บทที่ 241 ฮ่องเต้เซี่ยเจินเป็นคนทำให้คนผู้นั้นหายไป

เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย

บทที่ 241 ฮ่องเต้เซี่ยเจินเป็นคนทำให้คนผู้นั้นหายไป

ราชองครักษ์ไม่ได้เข้ามาด้วย เมื่อเหลือคนเพียงไม่กี่คน เจียงเต๋อจึงลากคนรับใช้สองสามคนที่ติดตามมาด้วยออกไปตามหา

บังเอิญว่าทหารเกราะเหล็กยังคงกินข้าวกันอยู่ใต้ร่มไม้ เมื่อเห็นเจียงเต๋อมาถาม พวกเขาจึงเอ่ยอย่างดูแคลนขึ้นมา “เจ้าสารเลวพวกนั้น คาดว่าคงนอนเปิดก้นอยู่ในป่าที่ไหนสักแห่งแล้วกระมัง หากกงกงไม่รังเกียจ ให้พวกเราพี่น้องไปลากคนออกมาให้ก็ได้นะขอรับ”

เจียงเต๋อรู้สึกว่าคำพูดของพวกเขาออกจะรุนแรงไปสักหน่อย แต่เพราะไม่ใช่คนที่นี่จึงยอมให้พวกเขาช่วย ดีกว่าไปตามหาเอง

แต่เมื่อกลุ่มชายฉกรรจ์ของกองทัพทหารเกราะเหล็กลากคนออกมาจริง ๆ เจียงเต๋อก็รู้สึกว่าเขาคงไม่อาจใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างสงบสุขได้อีกแล้ว

“นี่มัน…”

คุณชายเหล่านี้ถูกลากออกมาทั้ง ๆ ที่บั้นท้ายเปลือยเปล่า และมีทหารเกราะเหล็กสองสามคนเอ่ยอย่างหยอกล้อขึ้นมา “เจ้าพวกนี้ปกติมักทำท่าทางอวดเบ่ง ไปหอนางโลมก็ชอบเรียกสาวงามมาทีละสามสี่คน ไม่กลัวแท่งเหล็กถูกฝนให้เป็นเข็มเลยหรืออย่างไร?”

“เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรกัน เดิมของพวกเขาเป็นเข็มอยู่แล้ว ขืนฝนต่ออีกก็คงไม่เหลืออะไรแล้ว”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า”

ชายฉกรรจ์กลุ่มนี้พูดจาประเจิดประเจ้อยิ่งนัก ทำให้คนเก่าคนแก่ในวังอย่างเจียงเต๋อกระอักกระอ่วนใจไม่น้อย เขารีบเข้าไปหยิบสายคาดเอวของคนเหล่านั้นมารัดให้เรียบร้อย พลางปรายตามอง เฮ้อ มิน่าเล่าคนเขาถึงได้หัวเราะเยาะ ไม่ใหญ่จริง ๆ ด้วย

อาศัยแค่มีหน้าตาที่นับว่าไม่เลวก็เท่านั้น

รอจนกระทั่งพวกเจียงเต๋อลากคนกลับมาอย่างหมดแรง ฮ่องเต้เซี่ยเจินก็เอ่ยขึ้นอย่างหมดความอดทน “เหตุใดแค่ออกไปฉี่ถึงได้หมดสติเช่นนี้ได้?”

เขาเอ่ยจบก็เดินเข้าไปเตะหนึ่งที ทว่าพวกเขาที่นอนอยู่ตรงนั้นกลับไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย

เจียงเต๋อมองฮ่องเต้เซี่ยเจินเล็กน้อย ก่อนจะโน้มตัวลงไปตรวจลมหายใจ “ยังอยู่พ่ะย่ะค่ะ”

“เช่นนั้นเหตุใดถึงไม่ขยับเลยเล่า?”

เจียงเต๋อมีประโยคหนึ่งแต่ไม่รู้ว่าควรพูดดีหรือไม่ สถานการณ์เช่นนี้ดูเหมือนตอนนั้นที่เผยยวนหมดสติเป็นอย่างมาก

คงไม่ใช่…ตาต่อตา ฟันต่อฟัน?

“ฝ่าบาท สถานการณ์เช่นนี้ กระหม่อมคิดว่า…”

เอ่ยถึงตรงนี้ ฮ่องเต้เซี่ยเจินก็ลมหายใจสะดุดขึ้นมาทันที “เขา…เขากล้าหรือ?”

เจียงเต๋อชำเลืองมองฝ่าบาทของเขาเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าอย่างจนปัญญา มีอะไรที่เขาไม่กล้ากัน

ถูกต้อง สถานการณ์ในตอนนี้เขาเลือกที่จะแตกหักแล้ว เด็กหนุ่มที่เมื่อก่อนเคยคุกเข่าต่อหน้าเขา มือถือดาบยาวและกล่าวว่าจะภักดีตลอดไปไม่มีอีกแล้ว

ฮ่องเต้เซี่ยเจินเป็นคนทำให้คนผู้นั้นหายไปด้วยตัวของเขาเอง

ห้องโถง

องค์หญิงใหญ่ลูบหมากในมือ พลางเอ่ยถามขึ้นมา “เซี่ยเจินไม่ได้ไปสอบถามหานเหล่ยเลยหรือ?”

อีและเอ้อร์สบตากัน “ไม่พ่ะย่ะค่ะ”

เซี่ยวั่งซูยกยิ้มอย่างเข้าใจ “ไปเถอะ ควรทำอะไรก็ไปทำ อย่าให้คนอื่นคิดว่าพวกเราจงใจกลั่นแกล้ง”

“พ่ะย่ะค่ะ”

ทันทีที่ทั้งสองเดินออกไป เซี่ยวั่งซูก็จิ้มลงบนกระดานหมาก มองหน้าเด็กหนุ่มตรงหน้าแล้วเอ่ยขึ้นมา “อาฉือ เจ้าต้องจำเอาไว้ ชีวิตคนก็เหมือนหมากล้อม ตั้งแต่อดีตการต่อสู้ระหว่างฮ่องเต้และขุนนาง มักขึ้นอยู่กับว่าใครมีฝีมือมากกว่ากัน ฮ่องเต้ที่ไม่สนใจเรื่องภายนอกย่อมหลอกลวงได้ง่ายที่สุด แต่เมื่อเกิดความสงสัยขึ้น เขาก็จะรู้สึกว่าตัวเองถูกปฏิบัติราวกับเป็นหุ่นเชิด ใคร ๆ ก็อยากเป็นคนเดินหมาก แต่สิ่งที่น่ากลัวก็คือเขาจะมองไม่เห็นมัน

น้ำท่วมทำนบพัง มักมีช่องว่างหนึ่งที่พังทลายลงเสมอ หากว่ามีน้ำไหลบ่า โหมซัดมานับพันลี้ ทำนบจะดีเพียงใดก็ไม่สามารถขวางกั้นน้ำที่ไหลเข้ามาได้ เหมือนกับร่มกระดาษน้ำมันที่ไม่สามารถต้านฝนที่ตกหนักได้

ในอดีตหานเหล่ยเปรียบเสมือนยอดกระบี่เล่มหนึ่งของเขา หลังจากฝังความเคลือบแคลงสงสัยลงไป หานกุ้ยเฟย อัครมหาเสนาบดีหาน หรือแม้แต่องค์ชายรองก็จะตกเป็นเป้าของความสงสัยของเขาตลอดเวลา หากคนในเกิดความระแวงสงสัยกันเองแล้ว ก็จะไม่มีความไว้เนื้อเชื่อใจอีก นี่ถือเป็นข้อบกพร่องของฮ่องเต้เกือบทุกพระองค์”

เมื่อหมากดำถูกวางลง รูปแบบของกลหมากก็เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง มังกรหมอบที่ซ่อนอยู่ในหมากจะสำแดงความดุร้ายออกมา ราวกับว่ามันกำลังจะหลุดออกจากวงล้อม

เผยจี้ฉือมีสีหน้าเคร่งเครียด กำลังไตร่ตรองคำพูดของนางเงียบ ๆ

“เห็นคนสองคนที่นั่งอยู่ในลานด้านนอกหรือไม่? เจ้ารู้จักหรือไม่?”

เผยจี้ฉือพยักหน้ารับ “อาจารย์ของท่านพ่อ อาจารย์สวี”

“ท่านทวดของเจ้ารั้งตัวเขาไว้แล้ว วันหน้าเขาจะสอนวิถีของกษัตริย์ให้เจ้า สิ่งที่พ่อของเจ้ายังเรียนไม่จบ ทำไม่สำเร็จ เจ้าต้องเป็นคนสานต่อ อาฉือ เจ้าต้องจำเอาไว้ ความสามารถของขุนนางคือการรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเอง ส่วนความสามารถของกษัตริย์คือการใช้คน ศิลปะในการใช้คนยากกว่าศิลปะในการควบคุมคนมากนัก”

เผยจี้ฉือไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก เซี่ยวั่งซูจึงเผยรอยยิ้มออกมาพร้อมหยิกใบหน้าเล็ก ๆ ของเขา “เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าเอาแต่ทำหน้าบึ้งตึง แม้ข้าจะไม่เคยเห็นพ่อของเจ้า แต่ทวดเจ้าบอกว่าเวลาส่วนตัวเขาเป็นคนที่พูดเก่งอย่างมาก”

แววตาของเผยจี้ฉือพลันอ่อนแสงลง “ขอรับ บางครั้งท่านแม่ก็มักจะบอกข้าว่าท่านพ่อพูดมาก แต่นางก็ชอบมากเช่นกัน”

ในเวลานั้นต้นอวี่หลัน*หน้าตำหนักของท่านแม่บานสะพรั่ง ทุกครั้งที่เขาไปเล่นใต้ต้นของมัน ก็มักจะเห็นท่านพ่อหยอกล้อจนท่านแม่หน้าแดง ทว่าน่าเสียดายที่เขาไม่ได้เห็นต้นอวี่หลันที่งดงามเช่นนั้นอีกเลย

* ต้นอวี่หลัน (玉兰树) ต้นแมกโนเลีย

เซี่ยวั่งซูเอ่ยขึ้นเบา ๆ “บางครั้งก็คิดถึงพวกเขามากใช่หรือไม่?”

“คิดถึงขอรับ แต่กลัวว่าท่านพ่อกับท่านแม่ตอนนี้จะเสียใจขอรับ”

“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร พวกเขาก็เป็นพ่อแม่ของเจ้าเช่นกัน”

“ตอนที่ท่านป้าไปถู่เจียกลัวหรือไม่ขอรับ? คิดถึงท่านทวดหรือไม่ คิดถึงชีวิตในวังหรือไม่?”

“ตอนนั้นข้าโตกว่าเจ้ามากนัก เป็นหญิงสาวที่รู้ความแล้ว แต่ต่อให้ข้าอายุแปดสิบก็ยังคงคิดถึงอดีต เพราะคนเรามักจะหลงอยู่ในความทรงจำ เรื่องดีและเรื่องร้ายเหล่านั้นล้วนเป็นประสบการณ์ และเพราะมีสิ่งเหล่านี้ชีวิตจึงสมบูรณ์ขึ้น”

เผยจี้ฉือเงยหน้าขึ้น “เข้าใจแล้วขอรับ”

เซี่ยวั่งซูจับมือของเขาไปสัมผัสหมากทุกตัว ในฐานะกษัตริย์การตัดสินใจทุกอย่างในอนาคตจะเกี่ยวข้องกับความมั่งคั่งของบ้านเมืองและความเป็นอยู่ของผู้คน หวังว่าเด็กคนนี้จะสามารถเดินบนเส้นทางของตัวเองได้ และไม่เสียแรงที่ตอนนี้ทุกคนต่างช่วยกันปูทางให้เขา

ช่วงเวลาพักผ่อนหลังกินข้าวเสร็จ นายน้อยในวังหลวงสามสี่คนถูกเหล่าคนรับใช้อุ้มมารวมกันใกล้ ๆ กับกระดานลื่น

“นี่คืออะไร?”

“ข้าจะเล่นอันนี้ อันนี้สนุก”

เหล่าคนรับใช้เห็นพวกเขาอยากเล่นจึงอุ้มขึ้นไป เด็ก ๆ ในหมู่บ้านนอนไม่หลับจึงออกมาเดินเล่น แต่ใครจะไปคิดว่าจะเห็นของเล่นของตัวเองกับกระดานลื่นถูกคนอื่นยึดครองอยู่

“นี่ เด็กป่าเถื่อนพวกนั้นมากันแล้ว พวกเจ้ารีบเอาของไปเร็วเข้า พวกเราจะได้เอากลับไปเล่น”

ตั้งแต่เข้ามาในหมู่บ้านตระกูลเฉินก็อัดอั้นมาตลอดทั้งเช้า แถมถูกคนปิดปากลากไปอยู่ข้าง ๆ จึงรู้สึกเบื่อหน่ายมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้จะให้พวกเขาปล่อยสิ่งที่ชอบไปน่ะหรือ ย่อมเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

“นี่ พวกเจ้าจะทำอะไร ของพวกนี้เป็นของของเรานะ” อาฝูตะโกนขึ้นมา

หลี่ต้าจ้วงที่ยังถือซาลาเปาอยู่ในมือ เมื่อได้ยินเสียงก็รีบวิ่งออกมา ก่อนจะเห็นว่ากลุ่มคนเมื่อเช้านี้กำลังขนของเล่นของพวกเขาไป จึงพุ่งเข้าชนเหมือนลูกกระสุนปืนใหญ่ในทันที

“พวกเจ้ามันหัวขโมย นี่เป็นของเล่นของพวกเรา เป็นของเล่นที่ท่านอาต้าเฉียงทำให้พวกเรา!”

นายน้อยในวังหากไม่ใช่ลูกขององค์ชายก็ต้องเป็นลูกของฮ่องเต้ที่เกิดทีหลัง คนไหนบ้างที่ไม่มีคนรับใช้คอยห้อมล้อม อยากได้ของดีอะไรแล้วไม่ได้บ้าง และไม่เคยมีใครกล้าตะคอกพวกเขาเช่นนี้มาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นคนชั้นต่ำพวกนี้อีกด้วย

“ชาวบ้านชั้นต่ำ สั่งสอนพวกมันซะ!”

เดิมคนรับใช้คิดจะแอบเอาของเล่นไปเงียบ ๆ เล่นเบื่อแล้วก็ค่อยนำมาคืน ทว่าเมื่อเห็นทั้งสองฝ่ายจะทะเลาะกัน จึงรีบเอ่ยขึ้นมา “ราคาเท่าไร พวกเราจะซื้อของพวกเจ้าทั้งหมดเอง เช่นนี้คงไม่มีปัญหาแล้วกระมัง”

หลี่ต้าจ้วงถุยน้ำลายออกมาทันที “พวกเราไม่ขาดเงิน ข้าไม่เอา! วางของเล่นลงซะ”

“สุราคำนับไม่ดื่ม ชอบดื่มสุราลงทัณฑ์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเราเป็นใคร!”

.

.

.