สิ่งแรกที่จินซื่อทำหลังมาถึงจิงเฉิงคือไปเยี่ยมตระกูลเซี่ย
ตระกูลเซี่ยต่างหากคือเสาพึ่งพิงหลักที่จิงเฉิงของตระกูลหวัง
เมื่อก่อนหวังซีไม่ได้ดูแลเรื่องการค้าของที่บ้าน หวังเฉินเองก็ไม่ค่อยพูดเรื่องพวกนี้กับนาง บัดนี้หวังซีกำลังจะแต่งงานมาอยู่จิงเฉิงแล้ว จึงต้องค่อยๆ ให้นางได้รู้จักสายสัมพันธ์ในจิงเฉิงเหล่านี้เอาไว้ ค่อยๆ ให้นางเข้ามามีส่วนร่วม เผื่อว่ามีเรื่องอะไร นางจะได้มีที่ให้ขอความช่วยเหลือได้
หวังซีกับจินซื่อแต่งกายงดงาม พาหลานชายทั้งสองคนติดตามพี่ชายไปที่ตระกูลเซี่ย
แม้นเซี่ยสือเป็นเสนาบดีกรมคลัง แต่บ้านของตระกูลเซี่ยที่จิงเฉิงกลับธรรมดาสามัญยิ่ง ใหญ่ไม่เท่าบ้านของตระกูลหวังที่ซอยลิ่วเถียวด้วยซ้ำ เป็นบ้านหลังเล็กขนาดสองทางเข้า ด้านหน้าเป็นเรือนใต้ชั้นนอกหนึ่งหลังพ่วงด้วยเรือนหลักสามห้องและเรือนข้างทางตะวันตกอีกสองห้อง ด้านหลังเป็นเรือนหลักสามห้องและเรือนข้างทิศตะวันตกและตะวันออกอีกสองหลัง ข้างหลังไม่มีสวน
เซี่ยสือพร้อมด้วยบุตรชายคนโตและบุตรชายคนรองรอต้อนรับพวกเขาอยู่หน้าประตูใหญ่ ฮูหยินของเซี่ยสือและบุตรสาวคนเล็กรออยู่ที่หน้าประตูชั้นใน
หลังจากคนสองครอบครัวทักทายตามมารยาทเสร็จแล้ว แขกบุรุษไปห้องโถงรับรองของเรือนหน้า ส่วนแขกสตรีไปห้องโถงรับรองของเรือนหลัง
เซี่ยสืออายุสี่สิบกว่าปีเท่านั้น เมื่อก่อนไปเรียนหนังสืออยู่ข้างนอก สามีภรรยาอยู่ห่างกันมากกว่าอยู่ร่วมกัน บุตรชายคนโตอายุน้อยกว่าหวังเจิ้นหนึ่งปี บุตรชายคนรองอายุเท่ากับหวังถิง บุตรสาวคนเล็กยิ่งเด็กมาก ปีนี้อายุห้าขวบเท่านั้น
นางเกล้าผมทรงดอกไม้ตูม ดวงตาโตสีดำขลับทั้งคู่กะพริบปริบๆ แอบอยู่ด้านหลังของมารดา หันมามองหวังซีกับจินซื่อไม่หยุด
เซี่ยฮูหยินไม่มีทางเลือก ดึงบุตรสาวออกมาด้านหน้า กล่าวกับทั้งสองคนอย่างเกรงใจว่า “นางร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก ข้าเองก็ระวังมากเกินไป ในฤดูใบไม้ร่วงที่แห้งและฤดูหนาวอันหนาวเย็นของจิงเฉิงนี้จึงไม่ค่อยได้พานางออกไปไหน เลี้ยงจนนางกลายเป็นคนขี้อาย ทำให้พวกเจ้าได้เห็นเรื่องตลกแล้ว”
มีจินซื่ออยู่ด้วย หวังซีย่อมถอยให้หนึ่งระยะ ไม่ถึงคราวของนางต้องตอบวาจาเข้าสังคมตามมารยาทเหล่านี้ นางจึงไม่ได้กล่าวรับคำพูดดังกล่าว และการที่จินซื่อได้เป็นว่าที่นายหญิงในอนาคตของตระกูลหวัง ได้รับการยอมรับจากคนสกุลหวังทุกคนทั้งบนและล่าง ความฉลาดและไหวพริบนั่นมิใช่อะไรที่คนทั่วไปเทียบได้ นางได้ยินเช่นนั้นก็รีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “เด็กผู้หญิงก็ต้องเรียบร้อยอ่อนโยนเหมือนคุณหนูของพวกท่านถึงจะถูก ข้าเห็นแล้วไม่รู้ว่าชื่นชมปนอิจฉามากมายเพียงใด! หากท่านมีลูกชายแสนดื้อเพียงสองคนเหมือนข้าล่ะก็ คงไม่มีแม้แต่ที่ให้ไปร้องไห้คร่ำครวญจริงๆ แล้ว”
เซี่ยฮูหยินหาได้มีพื้นเพสูงส่ง ทว่าเป็นคนสุขุมจริงใจ คิดว่าจินซื่อมีบุตรชายเพียงสองคน จะต้องเหมือนนางเมื่อก่อนที่เฝ้าฝันอยากมีบุตรสาว กอปรกับน้ำเสียงการพูดจาของจินซื่อฟังดูจริงใจเหลือล้น นางจึงอดเม้มปากยิ้มออกมาไม่ได้ กล่าวว่า “เด็กผู้ชายมีส่วนไม่ดีของเด็กผู้ชาย เด็กผู้หญิงก็มีเรื่องให้ต้องเป็นห่วงของเด็กผู้หญิงเช่นกัน”
“จริงที่สุด” จินซื่อเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง “หาไม่แล้วจะมีคำกล่าวที่ว่ามนุษย์มีชีวิตหนึ่งร้อยปี เป็นทุกข์ไปแล้วเก้าสิบเก้าปีประโยคนั้นได้อย่างไร”
ทั้งสองคนพูดคุยเรื่องทั่วไปในบ้าน ค่อนข้างถูกคอกันไม่น้อย
สายตาของคุณหนูเซี่ยกลับมองมาที่หยกตรงบริเวณเอวของหวังซีที่ใช้สำหรับรั้งกระโปรงอยู่บ่อยครั้ง
หวังซีรู้สึกว่าเด็กผู้นี้ช่างชวนมองยิ่ง
สร้อยรั้งกระโปรงที่นางสวมอยู่เป็นสร้อยมรกตมัจฉาคู่ มีขนาดไม่เกินกำปั้นของทารก มัจฉาสองตัวสีเขียวแวววาว เพียงแต่ว่าผิวหยกบนหลังของมันเป็นสีเหลือง และผิวหยกนั่นยังได้สัดส่วนสมมาตรมาก มัจฉาสองตัวนั้นจึงดูเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน ทำให้สร้อยรั้งกระโปรงชิ้นนี้พลันโดดเด่นแตกต่างจากชิ้นอื่นๆ
นี่เป็นของท่านย่านาง ตอนเด็กนางรู้สึกว่าน่าเล่น ก็เลยเอามาถือไว้จนกลายมาเป็นของนางในที่สุด ครั้งนี้พี่สะใภ้ใหญ่นางคิดว่าภายหน้าเกรงว่านางคงไม่ค่อยได้กลับสู่จงแล้ว จึงเอาของเล่นเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้มาให้นางด้วย
นางคิดว่าคุณหนูเซี่ยมองสร้อยรั้งกระโปรงชิ้นนี้ก็เหมือนกับที่นางมองท่านย่าห้อยอยู่บนตัวตอนนางเป็นเด็ก
นางอดไม่ได้แอบหันไปกวักมือเรียกคุณหนูเซี่ย
คุณหนูเซี่ยมองมารดาที่กำลังคุยกับจินซื่ออยู่ครั้งหนึ่ง ขยับไปหานางเงียบๆ
หวังซีจึงหยิบสร้อยรั้งกระโปรงมากระซิบกล่าวกับนางว่า “รู้สึกว่ามันน่าเล่นใช่หรือไม่”
เด็กน้อยพยักหน้า ยังยื่นมือออกมาลูบผิวหยกสีเหลืองเบาๆ อย่างรวดเร็วอีกด้วย กล่าวเสียงเบาว่า “เหมือนปลาทอง”
ช่างน่ารักน่าชังจริงๆ
หวังซีฝืนระงับเอาไว้ถึงไม่ส่งเสียงหัวเราะออกมา ถอดสร้อยรั้งกระโปรงออก กล่าวว่า “ให้เจ้าเล่น”
เด็กน้อยมีท่าทางอยากได้มากแต่ก็ไม่กล้ารับไว้ หันไปมองมารดาของนาง
ชั่วขณะนั้นเซี่ยฮูหยินไม่ทันได้สนใจทางด้านนี้ ย่อมไม่สังเกตเห็นความผิดปกติของบุตรสาว
เด็กน้อยผู้นั้นจึงมองมารดาของนางไม่วางตา
ไม่นานเซี่ยฮูหยินก็สังเกตเห็นอากัปกิริยาของเด็กน้อย
นางปรายตามองสร้อยรั้งกระโปรงชิ้นนั้นอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่ง รีบกล่าวขึ้นว่า “คุณหนูหวัง คนดีไม่กรรโชกเอาของรักของผู้อื่น นางยังเด็กนัก ของของเจ้าก็สูงค่าเกินไป อายิน มาหาแม่มา นั่นเป็นของที่พี่สาวรัก เจ้าไม่อาจขอจากผู้อื่นได้”
เด็กน้อยที่ถูกเรียกว่า ‘อายิน’ มองสร้อยรั้งกระโปรงชิ้นนั้นอย่างแสนเสียดายครั้งหนึ่ง กล่าวด้วยเสียงไร้เดียงสาและกังวานใสว่า “ขอบคุณพี่สาว! ข้าไม่อยากได้เจ้าค่ะ!”
นี่ช่างชวนให้คนหลงรักเกินไปแล้ว
มีความคล้ายคลึงกับอาหลีของบ้านหลิวจ้งเล็กน้อย
หวังซีกล่าวกับเซี่ยฮูหยินยิ้มๆ ว่า “นางอุตส่าห์ชอบ มอบให้นางก็แล้วกันเจ้าค่ะ ท่านเองก็อย่าห้ามเลย ถือเสียว่าเป็นของขวัญพบหน้าจากพี่สาวอย่างข้าผู้นี้”
เซี่ยฮูหยินยืนกรานไม่รับไว้ สุดท้ายยังกล่าวด้วยว่า “หากเจ้าต้องการมอบให้นางด้วยใจจริง มอบแบบของสร้อยรั้งกระโปรงชิ้นนี้ให้ข้าสักฉบับก็แล้วกัน ข้าจะให้คนใช้หยกธรรมดาแกะสลักให้นางชิ้นหนึ่ง”
การให้ของขวัญต้องเป็นการให้ที่ผู้รับดีใจ ถ้าหากเป็นภาระก็อย่าให้เลยดีกว่า
หวังซีขานรับคำยิ้มๆ
เด็กน้อยยิ้มกว้างจนเผยฟันขาวออกมาให้เห็น
ทำเอาจินซื่อหลงจนไม่รู้จะหลงอย่างไรแล้ว กล่าวว่า “หากวันใดข้าให้กำเนิดเด็กหญิงงดงามเช่นนี้ได้สักคนหนึ่งก็คงดี”
เซี่ยฮูหยินรู้สึกว่าทั้งจินซื่อและหวังซีล้วนเป็นมิตร กล่าวเย้าจินซื่อยิ้มๆ สองสามประโยคแล้วเอ่ยถึงเรื่องงานแต่งระหว่างหวังซีกับเฉินลั่วขึ้นมา “แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นคนงดงามตั้งแต่เด็กจนโตผู้หนึ่ง ทั้งยังดูสุภาพและอ่อนโยน เจ้าจะไม่อิจฉาได้หรือ…ได้ยินว่ากำลังจะแต่งเข้าจวนจ่างกงจู่แล้ว? ไม่แปลกที่เจ้าจะทำใจไม่ได้ หากเป็นข้า ข้าเองก็ทำใจไม่ได้เช่นกัน!”
จินซื่อถอนหายใจ กล่าวว่า “จริงที่สุดแล้ว ตอนข้าแต่งเข้ามา นางยังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำ! ข้าเห็นนางมาตั้งแต่เด็ก” แล้วก็กล่าวถึงงานแต่งของหวังซีขึ้นมาอีกครั้ง “ถึงเวลาพวกท่านต้องไปดื่มสุรามงคลสักจอกให้ได้นะเจ้าคะ”
ใต้เท้าเซี่ยไม่ไป เซี่ยฮูหยินไป ถือเป็นท่าทีของครอบครัวที่มีสัมพันธ์อันดีกันมาอย่างยาวนาน ดีต่อภาพลักษณ์ของหวังซีด้วย
เซี่ยฮูหยินขานรับคำซ้ำๆ
ทั้งสองครอบครัวรับประทานอาหารร่วมกันหนึ่งมื้อ ระหว่างมื้ออาหารใต้เท้าเซี่ยยังถามถึงการเรียนของหวังเซิ่ง ตอนกลับยังมอบม้วนข้อสอบของปีก่อนๆ ให้ตระกูลหวังด้วยอีกหนึ่งกองใหญ่
กลับถึงบ้านแล้วหวังเฉินอดทอดถอนใจไม่ได้ “ครอบครัวพวกเราคนน้อยเกินไป ไม่อย่างนั้นหากมีเพิ่มอีกสองสามคน อย่างไรก็ต้องมีจวี่เหรินหรือจิ้นซื่อสักคนแน่”
ในจำนวนคนเรียนหนังสือที่มีกำจัดของตระกูลหวังในตอนนี้ หากมิใช่ญาติดองก็สายรอง สุดท้ายแล้วก็ไม่สนิทสนมเท่าคนในครอบครัวตัวเอง
ทว่าบ้านมีกฎบ้านว่าบุรุษอายุสี่สิบปีแล้วยังไร้ทายาทถึงรับอนุภรรยาได้ แต่ญาติพี่น้องย่อมใกล้ชิดกว่าผู้อื่น
หวังซีไม่กล่าวอะไร
หวังเจิ้นกลับกล่าวกับบิดาของตนอย่างเอาจริงเอาจังว่า “ท่านพ่อ ท่านลำบากอีกสักสองสามปี ระหว่างข้ากับท่านอารองไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ย่อมต้องช่วงชิงเอาป้ายจารึกกลับมาให้ที่บ้านได้อย่างแน่นอนขอรับ”
หากมีบุตรหลานเป็นจิ้นซื่อ มักจะแขวนป้ายจารึกไว้ในหอบรรพชน
หวังเฉินหัวเราะเสียงดัง หมายจะลูบมือของบุตรชายเหมือนตอนเป็นเด็ก แต่ยื่นมือออกไปแล้วถึงค้นพบว่าบุตรชายโตจนสูงเท่าตัวเขาแล้ว เขาได้แต่ตบบ่าของบุตรชายเบาๆ แต่อารมณ์ที่สุขเป็นล้นพ้นนั้นกลับไม่ถูกทำลายแม้แต่ครึ่งเดียว
หลังจากนั้นพวกนางไปเยี่ยมเยือนจวนหย่งเฉิงโหว
ทุกคนเคยมีประสบการณ์กับความตรงไปตรงมาและใจกว้างของหวังซีแล้ว ย่อมอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับจินซื่อด้วย
ตอนนางไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่า คนของจวนหย่งเฉิงโหวแทบจะทั้งหมดพยายามมาเจอจินซื่อสักครั้งทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ กระทั่งมาถึงเรือนฮูหยินผู้เฒ่า นอกจากโหวฮูหยินที่ไปต้อนรับจินซื่อแล้ว สตรีที่เหลือของจวนหย่งเฉิงโหวล้วนอยู่พร้อมพรั่ง รวมถึงฉังหนิงที่ถูกโหวฮูหยินกักบริเวณก็อยู่ด้วย
จินซื่อเองก็เป็นคนที่เคยเห็นโลกกว้างมาก่อน นางมาในชุดเพ่ยจื่อสีแดงสดทอลายสีทองทั้งตัว เครื่องประดับหัวเป็นทับทิมลายผีเสื้อผูกรักบุปผา ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเรียบร้อย ไม่ว่าเจ้าจะมองอย่างไรก็ยังคงยืนหลังตรงอย่างยิ้มแย้ม ดูสบายๆ เป็นธรรมชาติ ไม่ยโสแต่ก็ไม่ประจบประแจง
เหล่าข้ารับใช้ของจวนหย่งเฉิงโหวอดนำไปพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวไม่ได้ว่า “ไม่เสียแรงที่เป็นพี่สะใภ้ใหญ่ของคุณหนูหวัง นอกจากงดงามแล้ว อากัปกิริยาและการพูดจาก็เรียบร้อย ไม่ด้อยไปกว่าโหวฮูหยินของตระกูลชั้นสูงเหล่านั้นเลย”
ภายหลังคำพูดดังกล่าวลือมาจนถึงหูของหวังซี หวังซียังกล่าวเย้ากับคนที่มาเล่าให้ฟังเล่นๆ ว่า “คงมิใช่เพราะอยากได้รางวัลจากข้า ก็เลยตั้งใจหลอกให้ข้าดีใจเป็นพิเศษหรอกกระมัง”
“เป็นไปได้อย่างไรเจ้าคะ!” คนมารายงานกระโดดตัวโหยง “หากท่านไม่เชื่อ ไปถามซือหมัวมัวก็ได้ แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าภายหลังยังพูดว่ากิริยามารยาทอย่างสะใภ้ใหญ่นี้ น่าเสียดายที่แต่งเข้าตระกูลหวังเลยเจ้าค่ะ!”
หวังซีตะลึง
คนที่มารายงานจึงรู้ตัวว่าพูดผิดไปแล้ว เอามือกุมศีรษะหนีไปอย่างจนมุม แม้แต่เงินรางวัลก็ไม่เอา
หวังซีได้แต่ด่าอยู่ในใจไม่หยุด
โชคดีที่นางกับมารดาล้วนไม่ได้นิสัยของท่านยายของนางผู้นี้มา ไม่อย่างนั้นต้องผิดใจกับคนไปทั่วแน่
แม้นก่อนหน้านั้นนางยังไม่รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าพูดอะไรบ้าง แต่ดูจากสีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว หวังซีรู้สึกว่าฮูหยินผู้เฒ่าดูประหลาดใจกับหน้าตาท่าทางของจินซื่อเป็นอย่างมาก ขณะที่มองสำรวจจินซื่อขึ้นลงนั้น ยังถามถึงบ้านเดิมของจินซื่อด้วยว่าเป็นคนที่ไหน ประกอบอาชีพอะไร ที่บ้านมีพี่น้องชายหญิงหรือไม่ คล้ายต้องการหาข้อบกพร่องจากเรื่องนี้
หวังซีค่อนข้างรังเกียจที่ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นเช่นนี้ จึงกล่าวแทนพี่สะใภ้ของนางว่า “เป็นมิตรสหายเก่าแก่ของตระกูล มักมาคารวะท่านย่าของข้าทุกๆ เทศกาลอยู่เสมอ ท่านย่าของข้าจึงถูกใจพี่สะใภ้ใหญ่ของข้า พี่สะใภ้ใหญ่ของข้ายังไม่ทันปักปิ่นก็ส่งคนไปทาบทามพี่สะใภ้ใหญ่ของข้าถึงบ้านแล้ว ตอนนั้นท่านแม่ของข้ายังไม่แต่งเข้ามาเลยเจ้าค่ะ!”
เป็นการบอกฮูหยินผู้เฒ่าว่าอย่าจับผิด พี่สะใภ้ของนางคือคนที่ท่านย่าของนางถูกใจและสู่ขอกลับมาเป็นสะใภ้เอกของตระกูล
ฮูหยินผู้เฒ่าหุบปากไปตามที่คาดจริงๆ
นายหญิงสามรีบกล่าวขึ้นว่า “ไม่แปลกที่มองแล้วทำให้คนรู้สึกดีขนาดนี้ หากเป็นข้า ข้าเองก็เร่งไปหมั้นหมายเอาไว้เหมือนกัน”
ถือเป็นการไกล่เกลี่ยให้ฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว
หลังออกมาจากเรือนฮูหยินผู้เฒ่าจินซื่อก็ดึงหวังซีมากอดเอาไว้ ทอดถอนใจกล่าวว่า “นั่วนั่วของพวกเราลำบากแย่แล้ว ไม่แปลกที่เข้ามาอยู่แล้วเจ้าจะอยากซ่อมแซมเรือน!”
หากไม่อยู่ให้ห่างเอาไว้ ชีวิตนี้ยากจะเป็นสุขได้
หวังซีกลัวพี่สะใภ้ยังรู้สึกมีปมในใจ กอดพี่สะใภ้เอาไว้กล่าวออดอ้อนว่า “โชคดีที่พวกท่านมาแล้ว วันนี้ข้าต้องซื้อปิ่นปลอบใจตัวเองสักชิ้นถึงจะใช้การได้”
“ได้ๆๆ” จินซื่อรับปากเต็มที่ รีบให้คนขับรถม้าหันหัวรถไปร้านเครื่องประดับ
เพื่อทำให้จินซื่อสบายใจแล้วหวังซีเลือกปิ่นโคมไฟแบบต่างๆ ใหญ่บ้างเล็กบ้างมาหนึ่งกล่อง จากนั้นถึงเดินทางกลับซอยลิ่วเถียว
โชคดีที่จินซื่อประทับใจบ้านสามและหันซื่อไม่น้อย ยังถามด้วยว่าสุดท้ายแล้วใครได้ย้ายเข้าไปอยู่ที่สวนร่มหลิว
หวังซีกล่าวยิ้มๆ ว่า “บ้านสามเจ้าค่ะ บุตรเขยของพวกเขาเป็นคนออกหน้าให้ ให้คนมาแจ้งหย่งเฉิงโหวว่าพวกเขาเชิญฮูหยินของรองเจ้ากรมกลาโหมมาเป็นผู้เปี่ยมไปด้วยพรทุกประการ ขออนุญาตให้พี่สาวสามย้ายไปออกเรือนที่สวนร่มหลิวได้หรือไม่”
กรมกลาโหมกับกองบัญชาการทหารทั้งห้ามีความสัมพันธ์กันหลากหลายทางนับไม่ถ้วน แม้นไม่ได้อยู่ในสังกัด ทว่าเนื่องด้วยสงครามที่ยาวนาน จึงกดทับกองบัญชาการทหารทั้งห้าเอาไว้อยู่รางๆ
จินซื่อเลิกคิ้วขึ้น กล่าวยิ้มๆ ว่า “ดูแล้วบุตรเขยสามผู้นี้ก็หาใช่คนกินหญ้าเหมือนกัน”
หาไม่แล้วจะปีนขึ้นไปถึงท่อนขาสูงใหญ่ของรองเจ้ากรมกลาโหมผู้นี้ได้อย่างไร!
หวังซีจึงเล่าเรื่องที่จวนหย่งเฉิงโหวเข้าใจเวินเจิงผิดให้พี่สะใภ้ใหญ่ฟัง
จินซื่อยิ้มกล่าวว่า “เกรงว่าตระกูลเวินคงไม่ได้มีเพียงแค่นี้ การเกี่ยวดองนี้ทำได้ดี” แล้วก็กำชับหวังซีอีกว่า “ไม่ว่าจะพูดอย่างไรพวกเจ้าก็เป็นญาติผู้พี่ผู้น้องกัน ออกเรือนแล้วก็ยิ่งต้องไปมาหาสู่กันถึงจะถูก”
นี่คงเป็นเพราะรู้สึกว่าตระกูลเวินไม่เลวกระมัง!
หวังซีพยักหน้ายิ้มๆ ไม่หยุด
พี่สะใภ้ของนางผู้นี้ ไม่ว่านางจะโตขนาดไหน ล้วนชี้แนะและรักนางเหมือนนางยังเป็นเด็กน้อยอยู่เสมอ
นางแนบตัวซบจินซื่อแน่นขึ้นอย่างอดไม่ได้
………………………………………………………..