บทที่ 182 ข้าไม่ชอบให้คนอื่นมองเจ้า

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

วันนี้คือวันพักผ่อนของหลินเหรา ขณะที่ในเมืองชิงถงได้มีการชุมนุมกันครั้งใหญ่

เพราะหลังจากที่ส่งอวี๋จือจากไปเมื่อสองสามวันก่อน เหยาซูก็ไม่มีเหตุผลจะต้องไปกินอาหารซูโจวที่หอไป๋เว่ยอีก กลับลากหลินเหรามาเดินบนถนนหาของกินใหม่ ๆ แทน

ครั้นเป็นเช่นนี้ เจิ้งอันที่มาบ้านของหลินเหราจึงพบแต่ความว่างเปล่า

เขาจึงไปบ้านของเหยาเฉารอบหนึ่ง ครั้นได้ยินว่าทั้งสองคนไปตลาด จึงทำได้แค่เฝ้าอยู่หน้าธรณีประตูบ้านของหลินเหราและรอพวกเขากลับมา

ณ ตลาดใต้ในยามอู่

เหยาซูและหลินเหรากำลังมีความสุขอยู่ในโลกของทั้งสองที่ช่างหาได้ยากยิ่งท่ามกลางฝูงชนที่แน่นขนัด

ในมือของเหยาซูถือถังหูลู่ [1] หนึ่งไม้ หญิงสาวกัดหนึ่งชิ้น จากนั้นก็เคี้ยวพลางพูดกับหลินเหราว่า “ท่านว่าการที่เราสองคนฝากลูก ๆ ไว้กับพี่รองและพี่สะใภ้รอง เช่นนี้มันดีจริง ๆ ใช่หรือไม่?”

หลินเหราเดินเคียงข้างเหยาซู เพื่อขวางผู้คนที่บางครั้งเดินไม่มองทางจนเกือบจะชนนางเข้า น้ำเสียงที่ไม่สูงและไม่ต่ำเกินไปดังเข้ามาในโสตประสาทของนางพอดิบพอดี พาให้รู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย “เหตุใดจะไม่ดีเล่า? หลายวันมานี้อาจื้อก็เอาแต่เล่นกับเอ้อหลางตลอด อาซือก็ติดหนึบกับพี่รอง คงอยากให้ตัวเองกลายเป็นลูกสาวของลุงรองใจจะขาดเลยทีเดียว ทำเช่นนี้ไม่สอดคล้องกับความตั้งใจของพวกเขาตรงไหนกัน?”

“ฮ่าๆ” เหยาซูหลุดหัวเราะออกมา ดวงตาสุกใสสกาวชำเลืองมองหลินเหราแวบหนึ่ง “นี่ท่านกำลังหวงใช่หรือไม่? ใครใช้ให้ท่านยุ่งกับงานทุกวันจนไม่ได้อยู่บ้านกับลูก ๆ เล่า ไม่เห็นซานเป่าหรือ? ตอนนี้ก็สนิทกับพี่รองยิ่งกว่าเดิมเสียอีก”

สองสามวันมานี้ เหยาเฉาต้องรักษาตัวอยู่ที่บ้าน พี่สะใภ้รองเหยากลัวว่าเขาจะอึดอัด จึงให้เหยาซูพาเด็กทั้งสามคนมาส่งที่บ้านของตนทุกวัน รวมเอ้อหลางแล้วเป็นสี่คน ทั้งหมดถูกทิ้งให้เหยาเฉาดูแล

ที่จริงแล้วเรียกได้ว่ามอบหมายให้เหยาเฉาต่างหาก แต่ซานเป่านั้นยังเด็กมาก จึงต้องอยู่กับพี่สะใภ้รองมากหน่อย

แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เหยาเฉาก็พอรับได้

และโชคดีที่เขามีวิธีการสยบเด็ก ๆ เหล่านี้

หลายวันที่ได้อยู่ด้วยกัน อาจื้อและอาซือต่างก็ชอบเหยาเฉาที่มีอารมณ์ขันมากขึ้นเป็นพิเศษ

ตกดึกเมื่อหลินเหรากลับถึงบ้าน บทสนทนาที่มักจะได้ยินจากเด็ก ๆ ก็คือลุงรองเป็นอย่างไร ลุงรองทำอะไร…

มิน่าล่ะเหยาซูถึงได้เยาะเย้ยเขาเช่นนี้

หลินเหราหันไปด้านข้าง มองเหยาซูพลางพูดอย่างจริงจังว่า “เห็นลูก ๆ และลุงรองมีความสนิทสนมกัน ข้าก็ดีใจ”

เหยาซูใช้หัวข้อนี้มาอ้างด้วยการพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “ท่านและพี่รองก็เหมือนกันนั่นแหละ ยุ่งแต่กับงานจนไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน โชคดีที่ข้าและลูกตามท่านเข้าเมือง หากยังอยู่ในหมู่บ้านตระกูลเหยา เกรงว่าคงจะไม่ได้เจอท่านเป็นเวลาสิบวัน ไม่ก็ครึ่งเดือน เหมือนกับพี่สะใภ้รองและเอ้อหลางเลยอย่างนั้นสิ?”

แม้นางจะเป็นแม่ของลูก ๆ ทั้งสามคน แต่กลับบอบบางและละเอียดอ่อน เป็นหญิงสาวที่รักสวยรักงามชอบการแต่งตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาที่เปล่งประกายดุจดวงดาวคู่นั้น

การตำหนิด้วยความโกรธเคืองแฝงความกระเง้ากระงอดเช่นนี้ ไม่ได้ทำให้รู้สึกไม่สบายใจเลยแม้แต่น้อย

ครั้นเห็นใบหน้าที่ดูมีชีวิตชีวาของเหยาซู ได้เดินตลาดเคียงข้างกับนาง หลินเหรากลับผ่อนคลายมากเป็นพิเศษ สีหน้าก็พลันดูอ่อนโยนลง “อาซู ข้ารับปากเจ้า ไม่ว่าจะยุ่งจนดึกดื่นมากแค่ไหนก็จะกลับมาพักผ่อนที่บ้าน เพียงแต่เจ้าไม่ต้องรอข้า ถ้าดึกเกินไปก็รีบเข้านอนเสีย”

แค่คิดว่าเหยาซูจะต้องจุดตะเกียงไฟไว้ให้เขาทุกคืน ในใจของหลินเหราก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นครู่หนึ่ง

เหยาซูกัดถังหูลู่อีกหนึ่งคำ และเคี้ยวกร้วมอยู่ในปาก ส่งผลให้แก้มข้างขวาพองออกมาเล็กน้อย เหมือนกับสัตว์ตัวน้อยที่แอบกินอาหารตัวหนึ่ง แต่ก็ยังฝืนพูดว่า “ใครรอท่าน ข้าแค่ยังทำงานเมื่อตอนกลางวันไม่เสร็จ…”

มุมปากของหลินเหรากระตุกขึ้นเล็กน้อย ไม่ได้พูดสิ่งใด

มีหลายคืนที่เขากลับบ้านดึก และเห็นเหยาซูยังคงนั่งอยู่ใต้แสงไฟ สัปหงกครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตาคู่นั้นก็ลืมแทบไม่ขึ้น แต่กลับฝืนนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ยอมเข้านอน

รอจนเขาเดินมาตรงหน้า เหยาซูถึงได้สะดุ้งตื่น ท่าทางสะลืมสะลือนั้นช่างน่ารักยิ่งนัก

ผู้คนในตลาดเดินสวนกันขวักไขว่ พ่อค้าแม่ขายก็ไม่น้อยเลยเช่นกัน สองข้างทางทั้งซ้ายและขวาเต็มไปด้วยของกินหลากหลายชนิด ถังหูลู่ที่อยู่ในมือของเหยาซูนั้นได้หมดลงอย่างรวดเร็ว หลินเหราจึงซื้อขนมงาทอดสองชิ้นให้นางได้ถือกินในมือต่อ

ทั้งสองคนกำลังเดินตรงไปข้างหน้า จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงสตรีที่คุ้นเคยเสียงหนึ่ง “น้องอาซู! สหายหลิน!”

พวกเขาพลันหยุดก้าวเดิน เหยาซูมองไปทางคนตรงหน้าก่อนจะพูดด้วยความตื่นตกใจ “พี่เซวีย! ไม่เจอกันหลายวัน ข้ายังคิดอยู่เลยว่าพี่คงลงใต้ไปแล้ว วันนี้ไม่น่าจะอยู่ในเมือง!”

คนที่เรียกพวกเขาสองคนไว้ ก็คือเถ้าแก่เนี้ยเซวียที่มักจะเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ไปทั่ว

เถ้าแก่เนี้ยเซวียแต่งกายชุดคลุมยาวที่ดูสบาย ๆ ยืนสง่าอยู่ริมถนน ซึ่งโดดเด่นมากพอจะกลายเป็นภาพที่งดงามมากแห่งหนึ่งทีเดียว

ทั้งสองคนไม่เจอกันมาหลายวันแล้ว เถ้าแก่เนี้ยเซวียจึงดีใจมาก รีบเดินมาหาเหยาซูและจับมือของนางไว้ พลางพูดด้วยความกระตือรือร้นว่า “ไม่เจอกันตั้งหลายวัน เหตุใดเจ้าถึงดูผอมลงเช่นนี้เล่า?”

ในช่วงฤดูหนาวนั้น เหยาซูกลัวหนาวตาย จึงกินมากขึ้น และแต่งตัวให้หนาขึ้น

หญิงสาวเม้มปากยิ้ม “หน้าดูตอบลงหรือ? สองสามวันนี้ข้ากินมื้อค่ำน้อยลง…”

หลินเหรายืนฟังอยู่ข้างกาย จากนั้นก็มองไปทางเหยาซูด้วยแววตาแปลกใจครู่หนึ่ง

กลางคืนนางกินข้าวไม่ค่อยลงหรือ? เหตุใดเขาถึงไม่รู้เรื่องนี้เลย?

บางทีอาจเป็นเพราะอยู่ด้วยกันทุกวัน หลินเหราจึงไม่ทันสังเกตว่าเหยาซูนั้นซูบผอมลงหรือไม่ แค่เพียงรู้สึกว่าใบหน้าที่เนียนใสของนางนั้นดูเล็กลง

เถ้าแก่เนี้ยเซวียมองพิจารณาหญิงสาวตั้งแต่หัวจรดเท้า “ใบหน้าก่อนหน้านั้นดูมีน้ำมีนวลเล็กน้อย แต่กลับดูดีมากทีเดียว อย่าปล่อยให้ตัวเองอดสิ!”

เหยาซูรีบพูดว่า “ไม่ได้อดนะ แค่กินน้อยลงกว่าฤดูหนาวเท่านั้นเอง”

ทั้งสองคนสนทนาเข้าเรื่องเดียวกันอย่างรวดเร็ว แค่ชาดปากและผงแป้งที่ออกใหม่ก็ปาไปครึ่งค่อนวันแล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเสื้อผ้าที่สวมใส่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิแต่อย่างใด

“ชุดที่พี่เซวียใส่อยู่งดงามมากเชียว ว่าแต่สีฟางข้าวเช่นนี้เป็นสีที่ย้อมยากไม่ใช่หรือ?”

กรรมวิธีในการย้อมผ้าของเมืองต้าเยี่ยนค่อนข้างดีและหลากหลายพอตัว นอกจากจะพบเห็นสีเขียว ดำ แดง และฟ้าอยู่บ่อยครั้งแล้ว สีที่เกิดจากสองถึงสามเฉดสีผสมกันก็สามารถย้อมบนเสื้อผ้าได้อีกด้วย

เดิมทีเถ้าแก่เนี้ยเซวียมักจะขายเสื้อผ้าสำเร็จรูป จึงเข้าใจการย้อมสีโดยธรรมชาติ นางยิ้มและอธิบายว่า “จริง ๆ มันก็ไม่ยากนักหรอก แค่หาต้นไม้ใบหญ้าที่เหมาะสม ถ้าคำนวณจากต้นทุนของสีที่ย้อม ยังถูกกว่าสีทั่วไปอีกนะ”

ในใจของเหยาซูเต้นเร็วรัว ก่อนจะเอ่ยถามว่า “พี่เซวียเข้าใจเรื่องพวกนี้ด้วยหรือ? ฤดูวสันต์เป็นช่วงที่ข้าเอือมระอากับความเขียวขจีบนท้องถนนมาก แต่ร้านขายผ้ามักจะรับผ้าสีเหล่านี้เข้ามาในฤดูกาลนี้เสมอ พี่เซวียมีช่องทางอะไรอย่างไรบ้างไหมเจ้าคะ?”

เถ้าแก่เนี้ยเซวียชอบนิสัยของเหยาซูมาก จึงเล่าเท่าที่รู้ “ถ้าร้านขายผ้าต้องการ วัสดุผ้าที่ย้อมเองจะถูกกว่าข้างนอก”

“หา? ถ้าร้านขายผ้ารับสมัครช่างฝีมือย้อมผ้าได้ไม่กี่คน เช่นนี้ผ้าฝ้ายทั่วไปเราก็ทำกันเองได้นะสิ”

เถ้าแก่เซวียเห็นนางสนใจจึงเอ่ยต่อว่า “ช่างฝีมือในการย้อมผ้าข้าเองก็รู้จักไม่กี่คนนักหรอก นอกจากสีฟางข้าวแล้ว ต่อให้เป็นสีที่ซับซ้อนกว่านี้ก็ไม่ยากเกินความสามารถของพวกเขา ถ้าเจ้าสนใจ ข้าไปสอบถามพวกเขาให้ก็ได้นะ เพียงแต่ช่างฝีมือพวกนี้อยู่ในเมืองหลวง…”

เหยาซูได้ยินดังนั้นก็คลี่ยิ้มทันใด “เรื่องนั้นไม่มีปัญหา ขอแค่ผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นยอมมา ร้านขายผ้าจะให้การต้อนรับที่ดีที่สุดแน่นอน”

เถ้าแก่เนี้ยเซวียพยักหน้าเห็นด้วยกับเรื่องนี้ กระทั่งได้ยินเหยาซูเอ่ยถามว่า “เรื่องที่พูดกับข้าในคราวที่แล้ว มีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง? เสื้อผ้าสำเร็จรูปและวัสดุผ้าเป็นกิจการที่แยกจากกันไม่ได้ ถ้าพี่เซวียยอมอยู่ในร้านขายผ้าของเรา จะไม่มีทางสร้างความไม่เป็นธรรมให้แก่พี่เด็ดขาด”

เถ้าแก่เนี้ยเซวียยิ้มก่อนเอ่ยตอบ “พี่น้องกันจะมาไม่มีความเป็นธรรมอันใดกันเล่า เพียงแต่ใจข้ายังลังเลไม่อาจตัดสินใจได้ คงจะรับปากเจ้าไม่ได้…”

ใบหน้าของนางเผยสีหน้าลำบากใจ แต่กลับทำให้เหยาซูตะลึงงันไม่น้อย

ในความประทับใจแรกของเหยาซู เถ้าแก่เนี้ยเซวียเป็นคนที่เด็ดขาดมากคนหนึ่ง ไม่เคยโลเลมาก่อน ท่าทางในวันนี้ กลับทำให้นางต้องหันกลับไปมองอีกฝ่ายทันที

เหยาซูไม่พูดมากความ แค่ยิ้มและพูดว่า “รอให้พี่เซวียคิดได้ก่อน แล้วค่อยมาหาข้าที่ร้านขายผ้าเมื่อไรก็ย่อมได้”

ต้องขอบคุณในความเอาใจใส่ของนางยิ่งนัก เถ้าแก่เนี้ยเซวียเองก็ยิ้มออกมาเช่นกัน “มันแน่นอนอยู่แล้ว”

ทั้งสองคนคุยกันเป็นเวลานานสองนาน หลินเหราที่ยืนเป็นตัวประกอบอยู่ด้านข้างกลับฟังอย่างสงบเงียบมาตลอด ไม่ได้แสดงท่าทางหมดความอดทนแต่อย่างใด

สุดท้ายก็เป็นเถ้าแก่เนี้ยเซวียที่รู้สึกเกรงใจก่อน จึงกล่าวขอโทษ “ต้องขอโทษด้วยที่ดึงเจ้ามาคุย ทั้ง ๆ ที่สหายหลินก็อยู่ด้วย ว่าแต่พวกเจ้าจะมาเดินเล่นในตลาดใช่หรือไม่?”

หลินเหราพยักหน้าอย่างไม่เกรงใจ

เหยาซูมองเขาแวบหนึ่ง แววตาคู่นั้นเผยรอยยิ้มพิมพ์ใจ จากนั้นก็หันกลับไปพูดกับเถ้าแก่เซวียอีกครั้งว่า “หากพี่เซวียว่างละก็ มาหาข้าที่บ้านก็ได้ ข้ายังมีปัญหาในเรื่องผ้าและเสื้อผ้าสำเร็จรูปอยากจะถาม!”

เถ้าแก่เนื้อเซวียพยักหน้า “ได้แน่นอน ไขทามือของข้าหมดพอดี ว่าจะไปปล้นบ้านเจ้าสักโหล!”

เมื่อกล่าวจบ ทั้งสองคนก็พากันหัวเราะออกมา

เมืองต้าเยี่ยนไม่ได้กำหนดข้อจำกัดต่อสตรีเท่าไรนัก แต่อัตราส่วนที่จะได้เจอเจอะกับหญิงงามทั้งสองคนตามท้องถนนกลับมีน้อยจนน่าใจหาย

เถ้าแก่เนี้ยเซวียมีรูปร่างสูงเล็กน้อย จึงจูงมือของเหยาซูได้สบาย คนหนึ่งก็ดูดี อีกคนก็น่ารักน่าชัง จึงดึงดูดสายตาผู้คนได้ไม่น้อย

เพียงแต่ในตอนที่จะขอดูเพิ่มอีกหน่อยนั้น กลับถูกชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่อยู่ข้างกายของเหยาซูกวาดตามองด้วยสายตาเย็นยะเยือกแวบหนึ่ง จู่ ๆ ความคิดเหล่านั้นก็หายวับไป

เหยาซูเองก็ไม่อยากให้หลินเหรารอนานเช่นกัน เพียงแค่นัดแนะเวลาที่จะเจอกันในคราวต่อไปกับเถ้าแก่เนี้ยเซวีย จากนั้นก็เดินลึกเข้าไปในตลาดพร้อมกับเขา

ระหว่างทางหลินเหราไม่ปริปากพูดสิ่งใด มีเพียงแค่แขนเสื้อกว้างของเขามากั้นระหว่างทั้งสอง เหยาซูจึงยื่นมือออกไปดึงเขาไว้ “เป็นอะไร? ท่านดูท่าทางไม่สบายใจเท่าไรนัก”

สัมผัสที่อ่อนโยนได้หายวับไป หลินเหราพลิกมือมาดึงมือของเหยาซูแทน ก่อนกุมมือเล็ก ๆ ที่อ่อนนุ่มและเนียนละเอียดนั้นไว้ในฝ่ามือของตัวเอง

สุ้มเสียงของเขายังคงทุ้มต่ำเฉกเช่นเดิม เขาปฏิเสธกลับไป “เปล่านี่”

เหยาซูพยายามสะบัด แต่สะบัดอย่างไรก็สะบัดไม่ออก

นางจึงอดยิ้มออกมาไม่ได้ จากนั้นก็ก่นด่าด้วยเสียงต่ำและแผ่วเบาว่า “เป็นหนูหรืออย่างไร? ท่านถึงได้ฉวยโอกาสได้ทุกสถานการณ์…”

หลินเหราคว้ามือที่ไม่ยอมอยู่นิ่งข้างนั้นด้วยแรงที่ไม่มากนัก แต่กลับไม่ยอมปล่อยตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้

เหยาซูหยุดดิ้นสะบัดทันใด ยอมให้เขาจับแต่โดยดี จากนั้นก็ปรายตามองหลินเหรา “ถ้าบอกว่าไม่ได้ไม่สบายใจ แล้วเหตุใดท่านถึงแสดงท่าทางเช่นนี้ล่ะ?”

น้ำเสียงของหลินเหรากลับต่ำลงยิ่งกว่าเดิม “ท่าทางเช่นไร?”

เหยาซูยิ้มแหย่ “ก็หัวคิ้วที่ขมวดกันเป็นปมนี่อย่างไรเล่า”

หลินเหรามักมีท่าทางนิ่งสงบแต่ไหนแต่ไร มีแค่เหยาซูเท่านั้นที่สังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่างไปจากท่าทีของเขาได้

สีหน้าของเขาก็พลันอ่อนโยนลง แต่กลับพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ข้าไม่ชอบให้คนอื่นมองเจ้า”

…………………………………………………………………………………………………..

[1] 糖葫芦 tánghúlu ถังหูลู่ เป็นผลไม้เคลือบน้ำตาลหนึ่งในอาหารพื้นเมืองของกรุงปักกิ่ง

สารจากผู้แปล

ออกคอลเลกชันสีย้อมผ้าใหม่มาขายน่าจะทำกำไรได้ไม่เลวนะคะ

เอ่อ อาเหรา ห…ว…ง สะกดแบบนี้นะคะ

ไหหม่า(海馬)