พระชายาจี้เป็นวัณโรคจริงๆ

หลังจากหมอหลวงตรวจแล้ว อ๋องจี้จ่ายเงินอย่างหนัก เพื่อให้หมอหลวงเก็บไว้เป็นความลับ

แต่ก่อนหน้านี้เคยมีหมอตรวจอาการ ข่าวนี้จึงปิดบังไว้ไม่ได้

หลังจากจวนอ๋องหวยถูกหยวนชิงหลิงเปิดโปงสองวัน พระชายาจี้ก็เริ่มไอ

นึกว่าแค่เป็นหวัด จึงให้หมอเขียนใบสั่งยาให้ กลับคิดไม่ถึงว่ายิ่งดื่มยาแล้วก็ยิ่งไอหนักขึ้น

อาการป่วยนี้เป็นขึ้นอย่างกะทันหัน และอันตรายอย่างมาก

เมื่อป่วยจนถึงวันที่ห้า ก็จะเริ่มมีไข้สูง ไอไม่หยุด จึงได้ตามหมอหลวงมาดูอาการทั้งคืน

ป่วยเป็นวัณโรค เท่ากับบนหัวเขียนไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าจะต้องตาย

แต่นางก็ไม่ได้หมดหวัง เพราะในเมื่อหยวนชิงหลิงสามารถรักษาอ๋องหวยให้หายได้ ก็จะต้องมีหมอที่สามารถรักษานางให้หายได้

จะบอกว่าฝีมือการรักษาของหยวนชิงหลิงเป็นหนึ่งเดียวในโลก ก็เป็นไปไม่ได้

แต่ที่นางไม่รู้ก็คือ ไม่ใช่เพราะหยวนชิงหลิงมีฝีมือทางการแพทย์ที่ดี แต่เป็นเพราะนางมียาที่สามารถรักษาได้แค่นั้นเอง

วัณโรคบางอย่างสามารถอยู่ได้หลายปี แต่หากเกิดอาการป่วยอย่างกะทันหัน ก็จะมีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว

พระชายาจี้ เข้าข่ายที่เกิดอาการป่วยอย่างรวดเร็วกะทันหัน

ยาที่หมอหลวงให้ไว้ สามารถระงับไว้ได้ชั่วขณะ แต่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้

ถึงอ๋องจี้จะต้องเป็นกังวลเรื่องพระชายาป่วย แต่อารมณ์ก็ยังดูไม่เลว

วันนี้ก็เป็นวันที่หกแล้ว

วันกำหนดจบคดีเหลืออีกเพียงแค่สองวันแล้ว

พระชายาจี้ยังป่วยอยู่ แต่ก็ยังคงทำหน้าที่เสียนเฟย ช่วยคิดแผนการให้กับอ๋องจี้

หงซิ่วประคองพระชายาลุกขึ้น อ๋องจี้เดินมาจับมือของนางไว้พร้อมพูดว่า “ เจ้านอนพักเถอะ”

“ไม่เป็นไร” รอบดวงตาพระชายาจี้หมองคล้ำ บนใบหน้ายังสวมผ้าปิดปากไว้ สั่งให้สาวใช้เป็นคนทำ ทำจากผ้าไหมอย่างหนา เมื่อนางสวมไว้แล้ว อ๋องจี้จึงไม่ต้องสวม

สั่งให้ทุกคนออกไป พระชายาจี้มองดูอ๋องจี้พร้อมพูดว่า “ ตอนนี้คดีได้มาถึงช่วงเวลาสุดท้ายแล้ว รอให้อ๋องฉู่ถูกลงโทษให้พ้นจากตำแหน่ง ท่านอ๋องก็จะสามารถเสนอตนเอง ภายในสามวัน สรุปปิดคดีนี้ ถึงตอนนั้นเสด็จพ่อก็จะเห็นความสำคัญของท่านอ๋อง ค่าปลอบขวัญหม่อมฉันได้ให้อย่างเพียงพอแล้ว เขาจะให้ความร่วมมือกับท่านอ๋องเอง”

อ๋องจี้มองดูนางพร้อมพูดขึ้นอย่างปลอบโยนว่า “ข้ามีเสียนเฟยอย่างเจ้า ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องใดๆแล้วจริงๆ

พระชายาจี้ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า “ นี่เป็นสิ่งที่หม่อมฉันควรทำ เพียงแต่หม่อมฉันป่วยเช่นนี้ จึงไม่สามารถช่วยอะไรท่านอ๋องได้มากกว่านี้ ท่านอ๋องไว้ใจหงซิ่วได้ เด็กคนนี้หม่อมฉันสั่งสอนมาเองกับมือ ไว้ใจได้เพคะ”

อ๋องจี้พูดขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “อาการป่วยของเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลมาก ข้ากำลังประกาศตามหาหมอที่มีชื่อเสียง จะต้องรักษาเจ้าให้หายได้แน่”

พระชายาจี้ค่อยๆซบแนบอกอ๋องจี้ พร้อมพูดว่า “หม่อมฉันเชื่อ”

อ๋องจี้ใช้มือค่อยๆลูบหลังให้กับนาง พูดปลอบโยนด้วยเสียงอ่อนโยนอีกว่า “เมื่อข้าได้เลื่อนตำแหน่ง จะไม่ทอดทิ้งเจ้า”

พระชายาจี้อมยิ้มอย่างอ่อนโยน แววตาเยือกเย็น

“เอาล่ะ เจ้าพักผ่อนเถอะ ข้าก็ต้องกลับค่ายทหารแล้ว”อ๋องจี้ปล่อยนางพร้อมพูดขึ้น

พระชายาจี้ลุกขึ้นมาถวายความเคารพ “น้อมส่งท่านอ๋อง”

อ๋องจี้หันหน้าเดินออกไป แล้วก็รีบเดินไปยังห้องของตนเอง ถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมดพร้อมพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “เอาเสื้อผ้าไปเผาทั้งหมด”

“ขอรับ”ข้ารับใช้รีบเข้ามาเอาออกไป

อ๋องจี้นั่งลง ลูบหมุนแหวนหยกตรงนิ้วมือ

ตอนนี้เรื่องทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น กำลังเป็นไปในทิศทางที่เขาวางแผนไว้ คนที่ไม่มีความจำเป็นสามารถตายได้แล้ว

หากไม่ใช่เป็นเพราะเพื่อสถานการณ์ส่วนรวม ข้าจะต้องทนผู้หญิงเช่นนี้นานขนาดนี้หรือ?

คดีคืบหน้าไปอย่างรวดเร็ว

เดิมกรมการพระนครก็มีวิธีการในการทำคดีอยู่แล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้ตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน ไม่รู้ว่าจะเริ่มลงมือจากตรงไหน

ตอนนี้มีเบาะแสแล้ว ทุกอย่างก็สามารถลงมือกระทำได้อย่างราบรื่น

แต่จะต้องสรุปคดีภายในเวลาที่กำหนด ก็ถือว่ามีความยากอยู่ในระดับหนึ่ง

เพราะต่อให้มีผู้ต้องสงสัย ก็จะต้องใช้เวลาในการหาหลักฐาน และหลังจากพบเจอหลักฐานแล้ว ก็ยังต้องสืบหาตัวคนร้ายเพื่อนำมาดำเนินคดี

ถ้าจะพูดไปแล้ว หากไม่มีเวลากว่าครึ่งเดือน แทบจะไม่สามารถจับตัวคนร้ายมาได้

แต่หยู่เหวินเห้ากับคนของกรมการพระนคร ต่างก็ค่อยโล่งอก เพราะตอนนี้สามารถระบุตัวคนร้ายได้แล้ว ซึ่งก็คือนายซ่างฮัวโจวจือของเหอหลิ่งเต้า

โจวจือ นาวซ่างฮัวที่มีชื่อเสียงในยุทธภพ ชำนาญการใช้อาวุธลับ เข็มอาบยาพิษ เพื่อเงินแล้วสามารถทำได้ทุกอย่าง

ขอเพียงรู้ตัวคนร้ายแล้ว ต่อให้ไม่สามารถจับตัวคนร้ายได้ในเวลาที่กำหนด ฮ่องเต้กับโสวฝู่ฉู่ก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว

และก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสวรรค์เข้าข้างหยู่เหวินเห้าหรือเปล่า

วันนี้ได้รับข่าวจากสายลับว่า คืนนี้ตอนเที่ยงคืนโจวจือ จะปรากฏตัวในวัดร้าง นอกชานเมือง

หยู่เหวินเห้าไม่สนใจว่าจริงหรือเท็จ พาคนไปซุ่มดักรอไว้ก่อน สุดท้ายก็จับตัวโจวจือได้จริง

เมื่อพากลับมาสอบสวนที่ทำการปกครอง โจวจือรับสารภาพทั้งหมด สอดคล้องกับสถานการณ์ต่างๆอย่างชัดเจน

กรมการพระนครต่างก็ดีใจอย่างมาก แต่หยู่เหวินเห้า กลับอดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดอย่างรอบคอบ คนที่แจ้งเบาะแสความเคลื่อนไหวของโยงจ่อเป็นใครกันแน่?

และที่สำคัญที่สุดก็คือ โจวจือก็ไม่ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหา ยอมรับสารภาพทุกอย่าง ส่วนเรื่องที่เมื่อถามถึงว่าทำไมเขาถึงออมมือให้กับเด็กทารกนั้น คำตอบของเขาสมเหตุสมผลอย่างมาก เขาลงมือไม่ลง เพราะเขาก็มีลูกสาวลูกชายหนึ่งคู่

หยู่เหวินเห้ารีบส่งคนไปสืบที่เหอหลิ่งเต้า ก็เพราะว่าคนในครอบครัวของโจวจือต่างก็หนีไปแล้ว ไม่รู้ว่าไปที่ไหนกัน

เมื่อถามคนเหอหลิ่งเต้า บอกว่าโจวจือ มีลูกชายลูกสาวหนึ่งคู่จริงๆ เป็นฝาแฝด ตอนนี้เพิ่งได้แค่ขวบกว่าเอง

ทุกอย่างล้วนไม่มีพิรุธเลย โจวจือก็สามารถเล่าสถานการณ์ตอนที่ฆ่าคนได้ แม้แต่มีดตัดฟืนที่ใช้ฆ่าคนก็สามารถนำออกมาได้ จากหลักฐานการชันสูตรศพ ก็เป็นอาวุธที่ใช้ฆ่าคนจริง

ส่วนกระบอกใส่เข็มอาบพิษ ก่อนนำมาให้ด้วย

หยู่เหวินเห้ารู้สึกว่าทั้งหมดนี้ได้มาง่ายใดเกิน ง่ายดายจนเหมือนหลังจากโจวจือฆ่าคน แล้วก็ตั้งใจมามอบตัว โดยเฉพาะสีหน้าท่าทีที่เรียบเฉยของเขานั้น ไม่ตกใจไม่หวาดกลัว ยิ่งทำให้น่าสงสัย

แต่ทั้งหมดนี้ ล้วนบ่งชี้ไปที่โจวจือ เขาเองก็ยอมรับ ความจริงแล้วคดีนี้ก็ไม่มีอะไรน่าสืบอีกต่อไป

หยู่เหวินเห้าจึงยื่นสำนวนคดีให้กับกรมอาญา จากนั้นก็เข้าวังไปกราบทูลฮ่องเต้หมิงหยวนด้วยตนเอง

พอดี อ๋องจี้ก็กำลังปรนนิบัติอยู่ที่ห้องทรงพระอักษร

อ๋องจี้เห็นหยู่เหวินเห้ามา คิดว่ายังไงวันนี้ก็เป็นวันครบกำหนดแล้ว นับว่าฉลาด ที่รู้จักมาขออภัยโทษก่อน

“เจ้าไม่รีบสรุปคดี เข้าวังมาทำไม?” ฮ่องเต้หมิงหยวนกำลังฝึกเขียนพู่กันจีน มีลูกชายมากมายขนาดนี้ มีเพียงคนโตที่เขียนอักษรได้งดงามที่สุด ดังนั้นเมื่อไหร่ที่ฝึกเขียนอักษรก็จะชอบให้คนโตอยู่เป็นเพื่อน

หยู่เหวินเห้า คุกเข่าพร้อมพูดขึ้นว่า “กราบทูลเสด็จพ่อ คดีนี้ได้สรุปความแล้ว จับตัวคนร้ายได้แล้ว จากการสอบสวน คนร้ายก็ให้การยอมรับสารภาพแล้วทั้งหมด”

อ๋องจี้ตกตะลึง รีบเงยหน้าขึ้นมา พร้อมหลุดปากพูดขึ้นว่า “เป็นไปไม่ได้”

หยู่เหวินเห้ามองดูอ๋องจี้ พร้อมพูดว่า “พี่ใหญ่พูดว่าเป็นไปไม่ได้หมายความว่าอย่างไรหรือ?”

อ๋องจี้รู้ตัวว่าได้พูดผิดไป จึงรีบพูดขึ้นว่า “ไม่ ข้าหมายความว่าน้องห้าสามารถประสบความสำเร็จในงานที่ไม่น่าเป็นไปได้ ทำให้ข้าตกตะลึง”

หยู่เหวินเห้าอมยิ้มพร้อมพูดขึ้นว่า “พี่ใหญ่คิดว่างานนี้เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากหรือ? แต่พี่ใหญ่เองไม่ใช่หรือที่จำกัดเวลาข้าต่อหน้าเราขุนนาง?”

สีหน้าอ๋องจี้เปลี่ยนไป และพูดขึ้นว่า “ตอนนั้นข้าไม่รู้ว่าคดีนี้ซับซ้อนขนาดนี้”

ฮ่องเต้หมิงหยวนมองดูอ๋องจี้แวบหนึ่ง จากนั้นก็มองดูหยู่เหวินเห้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้มพร้อมพูดขึ้นว่า “ดี คดีนี้กำหนดตัดสินโทษแล้วหรือยัง?”

“ทูลเสด็จพ่อ ได้ส่งมอบให้กับกรมอาญาทบทวนแล้ว”

กรมการพระนครสามารถจัดการคดีใหญ่ได้ด้วยตนเอง ไม่จำเป็นต้องส่งต่อให้กับกรมอาญา แต่เพราะแต่ละฝ่ายต่างก็ให้ความสำคัญ และกำหนดจำกัดเวลาในการให้กรมการพระนครทำคดี ดังนั้นหยู่เหวินเห้ายกคดีส่งต่อให้กับกรมอาญา ให้กรมอาญาตัดสินคดี กรมอาญาดำเนินการ เพื่อแสดงความเป็นธรรม

ฮ่องเต้หมิงหยวนแปลกใจ จึงพูดขึ้นด้วยดวงตาค่อนข้างอ่อนโยนว่า “อืม เจ้าทำได้อย่างรอบคอบ ข้าภูมิใจมาก”