บทที่ 180 เสียสละเพื่อกระบี่วารีสารทกระจ่างล้ำ

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

ไป๋ชิวหรานย้อนกลับมายังวิหาร เจียงหลานจึงเอ่ยทักทายเขาทันที และยังช่วยถอดเสื้อคลุมที่สวมใส่ทับด้านนอกเพื่อนำไปพับวางไว้อีกแห่ง

“ข้าได้ยินว่าเทพสายฟ้ามาที่นี่งั้นหรือ?”

ไป๋ชิวหรานนั่งลงที่โต๊ะในห้องส่วนตัว ก่อนเอ่ยถามต่อไป

“เขามาด้วยจุดประสงค์ใดกัน?”

“ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญใด เขามาในนามจักรพรรดิสวรรค์ สงสัยเรื่องพลังอำนาจ แต่ข้าตอบแบ่งรับแบ่งสู้ไปแล้ว”

เจียงหลานตอบกลับ

“พลังอำนาจ?”

ชายหนุ่มพลันระมัดระวังเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำนั้น

“จักรพรรดิไท่อีสังเกตเห็นถึงความผิดปกติอย่างนั้นหรือ?”

“ใช่ แต่เจ้าอย่ากังวลไปเลย ข้ามีวิธีซ่อนเร้นความจริง”

เจียงหลานเบี่ยงเบนประเด็นสนทนาอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยถามกลับ

“ทางฝั่งของเจ้าพบเบาะแสใดบ้างหรือไม่?”

เดิมทีเขาอยากจะถามไถ่ต่อไปว่าเจียงหลานคิดจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร ทว่าเมื่อกล่าวถึงหัวข้อนี้… กลับบอกเล่าด้วยความกระตือรือร้นยิ่ง

“ข้าพบแล้ว คนที่ข้ากำลังตามหาอาจอาศัยอยู่ภายในซากปรักหักพังหวนคืน”

“ซากปรักหักพังหวนคืนงั้นหรือ?”

เจียงหลานครุ่นคิด

“ข้าเคยได้ยินท่านป้าซีเหอกล่าวไว้ว่าที่แห่งนั้นไม่อาจเข้าถึงได้ด้วยกลวิธีสามัญ ทั้งยังมีอันตรายมากมายอยู่ข้างในนั้น แต่จะไม่ห้ามปรามหากเจ้าต้องการเข้าไป ถึงกระนั้นก็ควรระวังให้มากขึ้น”

“ข้ารู้”

ไป๋ชิวหรานพยักหน้าแล้วกล่าวต่อไป

“อยากจะขอให้เจ้าคอยดูแลเผ่ามนุษย์ในขณะที่ข้าไม่อยู่ เจ้าเด็กนั่นจวนจะบรรลุสู่ระดับขั้นใหม่ในไม่ช้านี้ ข้าจะทิ้งวิธีการฝึกสอนไว้ให้ก่อนที่จะจากไป นั่นจะสามารถช่วยข้าสร้างแรงบันดาลใจให้กับเขาได้”

“มอบให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะ”

เจียงหลานหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยถามอีกครั้ง

“จริงสิ ข้าเคยได้ยินเจ้าพร่ำบ่นอยู่บ่อยครั้งว่าไม่สามารถเหาะเหินกระบี่ใช่หรือไม่?”

“ใช่”

ชายหนุ่มถอนหายใจ

“ยากนักที่จะเสาะหากระบี่บินสามารถรองรับความแข็งแกร่งของข้าได้ น่าเสียดายยิ่ง หากมีกระบี่บินในครอบครองแล้วล่ะก็ ข้าจะสามารถเดินทางไปยังซากปรักหักพังหวนคืนได้ด้วยตนเอง”

“ข้าเข้าใจแล้ว”

เจียงหลานพยักหน้าก่อนกล่าวออก

“ไปซากปรักหักพังหวนคืนในครั้งนี้ ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าจะกลับมา เจ้าควรอยู่ที่นี่ต่อไปสักระยะหนึ่ง เพื่อตระเตรียมการและสะสางทุกสิ่งให้เรียบร้อยก่อนจะออกเดินทาง”

“ข้ารู้”

ไป๋ชิวหรานโคลงศีรษะ มองเจียงหลานที่ลุกขึ้นและเดินจากไปแล้วโพล่งถาม

“แล้วเจ้าจะไปที่ใดหรือ?”

“ว่าจะแวะไปเยี่ยมเยียนท่านป้าซีเหอสักหน่อย”

เจียงหลานตอบกลับโดยไม่มองย้อนกลับไป

“เจ้าอย่าได้ดิ้นรนหาทางไปด้วยตัวเองโดยเด็ดขาด โปรดรอจนกว่าข้าจะกลับมา ข้าไปไม่นานหรอก”

หลังออกจากวิหาร เจียงหลานก็เดินทางไปพบซีเหอที่ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ฝูซาง

เวลานี้ท้องฟ้าเริ่มมืดมิดสนิทลง อีกาทองสามขากลับมายังต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์แล้ว ขณะเคลื่อนเข้าใกล้ฝูซางดวงตะวันสีทองเพียงดวงเดียวบนท้องฟ้าก็กลายร่างเป็นสตรีผู้สะสวย สง่างาม และเปี่ยมไปด้วยความอารีในชุดกระโปรงยาวสีทอง ครั้นเห็นเจียงหลานมาถึงจึงทักทายนางด้วยความกระตือรือร้น

“หืม? เสี่ยวหลานเอ๋อร์ เจ้ามาที่นี่เพื่อเล่นสนุกกับพี่สาวของเจ้าหรอกหรือ?”

“พี่จินวู บังเอิญเหลือเกินที่ข้ามีเรื่องต้องหารือกับท่าน เช่นเดียวกันกับท่านป้าซีเหอ”

เจียงหลานกล่าว

“เกิดอะไรขึ้น?”

ขณะนั้นเอง ซีเหอก็เดินออกมาจากเรือนไม้ และกล่าวทักทายเจียงหลาน

“ข้าต้องการปรับแต่งพลังอำนาจเหนือท้องทะเลให้กลายเป็นยุทธภัณฑ์เจ้าค่ะ”

เจียงหลานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจกล่าวออก

“ว่าอย่างไรนะ?!”

ซีเหอและอีกาทองสามขาอุทานพร้อมกัน

“หลานเอ๋อร์ เจ้าพูดจริงหรือ?”

ซีเหอรีบคว้าไหล่ของเจียงหลานแล้วเอ่ยถาม

“รู้หรือไม่ว่าสิ่งนี้มีความหมายกับเจ้าอย่างไรบ้าง?”

“อย่ายึดติดกันมันจนเกินไปเลยเจ้าค่ะ ฐานะทางปุโรหิตของข้าไม่ได้มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น”

น้ำเสียงของเจียงหลานสงบราบเรียบราวไม่แยแส

“แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือการต้องเสียสละซึ่งจิตวิญญาณของเจ้า!”

จินวูกล่าวด้วยเสียงดังจากด้านข้าง

“สำหรับเขาเพียงคนเดียว นั่นคุ้มค่าแล้วหรือ?”

“ไม่ใช่เพียงสำหรับเขาเท่านั้น”

เจียงหลานตอบอย่างจริงจัง

“จักรพรรดิตะวันออกไท่อีเริ่มเพ่งเล็งความผิดปกติของพวกเราแล้ว หากข้าไม่ทำเช่นนี้ เราทุกคนจะต้องตกอยู่ในอันตราย อีกทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์จะต้องประสบกับความหายนะอีกครั้ง”

ซีเหอผู้เป็นแม่และจินวูผู้เป็นบุตรสาวยังคงนิ่งเงียบ

“ท่านป้าซีเหอ พี่จินวู ข้ารู้ว่าพวกท่านสามารถช่วยเหลือข้าได้”

เจียงหลานก้มศีรษะให้ทั้งสองก่อนจะกล่าวต่อไป

“ได้โปรดเถอะเจ้าค่ะ โปรดช่วยข้าในครั้งนี้ด้วย”

เหตุผลที่จักรพรรดิตะวันออกไท่อีไม่คิดขุดรากถอนโคนสายเลือดของราชวงศ์ก่อนหน้า เป็นเพราะความจำเป็นที่จินวูยังต้องคอยควบคุมดูแลการโคจรของดวงอาทิตย์ ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ที่ควบคุมร่วมกันโดยจินวูและซีเหอ สามารถหลอมละลายแม้แต่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าได้!

ทั้งนี้ยังร่ำลือกันว่าระฆังจักรพรรดิตะวันออกได้ถูกสร้างขึ้นโดยการช่วยเหลือจากทั้งซีเหอและจินวูเช่นกัน

หลังจากนั้น ซีเหอก็ได้แต่ถอนหายใจ

“เอาเถิด ป้าคาดเดาไว้แต่แรกแล้วว่าเจ้าจะต้องดำเนินตามครรลองนี้”

“แต่ท่านแม่…”

จินวูต้องการเกลี้ยกล่อมนาง แต่ถูกซีเหอยกมือขึ้นเป็นเชิงปราม

“ไม่มีประโยชน์ที่จะห้ามปรามนางหรอก ลูกสาวเอ๋ย”

ซีเหอมองไปที่เจียงหลานด้วยความสงสารจับใจ ก่อนกล่าวว่า

“ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว เช่นนั้นจงตามป้ามาเถอะ หลานเอ๋อร์”

หลังจากที่เจียงหลานออกจากวิหารเพื่อเดินทางไปยังฝูซางแล้ว ไป๋ชิวหรานจึงอาศัยอยู่ภายในวิหารเพียงลำพัง

ถึงแม้นางจะเดินทางไปพบซีเหอด้วยตัวคนเดียว ทว่าไป๋ชิวหรานยังวางใจอยู่บ้าง อย่างน้อยเทพธิดาองค์นั้นคงไม่มีทางทำร้ายนาง และยินดีปกป้องจากภยันตรายใด ๆ

นอกจากนี้ ถึงแม้ทั้งสองจะมีสถานะเป็นคู่สามีภรรยากัน แต่เขาก็ไม่สามารถควบคุมได้หากเจียงหลานต้องการจะไปที่ไหนก็ตาม

เจียงหลานยังคงอยู่ในที่แห่งนั้นนานกว่าสองเดือนแล้วนับตั้งแต่ที่จากไป ไม่อาจรู้ว่านางต้องการทำสิ่งใดกันแน่ ขณะที่ไป๋ชายหนุ่มทุ่มเทไปกับการวิเคราะห์โครงสร้างคัมภีร์เทพของนาง ซึ่งนับว่าคุ้มค่าอย่างยิ่ง เพราะแม้แต่ระฆังจักรพรรดิตะวันออกผู้ซึ่งส่งตนเองและจื้อเซียนมาสู่ยุคสมัยนี้ยังทำความเข้าใจได้ยาก

เมื่อมีเวลา เขาจะเดินทางไปยังหมู่บ้านของเผ่ามนุษย์เพื่อเดินเล่นและสำรวจ จากนั้นก็ตรวจสอบความก้าวหน้าในการฝึกฝนของลี่ แล้วสอนเคล็ดวิชาใหม่โดยวิธีทางอ้อมให้

ชายหนุ่มพบว่าเจ้าเด็กคนนี้มีโอกาสติดพันกับบุตรสาวของผู้นำเผ่า และเดาว่าทั้งสองอาจแต่งงานกันในเร็ววันนี้

เป็นเวลาสองเดือนต่อมา เจียงหลานก็กลับมายังวิหาร ไป๋ชิวหรานสังเกตเห็นว่าใบหน้าของนางซีดเซียว ลมหายใจหรือก็เฉื่อยชาลงเล็กน้อย จึงถามไถ่ด้วยความห่วงใย

“เกิดเรื่องร้ายแรงใดขึ้นกับเจ้ากัน?”

เขาหยุดชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวประโยคอื่นเพิ่มเติม

“จิบน้ำร้อนสักหน่อยดีหรือไม่…”

“ข้ายังสบายดี”

เจียงหลานถอนหายใจอย่างอ่อนแรง ก่อนจะส่งห่อผ้าทรงยาวในมือให้กับเขา

“ลองดูเถิดว่าเจ้าสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้หรือไม่”

ชายหนุ่มหยิบห่อผ้าขึ้นมาคลี่ออกดูด้วยความสงสัย ครั้นเปิดออกแล้วเขาได้แต่กลั้นหายใจ

ภายในห่อผ้ามีกระบี่ยาวงดงามวิจิตรที่สอดอยู่ในฝักกระบี่ ฝักกระบี่นั้นประดับด้วยทอง เงิน และมรกตจำนวนหนึ่ง ทั้งยังมีโซ่เงินห้อยคล้องอยู่ทั้งสองด้าน ไป๋ชิวหรานชักกระบี่ยาวออกมา พบว่าตลอดใบมีดเป็นสีฟ้าครามน้ำทะเล ซึ่งให้กลิ่นอายราวเกลียวคลื่นที่ซัดไปมา ประหนึ่งใต้ทะเลลึกสุดก้นบึ้งที่มีทั้งความลึกลับและน่าสะพรึงกลัว

“งดงามเหลือเกิน”

ไป๋ชิวหรานผ่อนลมหายใจออกขณะกล่าวชื่นชม

“แน่นอนว่า…”

ยังไม่ทันที่เจียงหลานจะกล่าวจนจบ ไป๋ชิวหรานกลับเอื้อมมือออกมารวบฝ่ามือทั้งสองของนางไว้

“เจ้าทำอะไรลงไป?”

ใบหน้าเจียงหลานซับสีแดงระเรื่อเล็กน้อย ทว่าไป๋ชิวหรานยังคงคาดคั้นต่อไปอย่างจริงจัง

“อย่าเพิ่งขยับกาย ให้ข้าตรวจดูหน่อย”

สัมผัสเทวะของเขาเจาะทะลุเข้าไปตรวจสอบภายในร่างกายของเจียงหลานอย่างถ้วนถี่ หลังจากถอนสัมผัสเทวะคืนกลับมาแล้ว ไป๋ชิวหรานจึงก้าวถอยหลังพร้อมเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“เหตุใดเจ้าถึงทำเช่นนี้?”

เจียงหลานเบี่ยงหน้าออกไปอีกทาง ขณะนี้นางรู้สึกผิดเล็กน้อย

“ข้าทำลงไปก็เพื่อเบี่ยงเบนความกังขาของจักรพรรดิตะวันออกไท่อี…”

ไป๋ชิวหรานจ้องมองสตรีตรงอยู่นานสองนาน ในที่สุดก็ถอนหายใจยาว

“ข้าไม่สมควรได้รับมันเลย”

“จะเหมาะสมหรือไม่นั้นไม่สำคัญ ถึงอย่างไรข้าก็ตัดสินใจไปแล้ว…”

เจียงหลานกระซิบพึมพำบางอย่าง ก่อนจะกล่าวต่อไป

“อย่างไรก็ตาม พลังอำนาจแห่งท้องทะเลได้ถูกแปรเปลี่ยนกลายเป็นยุทธภัณฑ์ชิ้นนี้แล้ว ข้าจึงไม่สามารถนำมันกลับคืนมาได้อีก เจ้ารับไว้ใช้เสียเถอะ”

ไป๋ชิวหรานกระชับด้ามกระบี่ยาวแน่น ก่อนจะถ่ายโอนขั้นวิญญาณแท้จริงเข้าไป หลังจากมันได้รับขั้นวิญญาณแท้จริงจากเขา ตัวกระบี่พลันส่งเสียงกระหึ่มพร้อมกับการสั่นสะท้าน ในที่สุดมันก็สามารถรองรับขั้นวิญญาณแท้จริงของชายหนุ่มได้สำเร็จ

ชายหนุ่มยังคงถือกระบี่ไว้ในมือด้วยความพึงพอใจโดยไม่คิดจะวางลง แล้วเอ่ยถามว่า

“มันมีชื่อเรียกหรือไม่?”

“มีสิ”

เจียงหลานกะพริบตา

“ข้าตั้งชื่อให้มันว่าวารีสารทกระจ่างล้ำ”