ตอนที่ 212 คนขุดสุสานPLUS

เพราะได้รับการรับรองจากสื่อทางการ และเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์เพลง ช่วงเวลาต่อจากนั้น เพลงเปลี่ยนตัวเองจึงทะยานขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ…

เฉินจื้ออวี่เป็นอันดับหนึ่งแล้ว!

เป็นอันดับหนึ่งที่มั่นคงเสียด้วย!

ฉายาลูกคนรองตลอดกาลถูกทำลายลง แถมยังเกิดขึ้นเพราะวิธีการเช่นนี้ นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิด

แต่ชาวเน็ตก็มักจะค้นพบความบันเทิงรูปแบบใหม่ได้เสมอ

‘สู้ไม่ไหวก็เข้าร่วมมันซะเลย เป็นคติพจน์ที่เป็นความจริง!’

‘เมื่อก่อนเฉินจื้ออวี่ได้อันดับสองมาตลอด ที่แท้ก็เพราะเกาะขาคนผิด? ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดของเซวี่ยนล่านกับสตาร์ไลท์ก็คือ สตาร์ไลท์มีเซี่ยนอวี๋’

‘พูดตามตรงนะ เซี่ยนอวี๋เป็นขาใหญ่ที่โหดสุดแล้ว!’

‘เพราะงั้นเซี่ยนอวี๋ได้ครองแผ่นดิน[1]?’

‘เซี่ยนอวี๋เหมือนพ่อมดในนิยายแฟนตาซีเลย’

‘เหมือนใช้สูตรโกงเลย’

‘…’

เฉินจื้ออวี่เองก็มีอารมณ์ขัน ถึงขั้นเล่นตามน้ำกับแฟนคลับ โพสต์เย้ยหยันตนเองลงในปู้ลั่ว

[เลี้ยงปลาตะพัด[2]สีทองแล้วครับ]

ด้านล่างโพสต์แนบรูปภาพตู้ปลาขนาดใหญ่ซึ่งมีปลาตะพัดสีทองแหวกว่ายอยู่

และมีเงาของคนอยู่ด้านหลังตู้ปลา ตัวเฉินจื้ออวี่เองก็เข้าฉากมาด้วยท่าทางคล้ายกับว่ากำลังชูสองนิ้วอยู่

‘เลี้ยงปลาก็ดีเหมือนกัน’

‘รักษาโรคกลัวปลาหายแล้วเหรอครับ’

‘หลังจากนี้ก็พยายามปรนนิบัติพัดวีนายท่านปลาให้เต็มที่เลยนะ (อิโมจิรูปน้องหมายิ้มกรุ้มกริ่ม)’

‘ปลานำพาโชคดีมาให้’

‘ฉันเปิดไพ่ทำนายเลยนะ ว่าปลาตัวนี้จะถูกตั้งชื่อว่าชัยชนะ’

‘ได้อยู่นะมุกนี้’

‘สรุปว่านี่เป็นวิธีที่ถูกต้องในการเริ่มเลี้ยงปลา’

‘คุณชอบกินปลาอะไร’

‘…’

เฉินจื้ออวี่ยังตอบกลับคอมเมนต์ที่ได้ยอดไลก์สูงสุดนี้ ‘น้องปลาออกจะน่ารักขนาดนี้ ทำไมต้องกินน้องปลาด้วยล่ะครับ’

‘…’

เมื่อขจัดฉายานามว่าลูกคนรองตลอดกาลไปแล้ว เฉินจื้ออวี่เป็นอิสระโดยสมบูรณ์ ไม่ปิดบังความรู้สึกที่ตนมีต่อเซี่ยนอวี๋อีกต่อไป

ทำเอาชาวเน็ตตบเข่าฉาด

แถมเขายังติดตามปู้ลั่วของเซี่ยนอวี๋ กดไลก์ทุกโพสต์ของเซี่ยนอวี๋ด้วย

แต่สิ่งที่ทำให้เฉินจื้ออวี่เสียใจเล็กน้อยก็คือ เซี่ยนอวี๋ไม่ได้ติดตามเขา

เซี่ยนอวี๋ติดตามเพียงแค่สองคน…

ฉู่ขวงกับอิ่งจือ

แต่เมื่อลองมาคิดๆ ดูแล้ว เฉินจื้ออวี่ก็เบาใจลง เพราะคนที่เซี่ยนอวี๋ติดตาม ไม่ใช่คนในวงการเพลง

อันที่จริง นักร้องในวงการเพลงที่ติดตามเซี่ยนอวี๋มีเยอะแยะ โดยเฉพาะนักร้องที่อยากร่วมงานกับเซี่ยนอวี๋

แต่เซี่ยนอวี๋ก็ไม่ได้ติดตามใครกลับ รวมไปถึงซุนเย่าหั่วที่พบกันในครั้งก่อนด้วย

ซุนเย่าหั่ว?

เมื่อนึกถึงคนคนนี้ เฉินจื้ออวี่ก็พลันกระจ่างขึ้นมา ว่าทำไมครั้งก่อนท่าทีที่ซุนเย่าหั่วมีต่อตนถึงแปลกชอบกล

เขายิ่งรู้สึกระแวงมากขึ้นเรื่อยๆ

เซี่ยนอวี๋เป็นขาใหญ่ของจริง!

โดยเฉพาะหลังจากที่ได้ลิ้มลองความหอมหวานของอันดับหนึ่งไปแล้ว เฉินจื้ออวี่ก็ยิ่งปรารถนาอยากได้โอกาสในการร่วมงานกับเซี่ยนอวี๋ต่อไป

แต่ถึงอย่างนั้น คู่แข่งของตนคงจะมีไม่น้อย ซุนเย่าหั่วเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุด

ในความจริงแล้ว

เมื่อเซี่ยนอวี๋พาเฉินจื้ออวี่ขึ้นครองบัลลังก์แชมป์ของฤดูกาลได้สำเร็จ เขาก็ย่อมกลายเป็นที่สนใจในวงกว้าง

เรื่องนี้สามารถเห็นได้จากความรวดเร็วในการเพิ่มขึ้นของจำนวนแฟนคลับในปู้ลั่ว

จากเดิมทียอดผู้ติดตามอยู่ที่หลักสิบล้านต้นๆ ในตอนนี้แตะถึงสิบห้าล้านแล้ว!

ปกติแล้วเพลงหนึ่งๆ ไม่ได้มีอิทธิพลมหาศาลถึงขนาดนี้ ต่อให้คว้าอันดับที่หนึ่งในฤดูกาลมาได้ก็เถอะ

แต่เพราะบทเพลงนี้ถูกมอบคุณสมบัติพิเศษให้ เพราะฉะนั้นหลังจากการประชาสัมพันธ์หลายต่อหลายครั้ง เซี่ยนอวี๋จึงได้มีผู้ติดตามเพิ่มขึ้นมากเช่นนี้

……

เซี่ยนอวี๋มีผู้ติดตามเพิ่มขึ้นนับเป็นเรื่องที่ดี

แต่หลินเยวียนคาดหวังมากกว่า ว่าฉู่ขวงจะมีผู้ติดตามเพิ่มขึ้น เพราะนั่นส่งผลถึงภารกิจจากระบบ ในตอนนี้เขามีสองภารกิจเร่งด่วนที่จำเป็นต้องทำให้สำเร็จ

ภารกิจที่หนึ่ง: บัญชีผู้ใช้ของฉู่ขวงมีแฟนคลับทะลุหนึ่งร้อยล้าน

ภารกิจที่สอง: ค่าความโด่งดังด้านจิตรกรรมทะลุสามแสนภายในหนึ่งปี

สองภารกิจนี้ไม่ง่ายเลย

ภารกิจที่สองยังดีกว่าสักหน่อย ถึงแม้จะทำภารกิจในชื่ออิ่งจือ แต่ผู้ช่วยหลัวเวยก็สามารถช่วยงานได้มาก

ดังนั้นสิ่งที่หลินเยวียนต้องให้ความสำคัญมากที่สุดต่อจากนี้ คงหนีไม่พ้นตัวตนในฐานะฉู่ขวง เพราะเขาก็ไม่สามารถหาผู้ช่วยเขียนนิยายได้

ไหนๆ ช่วงนี้นอกจากการวาดการ์ตูน ก็ไม่มีเรื่องอื่นให้ทำแล้ว ใช้เวลาเขียนนิยายเรื่องคนขุดสุสานไปเลยก็แล้วกัน

สิ่งที่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงก็คือ…

เรื่องคนขุดสุสานที่ระบบมอบให้หลินเยวียน มีทั้งหมดแปดเล่ม

สี่เล่มแรกได้แก่ตอนเมืองโบราณกลางทะเลทราย อุโมงค์ปริศนาแห่งเขามังกร หุบเขาลับแห่งยูนนาน วังเทพคุณหลุน[3]

สี่เล่มหลังได้แก่ตอนตำนานสุดสานหวงต้าเซียน ตำนานเซียนใต้ทะเลลึก ตำนานราชาศพเซียงซี ตำนานสุสานตี้เซียน[4]

หลังจากแปดเล่มนี้ นักเขียนยังเขียนพวกพรีเควล[5]ไว้ด้วย ทว่าเสียงตอบรับไม่ดีเท่าแปดเล่มนี้ ระบบจึงไม่ได้ส่งมอบมาให้หลินเยวียน

เมื่อนึกถึงความต่อเนื่องในการอ่าน หลินเยวียนจึงวางแผนว่าจะค่อยๆ ปล่อยออกไปทีละเล่ม

เรื่องนี้ทำให้ความต้องการในการอัปเดตเล่มใหม่ของหลินเยวียนเพิ่มสูงขึ้น เพราะแต่ละเล่มของเรื่องคนขุดสุสานมีความยาวของเนื้อหาประมาณสามสี่แสนตัวอักษร

นั่นแตกต่างจากความถี่ในการเผยแพร่ก่อนหน้านี้ ซึ่งมีแค่ประมาณสองแสนตัวอักษรต่อเล่ม

แต่นี่ก็ไม่ใช่ปัญหา

ถ้าหากเขียนเร็ว ก็ปล่อยเดือนละเล่ม ถ้าเขียนช้า สองสามเดือนค่อยปล่อยสักเล่ม หลินเยวียนทำได้ตามใจปรารถนา ตราบใดที่ทางสำนักพิมพ์แจ้งเขาล่วงหน้า

เมื่อคิดได้เช่นนี้

หลินเยวียนก็เริ่มเขียนเนื้อหาของเรื่องคนขุดสุสานเล่มหนึ่ง

ฉากหลังของเรื่องจำเป็นต้องเปลี่ยน ฉบับที่ระบบให้มานี้ ถึงแม้จะผ่านการปรับโครงเรื่องมาบ้าง สำนวนภาษาเปลี่ยนไปบ้าง แต่กลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงฉากหลังของเรื่อง

ในนิยายต้นฉบับเป็นยุวปัญญาชน[6] และยุคสาธารณรัฐ[7] ทำให้มีจุดเด่นด้านยุคสมัยอย่างชัดเจน

ต่างจากเรื่องจอมโจรขุดสุสาน ซึ่งอ้างอิงตามยุคสมัยปัจจุบัน

แม้ว่าหลินเยวียนคิดจะเปลี่ยนฉากหลังของเรื่อง แต่ก็ไม่ได้คิดจะเปลี่ยนยุคสมัยของเรื่อง

อันที่จริงจุดเด่นบางส่วนของต้นฉบับน่าสนใจมากทีเดียว ถ้าหากอยู่ในยุคปัจจุบันจะกลายเป็นไม่สมเหตุสมผลขึ้นมา

ตอนนี้เขาแทบจะต้มหนังสือประวัติศาตร์บลูสตาร์กินหลายเล่ม เพื่อเปลี่ยนฉากหลังของเนื้อเรื่อง ดังนั้นความรู้ด้านประวัติศาสตร์จึงเพิ่มขึ้นจนสามารถทำได้อย่างแยบยล

ก่อนอื่นต้องแน่ใจว่าเส้นเรื่องหลักของคนขุดสุสานจะต้องไม่เปลี่ยน

จางซานเลี่ยนจื่อแห่งมัวจินเซี่ยวเว่ยในตำนานเป็นตัวละครต้นกำเนิดของนิยาย

เขาคนเดียวห้อยเครื่องรางมัวจินสามชิ้น ทั้งยังเขียนรวบรวมตำราเคล็ดวิชาหยินหยางสิบหกอักขระซึ่งขุดพบจากสุสานโบราณ เนื่องจากเปิดเผยลิขิตสวรรค์ จึงทำลายตัวเองไปครึ่งเล่ม

จางซานเลี่ยนจื่อมีลูกศิษย์สี่คน คนโตราชสีห์โบยบิน คนรองลูกคิดทอง คนที่สามซุนกั๋วฝู่เนตรหยินหยาง คนสุดท้องหัวเจียรเหล็ก

หลังจากทั้งสี่กราบลาอาจารย์ เพราะซุนกั๋วฝู่ไม่ยอมขุดสุสาน จางซานเลี่ยนจื่อจึงมอบตำราเคล็ดวิชาหยินหยางสิบหกอักขระให้กับเขา และมอบเครื่องรางมัวจินทั้งสามชิ้นให้แก่อีกสามคน พร้อมทั้งเตือนว่ามัวจินเซี่ยวเว่ยหากรวมกันจะอยู่รอด หากแยกจากกันจะมอดม้วย

ซุนกั๋วฝู่ท่องไปทั่วทุกสารทิศ และบังเอิญพบกับนายน้อยเจ้าของที่ดินตกอับกำลังขุดสุสานหาสมบัติ เพราะฤทธิ์ยาเสพติดกำเริบ และนั่นก็คือปู่ของหูปาอี ตัวละครเอกของเรื่องนี้

หูกั๋วหวา!

ซุนกั๋วฝู่ตัดสินใจรับหูกั๋วหวาเป็นศิษย์ และมอบตำราเคล็ดวิชาหยินหยางสิบหกอักขระให้แก่หูกั๋วหวาก่อนตนลาจากโลกนี้ไป

สุดท้ายแล้วก็มาตกอยู่ในมือของหูปาอี

ด้วยคำยุยงจากต้าจินหยา พ่อค้าวัตถุโบราณ หูปาอีถือตำราเคล็ดวิชาหยินหยางสิบหกอักขระ เริ่มต้นชีวิตการขุดสุสานพร้อมกับพั่งจื่อเพื่อนรักของตน

เรื่องราวแบ่งเป็นแปดเล่ม แต่ละเล่มล้วนเป็นการผจญภัยครั้งใหม่

เมื่อมองจากมุมนี้แล้ว เรื่องคนขุดสุสานนับว่าเป็นนิยายแนวผจญภัยสุดคลาสสิก น่าจะนำไปใส่ไว้ในหมวดนิยายแฟนตาซีได้

แต่สิ่งที่ต่างจากนิยายแฟนตาซีเรื่องอื่นๆ ก็คือ

ถึงแม้ระบบจะเหลือหน้าที่ปรับแก้ฉากหลังของเรื่องให้กับหลินเยวียน แต่สถานที่ในนิยายซึ่งไม่ได้บรรยายรายละเอียดชัดเจน ก็ถูกระบบดัดแปลงจนกลมกล่อมแล้ว

ประเด็นสำคัญอีกเรื่องหนึ่งก็คือ

บรรยากาศของความสยองขวัญและแปลกพิลึก คล้ายกับถูกเพิ่มดีกรีขึ้นอีกหลายเท่า เพื่อให้ผู้อ่านรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน…

………………………………………………

[1] เซี่ยนอวี๋ได้ครองแผ่นดิน ล้อมาจากคำพูดว่า ‘ผู้ใดได้ใจประชาชน ย่อมได้ครองแผ่นดิน’

[2] ปลาตะพัด เป็นปลาน้ำจืดสายพันธุ์โบราณ เชื่อว่าเลี้ยงเพื่อช่วยเสริมสร้างบารมี เงินทอง โชค และการเติบโตในหน้าที่การงาน

[3] เมืองโบราณกลางทะเลทราย อุโมงค์ปริศนาแห่งเขามังกร หุบเขาลับแห่งยูนนาน วังเทพคุณหลุน อ้างอิงจากนิยายเรื่องคนขุดสุสาน ฉบับแปลภาษาไทย (2012) แปลโดยชิวเยี่ย สำนักพิมพ์สยามอินเตอร์บุ๊คส์

[4] ตำนานสุดสานหวงต้าเซียน ตำนานเซียนใต้ทะเลลึก ตำนานราชาศพเซียงซี ตำนานสุสานตี้เซียน อ้างอิงจากนิยายเรื่องคนขุดสุสาน ภาคสอง ฉบับแปลภาษาไทย (2014) แปลโดยหลิงหลง สำนักพิมพ์สยามอินเตอร์บุ๊คส์

[5] พรีเควล เป็นเรื่องที่นักเขียนแต่งขึ้น เพื่อบรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า

[6] ยุวปัญญาชน หรือที่รู้จักกันในชื่อ Sent-down Youth คือนโยบายที่ออกโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน ระหว่างทศวรรษที่ 1960-1970 เพื่อส่งเยาวชนที่มีความรู้จากในเมืองไปอยู่ในชนบทห่างไกล และเรียนรู้การใช้แรงงานจากเกษตรกร ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวกับการปฏิวัติวัฒนธรรมโดยกลุ่มยุวชนแดง เพื่อปราบปรามปัญญาชน ทั้งนักเขียน นักวิชาการ ครูอาจารย์อย่างโหดร้ายทารุณ

[7] ยุคสาธารณรัฐ (1911-1949) เกิดขึ้นหลังจากการปฏิวัติซินไฮ่โค่นล้มราชวงศ์ชิงโดยมีดร.ซุนยัตเซ็นเป็นผู้นำ