที่สุดเซวียชางก็ได้สติกลับมา และนึกกลัวภายหลังไปชั่วขณะหนึ่ง

เขาตอบกลับว่า “เฉินจิ่นเข้าไปในคุกใต้ดิน บอกว่าจะไปเดินตรวจการเสียหน่อย”

ในขณะที่สติสัมปชัญญะกำลังกลับคืน จู่ ๆ เซวียชางก็พลันรู้สึกแปลกใจ “ก็เห็น ๆ อยู่ว่าเมื่อวานข้านอนหลับเต็มอิ่มแล้ว เหตุใดถึงยังงีบหลับอยู่อีก?”

เจิ้งอันไม่สนใจว่าเขาจะหลับสบายหรือไม่ เพียงแต่นึกรำคาญใจที่เหล็กทั่งไม่ยอมเป็นเหล็กกล้า* “ลมหนาวไม่พัดผ่านให้สมองเจ้าตื่นตัวบ้างหรืออย่างไร?”

*คิดหรือทำอะไรแล้วไม่ได้ดั่งใจ

ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันนั้น จู่ ๆ หลินเหราก็ถามขึ้นประโยคหนึ่ง “เฉินจิ่นเข้าไปนานแค่ไหนแล้ว?”

เดิมทีเซวียชางคิดว่าหลินเหราจะเอ่ยตำหนิเขา แต่กลับคาดไม่ถึงว่าเขาจะถามถึงเฉินจิ่น จึงทำได้แค่ตอบอย่างซื่อตรง “ก็ครู่ใหญ่แล้วแหละ เมื่อเช้าหลังจากที่พี่ใหญ่เจิ้งออกจากคุกใต้ดิน เขาก็เข้าไป”

เจิ้งอันตกตะลึงทันใด “นี่มันสองชั่วยามแล้วนะ?”

ทั้งสองคนมองหน้ากัน แต่กลับเห็นหลินเหราสูดลมหายใจ ใบหน้าเคร่งขรึมขึ้น “กลิ่นนี้มันแปลกพิลึกชอบกล!”

เซวียชางไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง แต่เจิ้งอันกลับมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป “สหายหลิน เจ้าได้กลิ่นหรือ?”

เจิ้งอันจึงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ กระทั่งสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมจาง ๆ ของดอกไม้

แต่เพราะเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ ในจวนผู้ตรวจการจึงมีบุปผานานาพรรณผลิบานมากมาย กลิ่นนี้จึงเจือจางมาก ทำให้ผู้อื่นมองข้ามได้ง่าย

เซวียชางเองสูดดมมันเข้าไปเช่นกัน และเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “แถวคุกใต้ดินปลูกดอกไม้ด้วยหรือ?”

หลินเหราไม่ได้อธิบายมากมายนัก เขาเพียงออกคำสั่งด้วยสีหน้าจริงจัง “ใช้แขนเสื้อปิดจมูกไว้ สูดดมให้น้อยที่สุด เจิ้งอันเข้าไปกับข้า เซวียชางเฝ้ารักษาการณ์อยู่ด้านนอก”

เมื่อทั้งสองคนหยิบคบเพลิงเข้าไปในคุกใต้ดินแล้ว ในตอนนั้นเองเซวียชางก็ได้ปฏิกิริยาตอบสนองโดยไม่ทันตั้งตัว หรือว่าเขาจะโดนวางยาจึงได้หลับไป?

ทันใดนั้นแผ่นหลังของเซวียชางก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น หากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ พี่ใหญ่หลินและพี่ใหญ่เจิ้งก็จะมีอันตรายน่ะสิ?

หลินเหราและเจิ้งอันทั้งสองคนรีบเข้าไปในคุกใต้ดิน แต่แวบแรกที่เห็นกลับเป็นเฉินจิ่นที่นอนไม่ได้สติอยู่บนพื้น

เจิ้งอันเร่งฝีเท้ารุดขึ้นหน้า ตรวจสอบลมหายใจของเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง ก่อนจะเงยหน้าพูดกับหลินเหราว่า “แค่หลับไปเท่านั้น”

สีหน้าของหลินเหราเคร่งเครียดขึ้น เขาไม่ได้พาเจิ้งอันเข้าไปอย่างเลินเล่อแต่กลับพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “พาเขาไปยังที่มีอากาศถ่ายเทด้านนอกคุกใต้ดิน”

เจิ้งอันเข้าใจความหมายแฝงของเขาทันที แต่ก็อดพูดอย่างเป็นกังวลไม่ได้ “หากคนที่อยู่ในคุกใต้ดินเป็นคนจุดธูปที่ทำให้มึนงงนี้ เกรงว่าพวกเขาคงจะเตรียมการมาก่อนแล้ว… สหายหลินเข้าไปคนเดียวมันอันตรายเกินไป สู้เข้าไปด้วยกันก่อน เราค่อยวางแผนกันอีกที”

ที่เขาพูดก็มีเหตุผล

ตอนสร้างคุกใต้ดินนั้น มีแค่ทางออกแค่ทางเดียว

ถ้าคนที่อยู่ในคุกใต้ดินเป็นคนจุดธูปที่ทำให้มึนงงเพื่อจะใช้โอกาสนี้หลบหนี ตราบใดที่พวกเขายังหนีไม่ได้ต่อให้กางปีกได้ก็หนีออกไปไม่พ้น

การที่พวกเขาออกไปเรียกกำลังเสริม มาจับคนที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมเหล่านี้เป็นวิธีการที่เหมาะสมที่สุด

แต่หลินเหรามีการวิเคราะห์ของตัวเอง เขาทำได้แค่ส่ายหน้าและพูดว่า “เจ้าพาเฉินจิ่นออกไปก่อน”

เจิ้งอันรู้ว่าหลินเหราพูดแล้วคำไหนคำนั้น แทนที่จะเสียเวลามาถกเถียงกับเขาในตอนนี้ สู้เขาพาเฉินจิ่นที่หลับใหลไม่ได้สติออกไปก่อนดีกว่า

ครั้นคิดได้ดังนี้ เจิ้งอันก็แบกเฉินจิ่นเดินออกไปนอกคุกใต้ดินทันที

เห็นได้ชัดว่าระยะทางแค่นี้ไม่ไกล แต่ด้วยความที่มือข้างหนึ่งต้องถือคบเพลิง อีกข้างหนึ่งต้องแบกเฉินจิ่นที่ไม่ได้ช่วยผ่อนแรงเลยแม้แต่น้อย เจิ้งอันที่เดินออกไปไม่กี่ก้าวก็ถึงกับเหงื่อผุดซึมทั่วทั้งหน้าทีเดียว

กระทั่งเขาเห็นแสงรำไรจากด้านนอก ตัวเองก็เผลอสูดดมกลิ่นธูปเหล่านั้นไปไม่น้อย เวลานี้สมองจึงเริ่มมึนงง

“พี่ใหญ่เจิ้ง?” เซวียชางที่เฝ้ารักษาการณ์อยู่ข้างนอกได้ตะโกนเรียก แต่แล้วก็ต้องตกตะลึง “เฉินจิ่นเป็นอะไร?”

เสียงของเขาดังมากจนถึงระดับที่แสบแก้วหูเลยทีเดียว ครั้นเจิ้งอันได้ยินก็ถึงกับปวดกะโหลก จากนั้นก็ใช้เสียงที่ดังยิ่งกว่าตะโกนตอบกลับไป “ไม่เห็นหรือว่าเขานอนหลับเหมือนหมูนอนตาย? ยังไม่รีบมาช่วยอีก ยืนอึ้งทำซากอะไรอยู่ตรงนั้น?!”

เซวียชางได้ยินว่าเฉินจิ่นแค่หลับไป จึงได้ปล่อยวางจิตใจที่กำลังอกสั่นขวัญแขวนด้วยความเป็นกังวลลง

เขารีบก้าวรุดขึ้นหน้า ช่วยรับตัวเฉินจิ่น น้ำหนักของผู้ชายที่โตเต็มที่ได้กดลงบนแขนของเขาในทันที จนเกือบทำให้เซวียชางล้มลงเลยทีเดียว

“มัวแต่เห็นแก่กิน เฉินจิ่นเกือบตายแล้ว…”

เจิ้งอันยืนอยู่ท่ามกลางกระแสลม จึงได้สูดดมเอาอากาศที่พัดไปมาข้างนอกเข้าในโพรงจมูกหลายครั้ง กระทั่งรู้สึกว่าสมองของตนตื่นตัวไม่น้อย

เขากำชับว่า “เจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่ห้ามไปไหนเด็ดขาด คิดหาทางปลุกเฉินจิ่นให้ได้ ข้าจะเข้าไปดูสหายหลินว่าเป็นอย่างไรบ้าง?”

เซวียชางยังไม่ทันจะพูดบางอย่าง ก็เห็นเจิ้งอันหมุนตัววิ่งกลับเข้าไปในคุกใต้ดินเสียแล้ว

เฉินจิ่นสลบไม่ได้สติ นอนหลับราวกับคนตาย เซวียชางประคองเขาได้ไม่นาน สุดท้ายก็วางเขาลงท่ามกลางสายลมที่พัดผ่าน ให้เขานั่งเอียงพิงต้นไม้

ด้านหนึ่งก็กำลังกลุ้มใจว่าจะปลุกคนที่กำลังหลับเหมือนหมูตายให้ตื่นได้อย่างไร

อีกด้านหนึ่ง เจิ้งอันได้รีบกลับเข้ามาในคุกอีกครั้ง แต่เนื่องจากเมื่อครู่ยกเฉินจิ่นไม่ไหว จึงต้องแบกร่างอีกฝ่ายด้วยมือทั้งสองข้าง ในมือตอนนี้จึงไม่มีแม้แต่คบเพลิง

ครั้นจะกลับไปหยิบ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าหลินเหราอยู่ข้างในคนเดียวจึงไม่วางใจ ทำได้แค่กัดฟัน แล้วเดินคลำทางเข้าไปในคุกที่มืดมิด

โชคดีที่แม้ว่าคุกใต้ดินจะมืดเพียงใด แต่กลับมีแค่เส้นทางเดียว ระหว่างทางจึงไม่มีอุปสรรคใดขวางกั้น

ทุกช่วงระยะทางที่ต้องก้าวเดิน จะมีแสงสว่างจากคบเพลิงหนึ่งด้ามเสมอ ไม่ถือว่ามองไม่เห็นเสียทีเดียว

หลังจากที่เดินไปได้ไม่ไกล เจิ้งอันก็เห็นเงาร่างของหลินเหราอยู่ด้านหน้า

เขาจึงเร่งฝีเท้าสองสามก้าวจนไล่ตามทัน “สหายหลิน ไม่เจอปัญหาอะไรใช่หรือไม่?”

หลินเหราทำเพียงขมวดคิ้วแน่น ในมือยังคงถือคบเพลิง สายตาจับจ้องเข้าไปในมุมลึกของคุกใต้ดินโดยไม่พูดสิ่งใด

เจิ้งอันไม่เข้าใจ “เป็นอะไร…”

เขาจึงมองไปตามสายตาของหลินเหรา แล้วก็ต้องตื่นตกใจจนเหงื่อเย็นผุดซึมไปทั่วทั้งตัว “ทะ ทำไมในคุกใต้ดินถึงได้มีหนูมากมายขนาดนี้?”

ภายใต้แสงสว่างเรืองรองสลัว ๆ สีส้มอ่อนจากคบเพลิง ตามกำแพงหินที่เปียกชื้นและเย็นยะเยือกของคุกใต้ดิน เต็มไปด้วยหนูสีเทาตัวอวบอ้วนขนาดเท่าฝ่ามือรวมตัวกันกลุ่มหนึ่ง

แต่หนูเหล่านั้นดูไม่มีทีท่าว่าจะกลัวไฟแต่อย่างใด แม้ว่าจะถูกไฟสาดส่องตรงหน้า ก็ยังคงวิ่งไปวิ่งมา ไม่ได้ส่งเสียงร้องใด ๆ ออกมา

คุกใต้ดินอันมืดมิดเดิมทีก็เปียกชื้นจนแทบจะทนไม่ได้อยู่แล้ว กลับเพิ่มหนูที่ไต่กำแพงสูงกันยั้วเยี้ยกลุ่มนี้เข้ามา จึงยิ่งทำให้รู้สึกระทึกขวัญมากขึ้นไปอีก

แต่เสียงที่ฟังดูสงบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นของหลินเหราที่ดังขึ้นข้างหู ทำให้เจิ้งอันต้องสงบสติอารมณ์ลงอย่างเงียบ ๆ “คนที่จุดธูปนี้จะต้องมีความเชี่ยวชาญด้านการใช้ยา คิดว่านอกจากธูปที่ทำให้มึนงงเคลิบเคลิ้มแล้ว ก็ยังมียาอีกชนิดหนึ่ง นั่นคือยาที่เรียกพวกหนู แมลง และงูได้”

ครั้นได้ยินดังนั้นขนแขนของเจิ้งอันก็พากันลุกซู่อย่างพร้อมเพรียง รู้สึกเสียวฟันกรามไปชั่วขณะหนึ่ง “คนที่จุดธูปที่ทำให้มึนงงเป็นใครกันแน่? คงไม่ได้ถือโอกาสตอนที่คนเฝ้ากำลังมึนงง หนีออกจากคุกใต้ดินไปแล้วหรอกกระมัง?”

………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ใครเป็นคนจุดธูปยาสลบกันนะ ขอให้พี่เหราพี่เจิ้งหาตัวเจอด้วยเถอะ

ไหหม่า(海馬)