ตอนที่ 174 เรื่องดีกำลังบังเกิด

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

เจียงโม่หานคลี่ยิ้มแล้วเอ่ยกระตุ้น “ปีหน้าบุตรชายคนโตตระกูลหลินก็ต้องเข้าสอบถงเซิงขอรับ ! ”

ฟางเหยียนไว่หลางได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย จริงสิ ตระกูลหลินก็มีนักเรียนอยู่ 1 คน ตั้งแต่ราชวงศ์ใหม่ถูกสถาปนาก็มีหลายสิ่งหลายอย่างรอให้ทำอยู่ แม้ฮ่องเต้จะผ่อนปรนข้อจำกัดของผู้ทำการค้าแล้ว ทว่าพ่อค้าก็ยังมีฐานะต่ำสุดในสังคม ดังนั้นเมื่อบุตรหลานจากตระกูลพ่อค้าเข้าร่วมการสอบขุนนาง พวกเขาก็ยังต้องอยู่ในกฎระเบียบและข้อจำกัดเข้มงวดอยู่ดี

ฟางเหยียนไว่หลางคลี่ยิ้ม “บัณฑิตเจียงบอกว่าพวกเจ้าสองบ้านเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ”

พวกตนมาหาบัณฑิตเจียงอย่างกะทันหัน แต่ของที่นำมาต้อนรับก็ถูกยกมาจากบ้านตระกูลหลินทั้งหมดและบัณฑิตเจียงที่ดูเย็นชาแลเย่อหยิ่งกลับไม่ปฏิเสธหรือผลักไสแม้แต่น้อย…ดูท่าแล้วเรื่องดีของบุตรชายบุตรสาวสองบ้านนี้กำลังบังเกิด !

“ฮ่องเต้ให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติงานที่สุด ! กลับไปครานี้บัณฑิตเจียงจะต้องได้รับคำชื่นชมจากฝ่าบาทแน่นอน สอบเยวี่ยนซื่อปีหน้าเจ้าก็ทำให้ดี ! ด้วยสติปัญญาของเจ้าแล้ว สำหรับตำแหน่งซิ่วไฉไม่น่าจะมีปัญหาอันใด ! ไม่แน่ว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้าอำเภอเป่าชิงอาจมีจิ้นซื่อ ( บัณฑิตชั้นสูง ) รุ่นเยาว์ปรากฎตัวขึ้นก็ได้ ! ”

เมื่อนายอำเภอหวางได้ยินเช่นนั้นก็อดดีใจไม่ได้ ตั้งแต่สมัยโบราณผู้ที่ยังไม่ทันได้เข้าพิธีสวมกวาน1แล้วได้เป็นจิ้นซื่อมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย หากในอำเภอเป่าชิงบังเกิดขึ้นมาสักคนหนึ่งก็ถือเป็นหนึ่งในความสำเร็จของเขาไม่ใช่หรือ ? หากฮ่องเต้ให้ความสำคัญต่อบัณฑิตเจียงจริง ๆ อนาคตของเขาก็ต้องเป็นดั่งดอกไม้ไฟไปด้วยแน่นอน…

ทันใดนั้นนายอำเภอหวางก็ยิ่งทำดีต่อเจียงโม่หาน สายตาที่ใช้มองอีกฝ่ายก็เหมือนกำลังมองลูกหลานของบ้านตน

หลังรับประทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อย ใต้เท้าฟางยังชวนคุยเรื่องวิธีเขียนบัญชีรูปแบบใหม่ต่ออีกหน่อย ตอนแรกเริ่มนั้น ยามที่สหายฟ่านฝากวิธีเขียนบัญชีหลายสิบแผ่นให้ส่งเข้าราชสำนัก เขาก็ยังแอบหัวเราะว่าสหายทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่อยู่เลย

แต่หลังจากลองอ่านแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะให้เจ้าหน้าที่บัญชีของตระกูลมาลองทำตามรูปแบบบัญชีใหม่สองสามแผ่น พอมองแล้วก็เข้าใจเนื้อหาด้านในทันที เห็นได้ชัดว่าสะดวกมากแล้วก็ยังมีตัวเลขง่าย ๆ เหล่านั้น แม้แต่คนที่ไม่รู้หนังสือ แค่ใช้สัญลักษณ์เหล่านี้จนชำนาญก็จะสามารถเขียนบัญชีได้อย่างช่ำชอง

พอนึกถึงบันทึกกองเท่าภูเขาในกรมคลังเหล่านั้น ไม่ว่าจะนำมาทำบัญชีตอนไหน เขาและเพื่อนร่วมงานก็เหมือนโดนถลกหนัง แต่ถ้าใช้วิธีเขียนบัญชีเช่นนี้ก็จะสามารถประหยัดเวลาและพลังงานไปได้มาก…

เป็นอย่างที่คิดว่าหลังจากที่เขานำมันไปเสนอแก่ช่างชูแห่งกรมคลังแล้ว อีกฝ่ายก็ดูจะชื่นชอบมันเป็นอย่างยิ่ง ต่อจากนั้นก็ไม่พูดไม่จานำขึ้นถวายต่อหน้าพระพักตร์ทันที ส่วนทางฝั่งฮ่องเต้ก็ชื่นชอบเป็นอย่างมาก…

“วิธีเขียนบัญชีรูปแบบใหม่นี้ เหล่าฟ่านบอกว่าเป็นเจ้าเรียบเรียงและสรุปออกมาจากความคิดของเด็กสาวคนหนึ่ง เด็กสาวคนนั้นคงไม่ใช่บุตรสาวคนรองข้างบ้านหรอกกระมัง ? ” ฟางเหยียนไว่หลางยักคิ้วให้อีกฝ่ายแล้วฉีกยิ้มอย่างคลุมเครือ

“ขอรับ ! ” เจียงโม่หานนำสมุดบัญชีที่ยืมจากหลินเว่ยเว่ยออกมา จากนั้นก็วางไว้ตรงเบื้องหน้าของฟางเหยียนไว่หลาง “ใต้เท้าเชิญดู สมุดบัญชีเล่มนี้ผู้จดบันทึกเป็นคนไม่รู้ตัวอักษรเลยสักตัวขอรับ”

“นี่คือสิ่งใด ? หืม ? ดูเหมือนจะเป็นบันทึกในการจ่ายเงินให้คนงาน แต่รูปนกสยายปีกนี้หมายความว่าอย่างไร ? ” ฟางเหยียนไว่หลางมอง ‘รูปภาพและตัวเลข’ ในสมุดบัญชีด้วยความตื่นเต้น

“เรียนใต้เท้า นกสยายปีกหมายถึงเหล่าจาง ส่วนนกสยายปีกขนาดเล็กกว่าเหล่าจางหมายถึงเสี่ยวจางขอรับ” เจียงโม่หานช่วยอธิบาย

ฟางเหยียนไว่หลางพยักหน้า ขณะชี้ไปที่ตัวเลขอารบิกด้านในก็กล่าวว่า “ตัวนี้ข้ารู้จัก เลข 30 หมายความว่าทั้งสองคนนี้ได้ค่าแรงวันละ 30 อีแปะใช่หรือไม่ ? หืม แล้วผลไม้เล็ก ๆ นี้หมายความว่าอย่างไร ? ”

“ลูกพลัมหมายถึงเสี่ยวหลี่ขอรับ” สมุดบัญชีเล่มนี้มาจากหลิวว่ายจื่อจึงมีภาพวาดที่ไม่เหมือนใคร แม้ว่าภาพวาดยากที่จะมองออก แต่ทำให้เดาได้ว่าต้องการบันทึกสิ่งใด นี่ถือเป็นจุดแข็งของวิธีเขียนบัญชีรูปแบบใหม่กระมัง ?

“ไม่เลว ไม่เลว ! เจ้าสองคน คนหนึ่งฉลาดเกินใคร ส่วนอีกคนก็มากความสามารถ เหมาะสมกันอย่างไร้ที่ติ ! ” ฟางเหยียนไว่หลางอดไม่ได้ที่จะหยอกเย้า “ข้าสามารถนำสมุดบัญชีเล่มนี้กลับไปที่เมืองหลวงได้หรือไม่ ? ”

เจียงโม่หานตอบ “เรื่องนี้ต้องถามเจ้าของก่อนขอรับ”

เมื่อเรียกหลินเว่ยเว่ยมาสอบถามแล้ว คำตอบที่ได้ย่อมไม่มีปัญหา เพราะสมุดบัญชีเล่มนี้ใช้จดบันทึกค่าแรงคนงานก่อสร้าง ทว่าโกดังที่สร้างก็ถูกปล่อยเช่าออกไปแล้ว ดังนั้นสมุดบัญชีเล่มนี้จึงไม่เหลือประโยชน์อันใดมาก

ภายใต้การยืนกรานของเจียงโม่หาน ทำให้ฟางเหยียนไว่หลางแสดงออกว่าจะช่วยขอรางวัลให้หลินกู่เหนียง

เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ตอนที่ฟางเหยียนไว่หลางได้เข้าไปทูลรายงานในห้องทรงพระอักษร เขายังนำเรื่องของเด็กหนุ่มและเด็กสาวคู่นี้มาทูลเป็นเรื่องตลกต่อหน้าพระพักตร์ ฝ่าบาทจึงพอพระทัยในตัวเจียงโม่หานยิ่งกว่าเดิมและตรัสชมว่าเขาเป็นคนที่มีจิตใจดีงามเปี่ยมคุณธรรม ไม่ขอรางวัลแก่ตนและยังมีหัวใจที่ซื่อตรง ในราชสำนักขาดแคลนขุนนางเช่นนี้ที่สุด !

แต่แล้วฮ่องเต้ก็รู้สึกเสียดาย เหตุใดผู้มีความสามารถและความมุ่งมั่นถึงเพียงนี้ยังเป็นแค่ถงเซิง ! หากไม่เข้าร่วมการสอบซิ่วไฉในเดือน 8 ปีหน้าก็จะพลาดการสอบประจำฤดูใบไม้ร่วง ( ระดับภูมิภาค ) ไหนจะการสอบฮุ่ยซื่อ ( ระดับเมืองหลวง ) ที่ต้องรอกว่า 3 ปีถึงจะวนมาสอบอีกครั้ง ต้องเสียเวลาไปกว่า 4 ปี !

จริงสิ เมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์แล้วก็ดูเหมือนจะยังไม่ได้ประทานการสอบเค่อจวี่2เลยสักครั้ง ! ปีนี้เกรงว่างานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันประสูติครบรอบ 50 ชันษาของฮองเฮาก็พระราชทานการสอบเค่อจวี่สักครั้งเพื่อเฉลิมฉลองแล้วกัน !

ต่อจากนั้นฮ่องเต้ก็ออกพระราชโองการ นี่สามารถพระราชทานการสอบง่าย ๆ เช่นนี้เลยหรือ ?

ณ เขตเริ่นอัน กู่เหนียงใบหน้างดงาม รูปร่างสูงโปร่งในชุดสีเขียวอ่อนนางหนึ่งกำลังเดินตามหลังบัณฑิตที่มีใบหน้างดงามยิ่งกว่านางด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ

เมื่อมาถึงร้านขนมแห่งหนึ่ง สตรีผู้นั้นก็หยุดเดินแล้วมองเข้าไปในร้านค้า

เจียงโม่หานยังเดินต่อ ทว่าพอไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตามมา เขาก็หันกลับไปมอง เด็กคนนั้นกำลังมองเข้าไปในร้านขนมของผู้อื่น !

เขามองป้ายร้านขนมครู่หนึ่ง แต่ก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความกังวลแล้วเดินกลับไปหาหลินเว่ยเว่ย จากนั้นก็ถามเบา ๆ ว่า “อยากกินขนมหรือ ? ร้านขนมนี้ไม่มีผู้คนแวะเวียนเข้ามา พนักงานด้านในก็ว่างจนแทบนอนหลับ การค้าแย่เช่นนี้รสชาติคงไม่ต้องกล่าวถึง ด้านหน้ามีร้านขนมเก่าแก่อยู่หนึ่งร้าน หากเจ้าอยากกิน ข้าจะพาไปซื้อ ! ”

หลินเว่ยเว่ยหรี่ตาลงพร้อมรอยยิ้มที่ผุดขึ้นแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงลากยาว “เข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้วควรทำให้ร้านขายขนมและผลไม้อบอู๋จี้เจ๊งเสียที…”

เจ๊ง ? หมายความว่าอย่างไร ? นางคิดจะทำสิ่งใดอีก ? นางรู้จักตระกูลอู๋ได้อย่างไร ? แล้วมีความแค้นอันใดกับตระกูลอู๋ ? ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงท่าทางแสนเย่อหยิ่งของอู๋ปัว หรือเจ้าหมอนั่นเคยมีเรื่องกับนาง ?

เสียงของหลินเว่ยเว่ยเพิ่งเงียบลง เจียงโม่หานก็เห็นพ่อบ้านใหญ่ของตระกูลอู๋พาคนสองสามคนเดินเข้ามา หลังถอนหายใจและส่ายศีรษะแล้วก็กล่าวบางอย่างกับหลงจู๊และลูกน้องในร้าน ผ่านไปไม่นานร้านขายขนมและผลไม้อบอู๋จี้ก็แขวนป้ายว่า ปิดปรับปรุง…

ทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็ยกยิ้มมุมปากแล้วกล่าวสั้น ๆ ว่า “ทำเลร้านค่อนข้างดี แต่น่าเสียดาย…”

คำพูดประโยคนี้หนีไม่พ้นเจียงโม่หาน เขาหัวเราะเบา ๆ พลางเอ่ย “ถ้าเจ้าคิดว่าไม่เลวก็ซื้อไว้สิ ! ”

หลินเว่ยเว่ยครุ่นคิดก่อนจะกล่าวว่า “ข้าก็อยากซื้ออยู่หรอก แต่ไม่รู้ว่าเขาจะขายให้หรือเปล่า ! ”

สายตาของเจียงโม่หานกลับมาอยู่ที่ร้านค้าอีกครั้ง มุมปากก็ยกยิ้มเย็นชา “พวกเขา…ต้องขาย ! การที่ร้านขายขนมและผลไม้อบอู๋จี้เปิดกิจการต่อไปไม่ได้ เป็นฝีมือเจ้าใช่หรือไม่ ? ”

แม้คำพูดประโยคนี้จะเป็นประโยคคำถาม แต่มันเต็มไปด้วยความมั่นใจ

หลินเว่ยเว่ยคลี่ยิ้มแล้วเดินต่อไปด้านหน้า “ร้านเปิดต่อไม่ได้เพราะเจ้าของไม่ได้เรื่อง ลูกน้องดูแลไม่ดี แข่งขันสู้คนอื่นไม่ได้ ดังนั้นเกี่ยวอันใดกับข้า ? ”

1 พิธีสวมกวาน คือ ประเพณีก้าวพ้นวัยของจีน สำหรับภาคเหนือจะอยู่ที่บุรุษอายุ 20 ปี ขณะที่ภาคใต้จะอยู่ที่บุรุษอายุ 16 ปีโดยประมาณ

2 การสอบเค่อจวี่ เป็นการสอบคัดเลือกข้าราชการที่ฮ่องเต้มีพระราชโองการลงมาให้จัดสอบในช่วงเวลาใดก็ได้ มักโดนเหล่าขุนนางมองว่าเป็นการสอบทางลัดจึงไม่ได้รับความสนใจในหมู่บัณฑิตมากนัก

ตอนต่อไป