บทที่ 204 จากวันนี้ไป จะไม่มีโบสถ์แห่งจุดสูงสุดที่นอร์ซินอีก

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 204 : จากวันนี้ไป จะไม่มีโบสถ์แห่งจุดสูงสุดที่นอร์ซินอีก

นั่นมันเสียงเจ้าของร้านหลินหรือเปล่า?!

หรือว่านี่หมายความว่า…ร่างเงามหึมาที่บี้กาเบรียลได้ทันทีด้วยมือเดียวนั่นคือคุณเจ้าของร้านหลิน?!

จากสิ่งที่โจเซฟระลึกได้ เงาดำที่คลุมเครือนั้นได้คว้าร่างที่ไร้ทางสู้ของกาเบรียลด้วยมือเดียว ในช่วงเวลาสั้น ๆ นั้นกาเบรียลได้เปลี่ยนอารมณ์จากพึงพอใจไปเป็นลนลาน โทสะ แล้วจากนั้นก็สิ้นหวังโดยสิ้นเชิง สีหน้าเหล่านั้นคือภาพที่ยังติดตาเขาอยู่จนตอนนี้

แต่ตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นล่ะ?

เสียงเอะอะเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ รบกวนความเงียบสงบ โจเซฟพอจะแยกเสียงที่คุ้นเคยของเหล่าอัศวินจากหอพิธีกรรมต้องห้ามได้หลายเสียง พวกเขาเองก็ไม่สามารถถอดรหัสสถานการณ์ได้และดูงุนงงไม่ต่างจากเขา

โจเซฟตื่นจากภวังค์แล้วสังเกตเห็นศพที่ไหม้เกรียมของร็อดนีย์และสายรกที่แห้งเหี่ยวบนแท่นพิธี พวกเขา…ตายทั้งคู่แล้วใช่ไหม?

เขาตัดสินใจยื่นมือออกไปตรวจสอบ ทว่าเมื่อทำเช่นนั้น เขากลับโผเผลงไปกองกับพื้นทั้งตัว

ในตอนนี้เองที่เขาตระหนักถึงความสิ้นเรี่ยวแรงของตน ร่างกายของเขารู้สึกว่างเปล่าราวกับมีใครคั้นพลังออกไปจนหมดร่างเขา และในเวลาเดียวกัน ความเจ็บปวดสุดซึ้งก็แล่นพล่านไปทั่วร่างของเขา

โจเซฟคุ้นเคยกับความรู้สึกนี้ มันเหมือนกับครั้งก่อนในตอนที่เขาใช้อีเธอร์จนหมดร่างเพื่อใช้วิชาลับ แล้วนั่นก็ทำให้ตัวเองถึงขีดจำกัดแล้วหมดแรงล้มลง

ในระหว่างนั้น ความรู้สึกตัดขาดที่คล้ายกับคนเพิ่งตื่นจากฝันก็ค่อย ๆ สลายไป

เมื่อโจเซฟสงบใจลง เขาก็รู้สึกหัวโล่งมากขึ้น

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นความฝันทั้งนั้นเหรอ?

แต่ร็อดนีย์กับเทพจอมปลอมนั่นตายแล้วแน่ ๆ และสภาพไร้เรี่ยวแรงของเขาก็ชัดเจนมากเช่นกัน นี่หมายความว่าเรื่องทั้งหมดต้องเกิดขึ้นมาแล้วอย่างปฏิเสธไม่ได้

ด้วยประสบการณ์มากมายที่สั่งสมมาตลอดหลายปีที่เขาต่อสู้กับสัตว์มายา โจเซฟคิดว่าเขาน่าจะเข้าไปในช่องว่างระหว่างแดนนิมิตและความเป็นจริง สถานที่ซึ่งสิ่งที่เกิดในแดนนิมิตถูกสะท้อนสู่ความเป็นจริงได้

และเพราะเช่นนั้น ทั้งร็อดนีย์และเทพจอมปลอมจึงตายลง ในขณะที่ตัวเขาเองก็โจมตีแลกชีวิต ทว่าเพราะทุกสิ่งเกิดขึ้นในแดนนิมิต ความเสียหายจึงส่งผลกับแค่ร่างกายเขา ในขณะที่สิ่งก่อสร้างและสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ

ณ จุดนี้ โจเซฟก็มองไปข้าง ๆ ทันที และเป็นไปตามคาด ดวงตาของเขาพบวินเซนต์นอนหมดสติอยู่ในสภาพที่ยังมีเลือดนองออกมาจากอกที่ถูกเทพจอมปลอมทะลวง

และรัศมีจันทร์ยังคงโอบล้อมร่างของมูเอน แสงจันทร์ที่เหมือนเส้นด้ายโอบล้อมเธอราวกับเป็นรังไหมที่ห่อเธอเข้าไป ทำให้เนื้อหนังของเธอดูเรืองแสงได้

“โลจิสติกส์! มีใครจากฝ่ายโลจิสติกส์อยู่บ้าง? มาช่วยที่นี่เร็ว!”

โจเซฟตะโกนเรียกคนข้างนอกด้วยเสียงอันดัง อุปกรณ์สื่อสารที่แต่เดิมพวกเขาถืออยู่ถูกอีเธอร์ขยี้เละไปแล้ว และในเมื่ออีเธอร์ในตัวเขาเองก็เหลือน้อยเต็มที เขาจึงพึ่งได้เพียงเสียงของตัวเอง

แม้ว่าพวกอัศวินข้างนอกต่างงงวยกับเหตุการณ์ในตอนนี้ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ได้รับการฝึกฝนขั้นตอนการทำงานมาเป็นอย่างดี แม้จะไม่รู้อะไรเลย แต่พวกเขาก็รู้ว่าพวกตนจะต้องทำอะไรบ้าง

เหล่านักเวทที่รับผิดชอบการปฐมพยาบาลในฝ่ายโลจิสติกส์รีบรุดมายังจุดเกิดเหตุแล้วรักษาวินเซนต์ทันที

โจเซฟอาศัยช่วงเวลาฟื้นพลังในการสอบถามสถานการณ์ภายนอก ซึ่งมันตรงตามที่เขาคาด พวกที่ถูกดึงเข้าไปในแดนนิมิตนั้นต่างถูกสะท้อนอาการบาดเจ็บในความเป็นจริงด้วย

ในตอนนี้ คนจากทั้งวิหารกลางดูจะตื่นจากความฝันแปลก ๆ กันหมดแล้ว พวกที่รอดออกมาไม่ได้ดูจะถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ แล้วบดขยี้ซ้ำอีกเป็นพัน ๆ ครั้ง และสิ่งที่หลงเหลือของพวกเขาก็ดูน่าคลื่นเหียน ทว่าสิ่งปลูกสร้างโดยรอยนั้นยังคงสมบูรณ์พร้อม ไม่มีการถูกแตะต้องใด ๆ

นั่นคือแดนนิมิตของคุณหลิน?

โจเซฟเดินออกไปแล้วจ้องมองที่ดวงจันทร์อันสงบเงียบเหนือท้องฟ้า

คนของหอพิธีกรรมต้องห้ามในวิหารกำลังสนทนากับคนที่ประจำอยู่ด้านนอกอย่างเข้มข้น และต่างคนต่างให้บรรยากาศไม่อยากเชื่อ

“เป็นไปได้ยังไงกัน? พวกเราอยู่ข้างในแค่ห้านาที?!” หัวหน้าหน่วยรบวินสตันอุทานด้วยใบหน้าที่ชุ่มด้วยเหงื่อเย็น ๆ

“เพิ่งผ่านไปห้านาทีจริง ๆ เราเพิ่งติดต่อกับสภาผู้อาวุโสหลังจากตั้งเกราะพลังเวทด้านนอกได้ แล้วพวกนายก็ออกมากันแล้ว…นี่ฉันยังรอฟังอยู่นะว่าในวิหารมันเกิดอะไรขึ้น!”

“นี่ถ้าไม่มีการตอบกลับในอีกสักพัก เราก็จะเข้าไปเป็นกำลังเสริมกันอยู่แล้วเนี่ย”

ผู้รับหน้าที่ส่งกำลังเสริมนั้นมาจากแผนกโลจิสติกส์ ในตอนนี้ เขาทำได้เพียงชี้เกราะพลังเวทที่เรืองแสงอยู่รอบ ๆ แล้วยักไหล่เบา ๆ

“เดี๋ยวก่อนนะ ฉันแน่ใจว่าเราสั่งให้ตั้งเกราะพลังเวทแล้วรายงานสภาผู้อาวุโสไปก่อนเริ่มศึกสักพักแล้วนี่ หรือเวลาจะเดินไม่ตรงกันในแต่ละฝั่งนะ? แต่อุปกรณ์สื่อสารก็ยังเชื่อมต่อกันได้นี่…”

“ใช่ ตอนนั้นมันดูแปลกนิดหน่อยจริง ๆ ครับ แต่เพราะคำสั่งที่ออกมามันตรงตามหลักการทำงานมาตรฐาน รวมกับเวลาที่มีไม่มาก เราเลยไม่ได้คิดอะไรมากมายกับมัน”

แล้วคนจากแผนกโลจิสติกส์ที่รับผิดชอบก็พูดต่อด้วยสีหน้าซับซ้อน “ผมไม่คิดเลยว่าการต่อสู้จะจบลงทันทีหลังออกคำสั่งเสร็จ…”

โจเซฟสังเกตเห็นใบหน้างุนงงของวินสตันจึงเดินไปตบบ่าเบา ๆ “อย่าเครียดไป สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นคือเจ้าของร้านหลินเขามาช่วยเราน่ะ”

วินสตันตกตะลึง “เจ้าของร้านหนังสือที่นายติดต่อด้วยคนนั้นน่ะนะ?”

โจเซฟพยักหน้าแล้วถอนหายใจอย่างลึกล้ำ “ก่อนการต่อสู้ ฉันก็เพิ่งจะไปหาเจ้าของร้านหลินมา แล้วเขาก็ย้ำฉันเรื่อง ‘กับดัก’ เป็นพิเศษ แต่ว่า…เขาก็พูดด้วยว่าเรามีพลังไม่พอ ดังนั้นต่อให้เรารู้ตัว การต่อสู้กับเทพจอมปลอมก็กินพลังทั้งหมดของเราไปแล้ว ทำให้เราไม่มีทางสู้ต่อได้เลย”

“เจ้าของร้านหลินหยั่งถึงเรื่องนี้แล้ว แล้วเขาก็บอกฉันว่า ‘เราก็แค่ทำอย่างสุดความสามารถ แล้วตัวเขาจะจัดการที่เหลือเอง’ แล้วก็เป็นไปตามนั้น เขาปรากฏตัวขึ้นมาในตอนที่พวกเราหมดพลังแล้ว”

โจเซฟตบบ่าวินสตันอีกครั้งแล้วพูดต่อ “ตราบใดที่มีเจ้าของร้านหลินอยู่ที่นี่ เจ้า ‘กาเบรียล’ นั่นคงเละเป็นชิ้น ๆ ไปแล้วล่ะ”

“สงครามจบแล้ว”

โจเซฟเหลือบมองวิหารเบื้องหลังเขา

ไม่มีใครรู้ว่ามีสาวกและเหล่านักบวชสักกี่คนกันที่ถูกหลอกมาฆ่าโดยโบสถ์แห่งจุดสูงสุดในตลอดชั่วอายุของมัน

ทว่าทุกสิ่งที่เหลือในตอนนี้ก็มีเพียงดินแดนรกร้างว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง

“จากวันนี้ไป จะไม่มีโบสถ์แห่งจุดสูงสุดที่นอร์ซินอีก”

วินสตันยังอยู่ในสภาวะไม่อยากเชื่อ เขารู้ว่าในฐานข้อมูลระบุถึงเจ้าของร้านหนังสือชื่อ ‘หลินเจี๋ย’ ที่ระดับพลังเป็นความลับ ข้อมูลนี้ไม่สามารถเผยแพร่ได้ ซึ่งหมายความว่าเขาถูกระบุว่าอยู่ในระดับจุดยอดของระดับเหนือนภา

แต่ใครจะคิดว่าเขาจะแข็งแกร่งได้ขนาดนี้…

แดนนิมิตจุติขึ้นมาในเวลาเพียงห้านาที แล้วการต่อสู้เดิมพันชีวิตของระดับเหนือนภาสองคนก็ถูกตัดสินในทันทีอย่างง่ายดายขนาดนั้น

ยิ่งกว่านั้น เงาดำยักษ์ที่โผล่มาในตอนท้ายนั่นคืออะไรกันแน่?

การระลึกถึงมันทำให้สันหลังของวินสตันหนาวเยือก ถ้าไม่ใช่ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นในแดนนิมิตล่ะก็ ร่างใหญ่ยักษ์ของเทพจอมปลอมที่กว้างอย่างน้อยก็หนึ่งกิโลเมตรคลุมท้องฟ้าไปเกือบทั้งหมด ทว่ามันกลับมีขนาดแค่ฝ่ามือของร่างนั้นเท่านั้นเอง

พวกเขาทั้งหมดเทียบกับเทพจอมปลอมแล้วก็ดูราวกับมดตัวจ้อย แต่เมื่อเทียบกับร่างเงานั้นแล้ว พวกเขาทุกคนต่างก็เหมือนเป็นแค่เม็ดฝุ่น!

พวกเราเข้าไปในแดนนิมิตตั้งแต่เมื่อไหร่กันแน่?

แล้วไม่มีใครที่สัมผัสอะไรได้เลยด้วย…รวมไปถึงเจ้ากาเบรียลที่ดักซุ่มโจมตีเราอยู่นั่นด้วย

นี่มันอะไรกัน!

มันคือการบดขยี้โดยสมบูรณ์!

แล้วคนที่บดขยี้คนระดับเหนือนภาได้…คืออะไรล่ะ?

นี่เป็นเวลาต้นฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้น แต่วินสตันกลับรู้สึกหนาวเยือกจนทำได้เพียงห้ามตัวเองไม่ให้สั่นงันงกไว้เท่านั้น โชคดีที่โจเซฟที่เดินจากไปแล้วไม่ทันสังเกตเห็น

จนกระทั่งอุปกรณ์สื่อสารในมือของเขาร้องออกมาอย่างต่อเนื่อง วินสตันถึงตั้งสติได้ และเมื่อเปิดมันขึ้นมาเขาก็พบว่ามันเป็นวีดิโอคอลส่วนตัวจากผู้อาวุโสลำดับที่สี่…โซโลมอน

วินสตันรับสายทันทีแล้วใบหน้ากร้านโลกก็ปรากฏขึ้น โซโลมอนไม่ได้พูด แต่เขากลับนำของสิ่งหนึ่งออกมา มันคือบันทึกการโจมตีของหอพิธีกรรมต้องห้ามต่อวิหารกลางของโบสถ์แห่งจุดสูงสุด

เหมือนกับที่เจ้าพนักงานจากแผนกโลจิสติกส์กล่าวไว้ วิทยุเงียบสงัดเมื่อหน่วยรบแนวหน้าพุ่งเข้าไปในวิหาร เกิดความเงียบที่แม้เข็มตกยังได้ยินอยู่ห้านาทีเต็ม แล้วบรรยากาศลี้ลับนั้นก็เพิ่งจะมาถูกทำลายลงเมื่อเกิดเสียงอุทานปนเปกันออกมาอย่างกะทันหัน

โซโลมอนเล่นเทปซ้ำอีกครั้ง ลดความเร็วของมันลงแล้วหยุดการเล่น

บนหน้าจอ วิหารสั่นสะเทือนและดูจะสร้างภาพเงาออกมา ต่อจากนั้น เงาลาง ๆ ที่ใหญ่เสียจนเก็บภาพได้ไม่หมดก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้ายามราตรี

แทบจะพร้อม ๆ กันนั้น มหาสมุทรดวงดาวอันไม่รู้จบอันกว้างใหญ่และรีเหมือนกับรูปไข่ก็ประกอบขึ้นบนท้องฟ้า

ก่อนที่ร่างเงานั้นจะหายไป ดูเหมือนมันจะหันมามองจุดบันทึกภาพตรง ๆ อยู่ครู่หนึ่ง

วินสตันสะดุ้งไปครู่หนึ่ง แล้วภาพที่อัดไว้ก็ตัดไปที่จุดนี้

โซโลมอนปิดการฉายภาพแล้วถามขึ้นว่า “วินสตัน คุณเข้าใจไหมว่านี่คืออะไร?”

วินสตันครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนที่จะตอบ “…มันคือรอยแยกของแดนนิมิตครับ”

โซโลมอนส่ายหน้า “นี่คือเขตแดนของเทพเจ้าต่างหาก”

ดวงตาของวินสตันหรี่ลง เขารู้สึกราวกับเอาหัวโขกแล้วโดนค้อนทุบซ้ำ ทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก

แล้วโซโลมอนก็พูดเสริม “เราติดตามปฏิบัติการนี้มาตั้งแต่เริ่มแล้ว หรือก็คือ เราจับตามองเรื่องทั้งหมดนี้อยู่ตลอด ฉันไม่เคยคิดเลยว่าเราจะสามารถบันทึกช่วงเวลานี้ไว้ได้ โดยส่วนตัวฉันเชื่อว่าเราอาจจะพอประมาณการคาดเดาถึงตัวตนที่แท้จริงของเจ้าของร้านหนังสือได้แล้วก็ได้”

ถ้าไม่ใช่เทพเจ้า อย่างน้อยก็ต้องเป็นทูตของเทพเจ้าสักตน…

วินสตันถามอย่างไม่แน่ใจ “งั้น…เราควรทำยังไงดีครับ?”

“ทุ่มทุกอย่างเพื่อสืบและขอความช่วยเหลือจากเขา…วิถีแห่งดาบอัคคีนั่นเป็นชื่อที่ไม่ได้ยินมานานแล้ว”

โจเซฟค้นวิหารอยู่นานก่อนที่ในที่สุดเขาจะได้พบก้อนน่าสงสัยที่ดูเหมือนกาเบรียลกองอยู่ในหลืบหนึ่ง

ในเมื่อสิ่งนี้ดูไม่เหมือนมนุษย์อีกต่อไป โจเซฟชี้ว่าเป็นกาเบรียลได้จากตรา ‘วิถีแห่งดาบอัคคี’ อันเป็นเอกลักษณ์บนเสื้อผ้าของเขา

คนระดับเหนือนภาสองคน แห้งเกรียมไปหนึ่ง แล้วอีกหนึ่งก็ตายไม่เหลือศพ

นับว่าอนาถ…

โจเซฟสั่งให้เก็บซากและชุดเหล่านี้กลับไป… ร่างของคนในระดับเหนือนภานั้นยังคงบรรจุพลังเกินจินตนาการเอาไว้อยู่ดี วัตถุดิบทำสิ่งของเหนือธรรมชาติที่มีคุณภาพเช่นนี้ไม่ควรปล่อยให้เสียเปล่า

เมื่อโจเซฟหันกลับมา เขาก็เห็นมูเอนยืนอยู่ใกล้ ๆ พร้อมกับวินเซนต์ที่รักษาจนพอจะเดินได้บ้างแล้ว

ทั้งคู่พูดคุยและหัวเราะให้กับสถานการณ์ในตอนนี้ของพวกเขา แล้ววินเซนต์จึงถามขึ้น “เราไปหาเจ้าของร้านหลินด้วยกันไหมครับ? เราควรต้องขอบคุณเขาที่ช่วยเรา และป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายมากไปกว่านี้จริง ๆ”

เมื่อนึกย้อนถึงการต่อสู้ที่ผ่านมา เกราะพลังเวทไม่น่าจะทนมันได้ และตอนนั้นชีวิตนับไม่ถ้วนของประชาชนตาดำ ๆ ในบริเวณใกล้ ๆ ก็คงดับสิ้นไปแล้ว

น้ำท่วมจากเทพพิรุณในก่อนหน้านี้แย่พอแล้ว แล้วครั้งนี้มันก็อุกกาบาตถล่มชัด ๆ นอร์ซินคงต้องซ่อมแซมรากฐานกันยกใหญ่ ในขณะที่หอพิธีกรรมต้องห้ามก็คงต้องรีดเลือดขูดทุนตัวเองมาจัดการกับความเสียหายอีกครั้งหนึ่งแน่

แดนนิมิตที่เจ้าของร้านหลินสร้างขึ้นนั้นป้องกันการเสียงบประมาณมากมหันต์ได้ สำหรับพวกเขา เขาก็คือผู้กอบกู้ที่แท้จริง

มูเอนลังเลเล็กน้อย แต่คิดว่าตอนนี้เจ้าของร้านหลินน่าจะตื่นขึ้น เธอพยักหน้าแล้วตามโจเซฟกับวินเซนต์ไปที่ร้านหนังสือ

ความวุ่นวายที่ยังอยู่ในสถานที่เกิดเหตุก็ย่อมถูกทิ้งไว้ให้แผนกโลจิสติกส์จัดการ

ในตอนที่พวกเขาเข้าไปใกล้ร้านหนังสือ พวกเขาก็เห็นหลินเจี๋ยในชุดนอนเปิดประตูออกมาพร้อมกับหาว เขามองขึ้นมาแล้วทักทายพวกเขาด้วยรอยยิ้ม “โย่”

ดวงตาของหลินเจี๋ยกระตุกเมื่อเขาเห็นยุงตัวหนึ่งบินผ่านมา แล้วก็ฟาดฝ่ามือตบเพียะเข้าให้ “มียุงรบกวนการนอนของผมตลอดทั้งคืนเลยครับ ทุกชีวิตควรจะมีความหมายนะ แต่พวกยุงหน้าไม่อายพวกนี้ไม่มี จะอยู่หรือตายก็ไม่มีอะไรต่างกันเลย”

หลินเจี๋ยเหลือบมองคนทั้งสามแล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้าพิลึกพิลั่น “จะว่าไป ผมเพิ่งจะฝันเรื่องน่าสนใจที่สุดมาด้วยล่ะ”