บทที่ 226 ท่านรองหัวหน้าสมาพันธ์ผู้มีเกียรติ
“ดูท่าตระกูลเฟิ่งคงจะต้องปรับปรุงการต้อนรับขับสู้ให้ดีกว่านี้ เรารอมาจวนจะครึ่งชั่วยามแล้วยังไม่เห็นมีใครมา ดูเหมือนจะไม่เห็นหัวสมาพันธ์กำจัดสิ่งชั่วร้ายเลยกระมัง!”
น้ำเสียงโกรธเคืองของชายคนหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับกำหมัดต่อยลงบนโต๊ะตรงหน้า ถ้วยชาบนน้ำสั่นสะเทือนกันไปทั้งแถบ
พื้นโต๊ะหนาแกร่งเห็นรอยแตกปริขึ้นมาจนแทบจะสลายอยู่รอมร่อ แต่มันก็ยังคงสภาพเดิมไว้ไม่แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
ที่ตรงนั้นมีทั้งบุรุษและสตรีอยู่กว่าสิบคน บ้างนั่ง บ้างยืนอยู่ภายในห้องโถง ทุกคนสวมชุดน่าประหลาดครึ่งขาวครึ่งดำ ที่อกมีตราประทับเป็นรูปไม้กางเขนที่ประกอบขึ้นด้วยดาบและกระบี่ พวกมันคือวัตถุโบราณศักดิ์สิทธิ์ของสมาพันธ์กำจัดสิ่งชั่วร้าย ดาบซ่อนดาราและกระบี่ล่าตะวัน
คนทั้งหลายมีกลิ่นอายไม่ธรรมดา ที่เตะตาที่สุดเห็นจะเป็นคนที่นั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้ ท่าทางสงบนัก เขาหรี่ตาลงจิบชา ไม่เผยสีหน้าร้อนใจแม้สักนิด
ที่น่าประหลาดใจกว่าคือผมสีเงินราวหิมะที่ทิ้งตัวยาวลงมา ตัดกับชุดคลุมสีน้ำตาลแดงหม่น นับเป็นภาพงดงามอย่างอธิบายไม่ถูก
โต๊ะตรงหน้าเกือบจะทลายด้วยแรงตบจากชายหนุ่มใจร้อน ของบนโต๊ะสั่นสะเทือนส่งเสียงไม่หยุด มีเพียงถ้วยชาตรงหน้าชายหนุ่มผมเงินเท่านั้นที่ไม่ไหวติง กระทั่งผิวน้ำชาในถ้วยยังไร้แรงกระเพื่อม
จากนั้นเขาก็ยื่นมือมายกถ้วยชาขึ้นจิบ ผิวมือเนียนตัดกับถ้วยชากระเบื้องสีเขียว มันขาวมากจนแทบมองทะลุได้ก็มิปาน
ท่าทางสงบเป็นอิสระเช่นนั้นตรงข้ามกันกับความดุดันเดือดดาลของชายอีกคนหนึ่งอย่างชัดเจน
“ท่านรองหัวหน้าสมาพันธ์ ท่านอย่าทำนิ่งเฉยมากเช่นนี้ได้หรือไม่? ทำเช่นนี้ข้าก็ดูเป็นคนป่าเถื่อนไร้อารยธรรมน่ะสิ! เราถ่อมาถึงที่นี่เพื่อจิบชางั้นหรือ? ชาจวนตระกูลเฟิ่งมันรสดีมากเลยหรือไร?”
คนที่พูดคือคนเดียวกันกับที่ทุบหมัดลงโต๊ะ แม้ท่าทางเขาจะดูดุดันใจร้อน แต่ก็ไม่ใช่คนร่างยักษ์ตัวใหญ่ตัวโต หากแต่มีอายุได้ราวยี่สิบปี ใบหน้าน่ามองนัก โดยเฉพาะดวงตากลมโตนั่น ยามโกรธเกรี้ยวก็จะเบิกตาจนโต ดูน่ารักไม่น้อย
ส่วนชายที่ก้มหน้าจิบชาก็ขยับกายเล็กน้อย ผมสีเงินทิ้งตัวลงมาด้านข้างยามเคลื่อนกาย เผยให้เห็นใบหน้างดงามไร้ที่ติ
สายตาที่หลุบลงต่ำเงยขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาสีเขียวเข้มดั่งอสูรเปล่งประกายประหลาด ดูน่าหลงใหล ใบหน้างดงามหล่อเหลาราวกับภาพวาด คล้ายกับหุ้มน้ำแข็งไว้ชั้นหนึ่ง มันนิ่งเฉยไร้อารมณ์นัก
แต่แม้กลิ่นอายที่แผ่ออกจากร่างจะทั้งเย็นชาห่างเหิน แต่ก็นับเป็นเสน่ห์ที่ทำให้คนอยากก้มหัวให้แก่เขา
คนแดนธาราขาวอาจไม่รู้จักเขานัก แต่บนแดนมุกหยกนั้นจะมีใครไม่รู้จักชายหนุ่มผมเงินตาเขียวที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความตาย ชิงเยี่ยหลี บ้างเล่า?
คนผู้นี้ลึกลับ แข็งแกร่งเกินหยั่ง ไม่ว่าจะย่างเท้าไปทางใดก็ไม่เคยมีใครมองว่าเขาธรรมดา
หากแต่เขาเพียงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เอ่ยคำเสียงเย็นกับกลุ่มคนที่เริ่มจะหมดความอดทนเพียงสองคำ “ชาดี”
ได้ยินสองคำนั้นแล้ว ชายที่โกรธเป็นทุนเดิมก็แทบกระอักเลือด เขาสูดหายใจเข้าลึก ใช้เวลาหลายอึดใจกว่าจะกดความโกรธในใจลงได้ จากนั้นเอ่ยถามอีกฝ่ายขึ้นช้า ๆ “ในเมื่อตระกูลเฟิ่งหยามเกียรติสมาพันธ์กำจัดสิ่งชั่วร้ายถึงเพียงนี้ พวกเราชิงลงมือก่อน ทำลายที่นี่เสียเลยดีหรือไม่?”
ชิงเยี่ยหลีได้ยินแล้วก็เอ่ยเสียงเนิบช้า “สี่ตระกูลใหญ่คานอำนาจกันเองมาโดยตลอด หากความสมดุลนี้ถูกทำลายไปย่อมไม่ส่งผลดีต่อแดนธาราขาว”
“แต่ตระกูลเฟิ่งดูท่าจะโลภมากขึ้นเรื่อย ๆ หากเราไม่หยุดเสียตั้งแต่ตอนนี้ ความสมดุลก็ไม่อาจคงอยู่ได้อีกนานหรอก ไม่ช้าก็อาจกลายเป็นภัยคุกคามต่อสมาพันธ์กำจัดสิ่งชั่วร้ายของเราเลยก็ได้นะ”
“ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร” ชิงเยี่ยหลีตอบเสียงเรียบ
เมื่อชิงเทียนหลินมาถึง นั่นเป็นประโยคที่ดังเข้าหูเขา
น้ำเสียงเย็นชาที่ฟังคุ้นหูทำให้เขาชะงักฝีเท้าเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้าวเท้ายาว ๆ เข้าไปยังห้องโถงใหญ่
แม้ในห้องโถงใหญ่จะมีคนอยู่มากมาย แต่เขาก็มองตรงไปยังชายหนุ่มท่าทางเย็นชาสันโดษที่มีเรือนผมสีเงินและนัยน์ตาสีเขียวกำลังนั่งอยู่ที่ตรงกลางได้ทันที
ภายในใจพลันมีไอสังหารพลุ่งพล่าน
“ชิงเยี่ยหลี! เจ้ากล้าเข้ามาในถิ่นข้างั้นหรือ!? รนหาที่แล้วเสียแล้วกระมัง!”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเกลียดชังดังออกมาจากชายหนุ่มหน้าตาอ่อนโยนที่ยืนอยู่หน้าประตู แต่ฉับพลันเหมือนจะรู้ตัว จึงเอ่ยขึ้นอีกว่า “เช่นนั้นก็เป็นเจ้าที่แจ้งให้สมาพันธ์กำจัดสิ่งชั่วร้ายมาหาเรื่องข้างั้นหรือ? ช่างคิดเผื่อแผ่นัก!”
ไอ้สัตว์หน้าเหม็นตัวนี้มันหมายตาเขาไว้ตั้งแต่ต้น หากไม่ใช่อีกฝ่ายเข้ามาแทรกแซงทำให้รำคาญใจ ชิงชิงก็คงกลายเป็นของเขาไปตั้งนานแล้ว! เป็นเพราะคนคนนี้ที่ทำแผนการทั้งหมดของเขาพลิกไปหมด!!
คนจากสมาพันธ์กำจัดสิ่งชั่วร้ายพลันมึนงง ทำไมคนผู้นี้จึงปรากฏกายขึ้น แล้วจ้องรองหัวหน้าสมาพันธ์ของพวกเขาราวกับอยากสังหารคนกัน? เจ้านั่นพูดอะไรออกมากัน!!?
เห็นเฟิ่งเทียนเหิงเดินเร็ว ๆ เข้ามา หมายจะคว้าคอชิงเยี่ยหลี ชายหนุ่มร่างบึกบึนสูงใหญ่ราวกับแผ่นเหล็กก็ขยับกายมาขวางทางเขาไว้ ก่อนเอ่ยถามสีหน้าไม่เป็นมิตร “เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใคร? ไปพาผู้นำตระกูลเฟิ่งออกมาคุยกับพวกข้าเดี๋ยวนี้!”
พวกเขาถูกปล่อยให้รออยู่นาน ทั้งยังมีคนประหลาดที่จู่ ๆ ก็โผล่ขึ้นมาแล้วคิดจะลงมือกับรองหัวหน้าสมาพันธ์ของพวกเขาอีก อภัยให้ไม่ได้แล้ว!
ชายร่างใหญ่พูดจบ ข้ารับใช้เบื้องหลังชิงเทียนหลินหลายคนก็พลันรู้สึกว่าสภาพอากาศในห้องพลันเย็นลงมาก เกือบจะแข็งตายแล้ว!
ไอสังหารที่แผ่จากร่างชิงเทียนหลินหนาแน่นจนแทบจะจับต้องได้ ทำให้พวกข้ารับใช้กลัวจนฉี่แทบราด
ข้ารับใช้ทั้งหลายอดหวาดกลัวจนตัวสั่นไม่ได้ คุณชายรองจะสังหารใครหรือไม่?
แม้คุณชายรองจะมากความสามารถ แต่คนพวกนี้มาจากสมาพันธ์กำจัดสิ่งชั่วร้ายนะ! หากคุณชายบันดาลโทสะสังหารใครขึ้นมา ตระกูลเฟิ่งได้กลายเป็นเป้าให้สมาพันธ์กำจัดสิ่งชั่วร้ายเผาทำลายเป็นแน่!
แต่เคราะห์ดี ชิงเทียนหลินยังคงมีเหตุผลอยู่บ้าง ไม่ปล่อยให้อารมณ์ครอบงำ หลังจากในใจอารมณ์เปลี่ยนแปลงไปมาอยู่หลายครา เขาก็ค่อย ๆ คลี่ยิ้มสงบขึ้นบนหน้า “เกรงว่าแขกผู้มีเกียรติทั้งหลายคงหลงเชื่อคำลวงของคนชั่วช้า ทำให้เข้าใจตระกูลเฟิ่งผิดไป ข้าลืมแนะนำตัวไป ข้าคือผู้นำตระกูลเฟิ่งคนปัจจุบัน เฟิ่งเทียนเหิง”
“เจ้าน่ะหรือ?” หญิงสาวหน้าใสคนหนึ่งเลิกคิ้วถาม “ผู้นำตระกูลเฟิ่งไม่ใช่เฟิ่งสวินหรอกหรือ? ข้าว่าเขาก็ยังไม่แก่หง่อมจนถึงขั้นที่ออกมาต้อนรับแขกไม่ไหวกระมัง? และถึงเขาจะป่วยอันใด แต่อย่างน้อยผู้สืบทอดตระกูลเฟิ่ง เฟิ่งเทียนจิ้น ก็ควรจะเป็นคนมาแทน แล้วท่านที่ประกาศตนว่าเป็นผู้นำตระกูลมาจากตระกูลไหนกันหรือ?”
นางพูดจบก็มองชิงเทียนหลินด้วยความสงสัย ใบหน้าเย็นชาน่าเกรงขาม “แล้วเจ้าก็เสียมารยาทนัก กล้าเอ่ยนามรองหัวหน้าสมาพันธ์ของพวกข้าขึ้นมาตรง ๆ ได้อย่างไร? ปากเสียนัก! ตระกูลเฟิ่งคงจะอยู่บนแดนธาราขาวมานานเกินควร ตอนนี้อหังการมากเกินไปกระมัง ตระกูลเฟิ่งลืมไปแล้วหรือว่าสมาพันธ์กำจัดสิ่งชั่วร้ายเป็นขุมอำนาจที่แกร่งกล้าที่สุดบนแดนธาราขาว?”
ทุกคนในสมาพันธ์กำจัดสิ่งชั่วร้ายต่างเป็นคนมากความสามารถ รั้งตำแหน่งสูงส่งบนแดนมาอย่างยาวนาน ดังนั้นแต่ละคนจึงมีกลิ่นอายแตกต่าง กระทั่งหญิงสาวก็ยังมีกลิ่นอายกดดันไม่ธรรมดา
แต่แรงกดดันเท่านั้นไม่อาจข่มขวัญชิงเทียนหลินได้มาก แต่ที่ทำให้เขาตกใจคือคำของนางต่างหาก! รองหัวหน้าสมาพันธ์? ! นางเรียกอีกฝ่ายว่ารองหัวหน้าสมาพันธ์หรือ!!?
เจ้าชิงเยี่ยหลีนั่นน่ะหรือ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!?
เขาจะไปเป็นรองหัวหน้าสมาพันธ์กำจัดสิ่งชั่วร้ายไปได้อย่างไร?!
เมื่อไม่กี่เดือนก่อนเขาก็เพิ่งเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายไปที่แดนระดับล่าง เมื่อครั้งที่วิชาชิดหุ่นเขายังถูกเลือดของชิงชิงผนึกไว้ เขาจึงไม่อาจต่อสู้กับชิงเยี่ยหลีได้ เวลาเพียงไม่กี่เดือนนั้น ไม่เพียงแต่อีกฝ่ายเดินทางมายังแดนธาราขาว แต่กลายเป็นรองหัวหน้าสมาพันธ์กำจัดสิ่งชั่วร้ายไปแล้วด้วยหรือ!?
แต่ไม่นานเขาก็หัวเราะเสียเบา ก่อนจะเอ่ยเย้ยออกมา “ชิงเยี่ยหลี เจ้าเองก็ร่ำเรียนวิชาชั่วร้ายชั้นต่ำเช่นนั้นเหมือนกันหรือ? แต่ก่อนเจ้าเกลียดมันมากนี่? แล้วกลายเป็นคนเช่นนี้ตั้งแต่ตอนไหนกัน? ไหนลองเล่าให้ฟังหน่อยสิว่าเจ้าหาทางล่อลวงหัวหน้าสมาพันธ์กำจัดสิ่งชั่วร้ายให้เขาไว้ใจเจ้าได้อย่างไรจนได้ตำแหน่งรองหัวหน้ามา…..”
“โอหังนัก!” แต่เขาพูดยังไม่ทันจบก็ถูกเสียงแหบเล็กน้อยเจือแววเย็นชาของหญิงสาวคนหนึ่งเอ่ยขัด
คือหญิงสาวที่ยืนกอดอกอยู่ที่มุมโต๊ะ ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกปอยผมบดบังไว้ อีกครึ่งหนึ่งงดงาม เผยเสน่ห์ชวนมองออกมา
นัยน์ตาสีดำดั่งหมึกนั้นน่าดึงดูดด้วยมีสีดำทะมึน สิ่งที่ดูประหลาดไปสักหน่อยเมื่อเทียบกับดวงหน้ามีเสน่ห์ของนางคือน้ำเสียงแหบที่ฟังแล้วเสียดหู “รองหัวหน้าสมาพันธ์ของพวกเรากับหัวหน้าสมาพันธ์เป็นสายเลือดเดียวกัน พวกเราไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาวิจารณ์พวกเขาได้แน่”
อะไรนะ?
ชิงเทียนหลินชะงักไป ใบหน้าเผยแววตกตะลึง ชิงเยี่ยหลีมีสายเลือดเดียวกันกับหัวหน้าสมาพันธ์กำจัดสิ่งชั่วร้าย? เป็น….. ไปได้อย่างไรกัน!?
เขาก็แค่หมาป่าขี้เรื้อนที่ชิงชิงเก็บมาได้จากกองหิมะนี่!
ตอนถูกเอากลับมายังคุยกับใครไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ ใช้ชีวิตตอนกลางคืนเหมือนกับฝูงหมาป่าอื่น ๆ กินเนื้อสด กินเลือดสดอีกด้วย
ชิงชิงต้องพยายามอย่างหนักจึงสามารถสั่งสอนให้อีกฝ่ายหลุดจากนิสัยเยี่ยงสัตว์ป่าเดิม ๆ ได้
ใช่แล้ว เจ้าหมอนั่นดุร้ายทำอะไรไม่คิดให้รอบคอบ ไม่ว่าอะไรก็ตามใจตนไปหมด แต่จะฟังเพียงคำของชิงชิงเท่านั้น
ชิงชิงกับเขา ทั้งร่างเนื้อถูกทำลาย และจิตถูกเคลื่อนย้ายมายังโลกแห่งนี้ ทว่าชิงเยี่ยหลีถูกพามาที่นี่ทั้งร่างเดิม….. แล้วเจ้านั่นจะมีสายเลือดเดียวกันกับหัวหน้าสมาพันธ์ได้อย่างไร?
พวกเขาข้ามผ่านหลายมิติข้ามจักรวาลคู่ขนานมายังโลกอันไกลโพ้นแห่งนี้
หรือว่าบนโลกนี้จะเกิดเรื่องไม่คาดฝันเช่นนั้นขึ้นมาได้?
ใบหน้าเขามีอารมณ์ซับซ้อนมากหลายวาดผ่าน ทั้งหมดถูกจับจ้องด้วยนัยน์ตาสีเขียวเย็นชาไร้อารมณ์
เขายกมือขึ้นน้อย ๆ เพื่อให้คนอื่นถอยไป จากนั้นร่างสูงก็ลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามา พยักหน้าเล็กน้อยพลางเอ่ยขึ้นว่า “พวกเราขอให้ผู้นำตระกูลเฟิ่งให้ความร่วมมือ หากพบว่าตระกูลเฟิ่งสุดท้ายถูกใส่ร้าย สมาพันธ์กำจัดสิ่งชั่วร้ายย่อมมีคำตอบที่พึงพอใจให้แก่ตระกูลเฟิ่ง”
คำพูดนี้นับว่าถูกควรนัก ทั้งน้ำเสียงยังเป็นการเป็นงาน ราวกับเขาไม่รู้จักคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าสักนิด
ชิงเยี่ยหลีหันไปสั่งคนในห้องโถงใหญ่อีกสองสามคำ ก่อนที่คนกว่าสิบจะรับคำสั่งแล้วเดินจากไป เหลือเพียงหญิงสาวที่ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกปิดไว้ นางเดินห่างออกไปเล็กน้อย ไปยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู
“เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?” ชิงเทียนหลินค่อย ๆ กล่าวออกมาทีละคำพร้อมด้วยรอยยิ้มไร้แววขันบนหน้า
ไม่ว่าชิงเยี่ยหลีจะมีสายเลือดเดียวกันกับหัวหน้าสมาพันธ์กำจัดสิ่งชั่วร้ายหรือไม่ แต่มีหรือที่ชิงเทียนหลินจะไม่รู้ว่าชิงเยี่ยหลีจงใจหาเรื่อง?
ทว่าไม่คิดว่าชิงเยี่ยหลีเพียงเลิกคิ้วน้อย ๆ ยามได้ยิน แล้วเอ่ยคำตอบเป็นเชิงถาม “ผู้นำตระกูลเฟิ่ง หมายความว่าอะไร? พวกเรารู้จักกันหรือ?”
เขาทำท่าราวกับไม่รู้จักกันสักนิด