ตอนที่ 331 คุณหนูใหญ่ทำนายแม่น ตอนที่ 332

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 331 คุณหนูใหญ่ทำนายแม่น / ตอนที่ 332 อาจารย์สองมาตรฐานเกินไปแล้ว

ตอนที่ 331 คุณหนูใหญ่ทำนายแม่น

สะใภ้หวังกลับไปที่ห้องของตัวเอง ถือขวดแก้วเทยาหย่างหรงออกมากิน รู้สึกถึงกลิ่นหอมที่เข้มข้นของยา ทันใดนั้นก็ยิ้มออกมา ยิ้มไปยิ้มมาก็น้ำตาไหล

“ฮูหยิน ท่านเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ” เสิ่นหมัวหมัวไปเอาน้ำชามาเปลี่ยน เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ก็อดตกใจไม่ได้

สะใภ้หวังเช็ดน้ำตา เอ่ยว่า “หมัวหมัว เมื่อก่อนข้าเคยคิดว่าการแต่งเข้ามาในตระกูลฉินเป็นคำสั่งของบิดามารดา คิดว่าสตรีทุกคนจะต้องผ่านเรื่องเช่นนี้ ดังนั้นแต่งกับใครก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ข้ากลับรู้สึกว่าการที่ได้แต่งเข้ามาในตระกูลฉิน นับว่าชีวิตข้านั้นไม่แย่เลย”

เสิ่นหมัวหมัวตกตะลึงเล็กน้อย เอ่ยอย่างปวดใจว่า “แน่นอนว่าชีวิตท่านนั้นไม่ได้แย่ ต่อไปเมื่อคุณชายน้อยสามกลับมาก็จะยิ่งดีขึ้นเจ้าค่ะ” เพื่อไม่ให้นางคิดมากเกินไป จึงชี้ไปที่ขวดพลางเอ่ยว่า “คุณหนูใหญ่ให้มาอีกหรือเจ้าคะ”

สะใภ้หวังถอนหายใจ “ใช่แล้ว ข้ารู้สึกผิดจริงๆ ไม่รู้ว่าจะตอบแทนอย่างไรแล้ว หลังจากที่พูดความในใจกับนาง ก็ยิ่งรู้สึกว่าข้าใช้ชีวิตมาหลายปีแต่กลับไม่ได้มีความสงบนิ่งเหมือนนางที่พึ่งผ่านพิธีปักปิ่น เมื่อเจอเรื่องที่ไม่สามารถจัดการได้ก็ตื่นตระหนก”

“ดูเหมือนว่าคุณหนูใหญ่จะฝึกบำเพ็ญเต๋าจนรู้แจ้ง และเป็นคนที่มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ฮูหยินไม่จำเป็นต้องพยายามเอาใจนาง บ่าวเห็นว่าคุณหนูใหญ่มีความคิดที่ทะลุปรุโปร่ง ท่านแค่ทำตามปกติ ปกป้องนาง เชื่อใจนางก็พอแล้วเจ้าค่ะ”

สะใภ้หวังพยักหน้า ถือขวดในมือ รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ไหลผ่านเข้ามาในหัวใจ

ซานตง ตระกูลหลังหยาหวัง

เรือนเล็กเรือนที่สี่ของตระกูลหวัง เรือนโซว่คัง

ทันทีที่จังเฉวียนจยาเข้ามาในจวนก็ไปรายงานกับฮูหยินหวังผู้เฒ่าก่อน รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากำลังรออยู่ เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่า นางดูสีหน้าซีดเซียว จังเฉวียนจยาจึงตกใจ “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านป่วยจริงๆ หรือเจ้าคะ”

คำพูดของนางเกือบจะโพล่งออกมา ทำให้คนที่อยู่ตรงนั้นขมวดคิ้ว เหตุใดออกไปเพียงแค่คราวเดียว จังเฉวียนจยาก็ไม่รู้จักพูดจาเสียแล้ว

จังเฉวียนจยาก็รู้ว่าตัวเองเอ่ยผิดไป จึงรีบแก้ไขโดยเอ่ยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าสีหน้าไม่ค่อยดี บ่าวก็เลยร้อนใจเจ้าค่ะ” ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

“อากาศเปลี่ยนแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าก็เลยเป็นหวัด ทั้งอาการกลุ้มใจก็ยังไม่หายดี เจ้ารีบบอกมาว่าสะใภ้ใหญ่อยู่ที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง” หมัวหมัวข้างกายฮูหยินหวังผู้เฒ่าเอ่ยถาม

จังเฉวียนจยารีบหยิบจดหมายออกมาจากอ้อมแขนแล้วยื่นไปให้พลางเอ่ย “สะใภ้ใหญ่สบายดี ให้ฮูหยินผู้เฒ่าวางใจได้ แม้ว่าชีวิตจะไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ไม่ได้ต้องกังวลเรื่องกินเรื่องดื่ม ที่เรือนยังมีบ่าวรับใช้อีกสองสามคนคอยดูแล…”

นางเล่าทุกสิ่งที่นางเห็นและได้ยินที่บ้านเก่าของตระกูลฉินให้ฟัง

ทุกคนต่างก็โล่งใจ พากันปลอบใจฮูหยินผู้เฒ่า จากนั้นก็เปิดจดหมายอ่าน เป็นจดหมายที่สะใภ้หวังเขียนด้วยตัวเอง มีความรู้สึกห่วงหาและโทษตัวเองแฝงไว้ในตัวอักษรทุกบรรทัด ทำเอาฮูหยินผู้เฒ่าหลั่งน้ำตาอีกครั้ง

ไม่ง่ายเลยกว่าจะปลอบให้ฮูหยินผู้เฒ่าหยุดร้องไห้ได้ จังเฉวียนจยานึกถึงสิ่งของที่อยู่ในแขนเสื้อ ส่งสายตาไปยังฮูหยินผู้เฒ่า

ฮูหยินหวังผู้เฒ่าเอ่ยว่า “พวกเจ้าแยกย้ายกันไปเถิด จังเฉวียนจยามาช่วยข้าเปลี่ยนเสื้อผ้า”

จังเฉวียนจยาตามเข้าไป ทันทีที่เข้าไปในห้องก็นำสิ่งของมีค่าทั้งหมดออกมา แล้วถ่ายทอดคำพูดของสะใภ้หวังให้ฟัง

ฮูหยินหวังผู้เฒ่าตกใจมาก เปิดออกดูแล้วเอ่ยว่า “เป็นยาชื่อดังของร้านยาตำหนักอายุวัฒนะจริงๆ ด้วย เด็กคนนั้นมีเส้นสายนี้ด้วยหรือ”

จังเฉวียนจยาไม่กล้าเอ่ยมากเกินไป เพียงแต่เอ่ยด้วยความยำเกรงว่า “คุณหนูใหญ่ผู้นั้นเป็นคนฝึกบำเพ็ญเต๋าในเสวียนเหมิน อีกทั้งยังมีอำนาจ คู่ควรกับการเป็นคุณหนูใหญ่ ก่อนที่บ่าวจะกลับมา นางเอ่ยว่าท่านป่วย ดังนั้นบ่าวจึงตกใจเมื่อได้เห็นท่าน นางทำนายแม่นเกินไปแล้วเจ้าค่ะ!”

ฮูหยินหวังผู้เฒ่าศรัทธาในศาสนาพุทธ ยำเกรงต่อผู้ที่บำเพ็ญปฏิบัติ รีบเอ่ยว่า “เจ้าเล่าเรื่องเด็กคนนั้นให้ข้าฟังหน่อย”

จังเฉวียนจยารีบเล่าถึงความประทับใจและสิ่งที่นางเข้าใจทั้งหมดเกี่ยวกับฉินหลิวซี

“จริงใจ ตรงไปตรงมา” ฮูหยินหวังผู้เฒ่าบีบลูกประคำ ครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะเอ่ยว่า “พวกเจ้าว่า ด้วยความสามารถของนางจะสามารถรักษาเด็กตระกูลอดีตแม่ทัพเฉวียนผู้นั้นได้หรือไม่ หากรักษาได้ เช่นนั้นตระกูลเฉวียนก็ต้องจดจำบุญคุณนี้ใช่หรือไม่ ตระกูลเฉวียนก็นับว่าเป็นผู้มีอำนาจในซีเป่ย”

ตอนที่ 332 อาจารย์สองมาตรฐานเกินไปแล้ว

ฉินหลิวซีทั้งคันและร้อนที่บริเวณโคนหู หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งก็หยิบเหรียญทองแดงออกมาสองสามเหรียญแล้วทำนายดวงชะตา นับข้อนิ้ว เมื่อเห็นคำทำนายก็อดเลิกคิ้วไม่ได้

“เอ๋ ดาวพิฆาตดิถี[1] น่าสนุก”

นางเก็บเหรียญทองแดงไป เมื่อเห็นว่าฉีหวงและคนอื่นๆ ยังไม่กลับมาจึงเดินออกไป มองไปรอบๆ เห็นผู้ใหญ่และเด็กทั้งสองคนนั่งย่อตัวอยู่หน้าสวนสมุนไพร เสียงร้องดังเอะอะลอยมาอย่างแผ่วเบา

“ข้าฝึกบำเพ็ญมานับพันปี ในช่วงพันปีที่ผ่านมา ในโลกมนุษย์ไม่รู้ว่าเปลี่ยนฮ่องเต้มาแล้วเท่าไหร่ ช่วงเวลาอันรุ่งเรืองนี้ข้าก็พบเจอมาไม่น้อย” เสียงอันภาคภูมิใจของปีศาจโสมน้อยดังขั้น

“ว้าว เจ้าเก่งจริงๆ ทำไมเจ้าถึงไม่ตายล่ะ” วั่งชวนถามอย่างสงสัย

ปีศาจโสมน้อยสำลัก “ข้าเป็นถึงสมบัติล้ำค่า ฝึกบำเพ็ญทั้งวันทั้งคืนไม่ใช่สิ่งที่ไร้ประโยชน์ จะตายง่ายๆ เช่นนั้นได้อย่างไร”

“ไม่ตายง่ายๆ แต่จะถูกเอาไปตุ๋นน้ำแกงเสียง่ายๆ ก็เท่านั้น” ฉินหลิวซีเอ่ย

ปีศาจโสมน้อยอุทานด้วยความตกใจ มุดหัวกลับเข้าไปในดิน แล้วใช้รากสองเส้นขุดลึกลงไปในดินอีก จะได้ไม่ถูกปีศาจฉินดึงออกมาตบหน้า

เถิงเจาเกาปลายนิ้วที่คันของเขา จ้องไปยังปีศาจโสมน้อยที่มีใบไม้โผล่ออกมา ในใจคิดว่าเขาสามารถเล่นสิ่งนี้ได้หนึ่งปี

ปีศาจโสมน้อยตัวสั่นเทาอยู่ในดิน

ทำไมจู่ๆ มันถึงได้รู้สึกถึงความคิดที่ชั่วร้ายมากกว่าปีศาจฉิน

เมื่อเห็นฉินหลิวซีมา วั่งชวนก็กระโดดขึ้นมายืนข้างนาง “ท่านอาจารย์”

“กำลังทำอะไรอยู่หรือ” ฉินหลิวซีมองไปยังทั้งสองคน “เดินดูครบทั้งเรือนแล้วหรือ”

เถิงเจาและคนอื่นๆ พยักหน้า

ฉีหวงเอ่ย “เพียงแค่พาพวกเขาไปที่เรือนยา ยังไม่ได้ดูห้องปรุงยาและห้องเก็บสมุนไพรอย่างละเอียด ไว้ค่อยไปหลังจากเรียนรู้เรื่องนี้แล้วดีหรือไม่เจ้าคะ”

“อืม” ฉินหลิวซีเอ่ยกับศิษย์ทั้งสองว่า “เรือนยาเป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุดในเรือนนี้ อาจารย์ได้วางค่ายกลไว้ พวกเจ้ายังไม่รู้เรื่องค่ายกล อย่าเดินไปมั่วซั่ว เช่นนั้นเข้าไปแล้วจะออกไม่ได้”

วั่งชวนรีบเอ่ย “ข้าจะไม่เดินมั่วซั่ว”

เถิงเจาไม่ได้เอ่ยอะไร และไม่ได้บอกว่าเขาจำได้ว่าฉีหวงเดินไปอย่างไร รูปแบบค่ายกลนี้ได้สร้างแผนผังค่ายกลขึ้นมาในหัวของเขาโดยปริยาย เหมือนกับการจัดกองทัพทหาร

ฉินหลิวซีจ้องมองไปยังปีศาจโสมน้อยที่ทำเป็นแกล้งตายอยู่ในดินแล้วจึงเอ่ย “เมื่อครู่ปากเล็กๆ ยังส่งเสียงดังไม่หยุดหย่อน ทำไมตอนนี้ถึงหมดแรงเสียแล้ว”

ปีศาจโสมน้อยดันหัวขึ้นมา เผยให้เห็นดวงตาและปาก เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “มีแรงอยู่ แต่เห็นว่าท่านกำลังเอ่ย ข้าน้อยไม่กล้าเอ่ยแทรกตามอำเภอใจ”

ฉินหลิวซีหัวเราะในลำคออย่างเย็นชา เอ่ยกับเถิงเจาและคนอื่นๆ ว่า “การที่ปีศาจโสมน้อยสามารถฝึกบำเพ็ญมาได้นับพันปี นอกเหนือจากเมื่อก่อนที่หาสถานที่และที่พึ่งที่ดีแล้ว ก็นับว่ายืนหยัดฝึกบำเพ็ญด้วยความกลัวตลอดมาจนสามารถอยู่รอดมาได้จนถึงตอนนี้”

ปีศาจโสมน้อยที่ค่อยข้างภูมิใจในตอนแรก หลังจากได้ยินประโยคสุดท้ายก็เหี่ยวเฉาลงอีกครั้ง

“คนฝึกบำเพ็ญเต๋าอย่างพวกเราก็เช่นกัน ในขณะยึดมั่นในการยืนหยัดฝึกบำเพ็ญเต๋า ก็ต้องยึดหลักปรัชญาสามทัศน์ด้วย” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

ปรัชญาสามทัศน์คือการมองจิตใจ มองรูปลักษณ์ และมองสิ่งต่างๆ เพื่อบรรลุภาวะการลืมถึงการดำรงอยู่ของตัวเองและสรรพสิ่ง ดังนั้นพวกเจ้าต้องทำสมาธิเช้าทุกวัน ฝึกฝนร่างกายและจิตใจ อย่าได้เกียจคร้าน”

เถิงเจาพอเข้าใจอยู่บ้าง แต่วั่งชวนอายุน้อยกว่าจึงไม่ค่อยเข้าใจนัก เพียงแต่ฟังคำของท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น จึงตอบตกลงเสียงใส “ศิษย์จะปฏิบัติตามคำสอนของท่านอาจารย์เจ้าค่ะ”

เมื่อฉินหลิวซีเห็นท่าทางสับสนของพวกเขา ก็รู้สึกพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง การสอนศิษย์ดูเหมือนจะมีปัญหาอยู่บ้าง โดยเฉพาะเด็กน้อย หากพูดด้วยหลักเหตุผล ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสม

นางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เอาเป็นว่าต่อไปนี้หากอาจารย์ทำอะไร พวกเจ้าก็เรียนรู้ไว้ แต่เรื่องขี้เกียจห้ามเลียนแบบเด็ดขาด”

ฉีหวงกลั้นหัวเราะ

แม้แต่ปีศาจโสมน้อยก็ปิดปากไว้แน่น กลัวว่าตัวเองจะหัวเราะออกมาเสียงดัง

เห็นได้ชัดว่าอนุญาตเฉพาะขุนนางเท่านั้นที่สามารถจุดไฟได้ แต่ไม่อนุญาตให้ราษฎรทั่วไปจุดไฟ

“คุณหนู”

ฉินหลิวซีหันกลับไป มีร่างหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว กำลังจะพุ่งไปที่นาง แต่ฉีหวงตาไวคว้าคอเสื้อไว้อย่างรวดเร็ว

“อย่ารีบร้อน ขาของคุณหนูได้รับบาดเจ็บ หากเจ้ากระโจนใส่ต้องล้มเป็นแน่”

เฉินผีตกใจ มองไปยังฉินหลิวซี “คุณหนู ท่านออกไปได้ไม่กี่วัน ทำไมขาถึงได้รับบาดเจ็บเสียได้ ข้าบอกแล้วว่าไม่มีข้าคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายไม่ได้ ท่านดูสิ ขาได้รับบาดเจ็บแล้ว เอ๋ เจ้าตัวเล็กสองคนนี้เป็นใคร”

เขามองสำรวจเถิงเจาและวั่งชวน ในใจแอบรู้สึกถึงวิกฤต

“นี่คือศิษย์คนใหม่ของข้า” ฉินหลิวซียิ้มพลางแนะนำเถิงเจากับวั่งชวน และยังแนะนำตัวตนของเฉินผีให้แก่พวกเขา

เมื่อรู้ว่าเฉินผีกับฉีหวงเป็นพี่น้องแท้ๆ และเป็นคนที่ฉินหลิวซีไว้วางใจมากที่สุด เถิงเจาและวั่งชวนจึงคารวะเขาอย่างไม่กล้ารอช้า

เฉินผีถอยออกมา ตกตะลึงเล็กน้อย “คุณหนู ท่านรับศิษย์แล้วหรือขอรับ”

“ได้เวลารับแล้ว” หากยังไม่รับ นางก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำงานหนักไปอีกกี่ปีกี่เดือน

เฉินผีขอบตาแดงเล็กน้อย ก้มศีรษะลงแล้วเอ่ยพึมพำว่า “คุณหนูรับลูกศิษย์แล้ว ไม่ต้องการเฉินผีคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายแล้วใช่หรือไม่ขอรับ”

ฉินหลิวซีชะงักไปครู่หนึ่ง

ฉีหวงดุ “พูดจาอะไรเหลวไหล คุณหนูรับลูกศิษย์ไม่ได้หรืออย่างไร”

ฉินหลิวซีดึงนาง เอ่ยกับเฉินผีว่า “อย่าคิดไร้สาระ ศิษย์ก็คือศิษย์ พวกเขายังไม่เข้าใจอะไรเลย ยังพึ่งพาอะไรไม่ได้ ต่อให้พึ่งพาได้แล้ว แต่ข้าก็ยังต้องพึ่งพาเจ้ามากกว่า”

เฉินผีดีใจทันที เอ่ย “แต่ข้าไม่อยากดูแลร้านแล้วขอรับ”

“ต่อจากนี้ไปข้าต้องอยู่ที่ร้านบ่อยๆ หากเจ้าไม่ดูแลแล้วข้าจะเรียกใช้ใคร” ฉินหลิวซีเดินเข้าไปใกล้ เอ่ยว่า “เจ้าก็รู้ว่ากิจการที่ร้านของเราทำไม่ใช่กิจการทั่วไป ต้องการคนที่กล้าหาญและมีความใส่ใจ สามารถรับแรงกระแทกของพลังชั่วร้ายได้ เฉินผี เจ้าเป็นพลังหยางบริสุทธิ์ ในตอนนี้มีเพียงเจ้าคนเดียวที่สามารถดูแลร้านนี้ได้”

เฉินผีได้ยินดังนั้นจึงรีบเอ่ย “คุณหนูว่าอย่างไรข้าก็ว่าอย่างนั้น ในขณะที่ยังหาคนอื่นไม่ได้ ข้าจะดูแลร้านไปก่อน แต่หากมีคนที่เหมาะสม ข้าก็ยังอยากติดตามปรนนิบัติอยู่ข้างกายคุณหนูขอรับ”

“อืม”

“จริงสิ คุณหนู ร้านเตรียมพร้อมแล้วขอรับ ขาดก็แต่ป้ายชื่อร้าน จะให้คนไปทำหรือว่าท่านจะทำเองขอรับ” เฉินผีถามขึ้นมา

ฉินหลิวซีคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ย “เมื่อก่อนตอนที่ทำโลงศพตาเฒ่ากวนยังพอมีวัสดุไม้เหลืออยู่ เลือกมาสักแผ่น ข้าจะแกะสลักเอง”

เฉินผีหรี่ตา “หากท่านแกะสลักเอง เช่นนั้นจะต้องดีกว่าที่ร้านอื่นทำแน่นอนขอรับ”

หากเป็นป้ายที่คุณหนูแกะสลักด้วยตัวเอง เช่นนั้นมันจะไม่ใช่แผ่นป้ายที่มีแค่ชื่อร้านธรรมดาๆ ต้องมีความหมายทางเต๋าแอบแฝงอย่างแน่นอน

เฉินผีนึกอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ยังมีอีกเรื่องหนึ่งขอรับ แม้ว่าร้านจะยังไม่เปิด แต่ข้าได้รับลูกค้ามาแล้วหนึ่งคน ดูเหมือนจะรู้จักกับตาเฒ่ากวน เดิมทีมาหาตาเฒ่ากวนที่ร้านเพื่อสั่งโลงศพ ข้าเห็นว่าสีหน้าคนผู้นั้นมีบางอย่างผิดปกติ ลองถามดูจึงได้รู้ว่าโลงศพหลานชายของเขาพัง อยากจะสั่งโลงใหม่ขอรับ”

“หืม”

“แต่ข้าเห็นว่าสีหน้าของคนผู้นั้นไม่ได้เป็นกังวลเพียงเพราะเรื่องนี้ เมื่อถามอีกจึงได้รู้ว่าน้องสาวของเขาป่วยมานานแล้วรักษาไม่หายเสียที ข้าเห็นว่าคนผู้นั้นแต่งกายหรูหรา การที่น้องสาวป่วยมานานรักษาไม่หาย คาดว่าเป็นโรคเรื้อรัง จึงบอกไปว่าวิชาแพทย์ของคุณหนูไม่ธรรมดา เมื่อท่านกลับมาแล้ว ให้เขาพานางมาตรวจอาการ วันนี้เขามาอีกครั้ง ข้าจึงบอกได้เพียงว่าท่านยังไม่กลับมาขอรับ”

ฉินหลิวซีกลอกตา “เพราะเหตุนี้ข้าจึงได้บอกว่านอกจากเจ้าก็ไม่มีใครเหมาะสมที่จะช่วยดูแลร้านไปกว่านี้แล้ว ไม่มีใครเทียบไหวพริบนี้ได้ ยังไม่ทันเปิดร้านเจ้าก็ทำกิจการก่อนแล้ว ดีมาก พรุ่งนี้ข้าจะไปที่ร้าน จะได้จัดเตรียมเครื่องมือ แล้วก็แกะสลักแผ่นป้าย”

เฉินผีได้รับคำชมจนสีหน้าเต็มไปด้วยความสุข ซ้ำยังเอ่ยยกย่องอีกว่า “เป็นเพราะคุณหนูสอนมาดีขอรับ”

เขามองไปยังเจ้าตัวเล็กทั้งสองคน สีหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ แต่เมื่อสบตากับเถิงเจา เขาก็รู้สึกผิดในใจอย่างอธิบายไม่ถูก

แย่แล้ว ทำไมถึงรู้สึกเหมือนถูกมองออก สายตาเหมือนกับคุณหนูเป๊ะ ต้องตาฝาดไปแล้วแน่ๆ!

[1] ดาวพิฆาตดิถีอยู่ในดวงจะมีจิตใจที่กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว ใจใหญ่ใจนักเลง อำนาจ ความรุนแรง น่าเกรงขาม ไม่มีธรรมเนียมการปฏิบัติ กล้าต่อสู้ ชอบเสี่ยง เช่นอาชีพ ทหาร ตำรวจ