บทที่ 187 ที่พึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด!

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 187 ที่พึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด!

เทพเซียนถอนทัพ โลกมนุษย์สงบสุข!

ชั่วขณะเดียว โลกมนุษย์เปี่ยมด้วยเสียงหัวเราะยินดี สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ยิ่งครื้นเครงไม่หยุด คึกคักผิดธรรมดา

หานเจวี๋ยกับบรรดาศิษย์ลูกศิษย์หลานพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะกลับสู่ถ้ำเทวาฟ้าประทาน

การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้เขาได้ผลประโยชน์ไม่น้อย

[ความประทับใจที่ยอดแม่ทัพเทพมีต่อท่านเพิ่มขึ้น ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 3 ดาว]

[ความเกลียดชังที่เหวินชวีซิงมีต่อท่านลดลง ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 1 ดาว]

[ตี้ไท่ไป๋เกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 2 ดาว]

[เทพอสนีเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 2 ดาว]

[ซูจินซิงเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 1 ดาว]

[จอมพลเสินเผิงเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 1 ดาว]

เบื้องหน้าของหานเจวี๋ยปรากฏข้อความแจ้งเตือนขึ้นมาเป็นทิวแถว ส่วนใหญ่ล้วนเป็นความประทับใจ

เหล่าเทพเซียนไม่ได้เขลา ฝีมือของหานเจวี๋ยเพียงพอที่จะกลายเป็นยอดแม่ทัพเทพคนต่อไปได้ ย่อมต้องอยากดึงเข้าพวกเป็นธรรมดา

แน่นอนว่าก็มีเทพเซียนจำนวนหนึ่งลอบรู้สึกริษยา เพียงแต่พวกเขาคิดไม่ถึงว่าหานเจวี๋ยจะได้รับรู้ถึงความประทับใจและความเกลียดชังของพวกเขา

หานเจวี๋ยตั้งมั่นสภาวะจิต

ศึกในวันนี้ ทำให้เขาตระหนักได้ถึงข้อบกพร่องของตนเอง

ก่อนหน้านี้ที่เขาข้ามขอบเขตพลังล้วนมีแต่ปลิดชีพในฉับพลัน ตอนนี้ยังต้องต่อสู้อีกช่วงระยะหนึ่ง

ถึงแม้หลงซั่นเองก็ไม่ธรรมดานัก เป็นบุตรแห่งสวรรค์จากวังสวรรค์ แต่ก็ยังทำให้หานเจวี๋ยรู้สึกไม่ปลอดภัย

‘ไม่ได้! เขาต้องเพิ่มพูนความแข็งแกร่งของตนเอง’

ยิ่งขอบเขตพลังสูงขึ้นเพียงใด ระยะห่างของขอบเขตพลังเดียวกันต้องยิ่งน้อยลงเท่านั้น หานเจวี๋ยไม่อยากสู้ไม่ได้แม้แต่กับศัตรูขอบเขตพลังเดียวกันในภายภาคหน้า

เมื่อคิดถึงตรงนี้ หานเจวี๋ยก็รวบรวมสมาธิ

ยังต้องพยายามอีก!

เวลาเคลื่อนคล้อย

หลังจากแม่ทัพและทหารสวรรค์ล่าถอย เวลาผ่านไปแล้วสิบปี

โลกมนุษย์กลับสู่ความสงบสุข ผู้บำเพ็ญสายมารแทบจะไร้ร่องรอย ก่อนหน้านี้เผ่ามารเป็นต้นเหตุให้วังสวรรค์ชำระล้างโลกมนุษย์ ทำให้สายหลักและเผ่าปีศาจต่างเคียดแค้นเผ่ามาร เผ่ามารเองก็หวาดกลัวเทพเซียน ผู้บำเพ็ญสายมารพากันกลับใจอย่างต่อเนื่อง

สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์รู้ว่าผู้ที่ต่อต้านเทพเซียนนั้นคือหานเจวี๋ย ทำให้เรื่องนี้แพร่กระจายออกไปทั่วหล้า รูปปั้นและภาพวาดที่เกี่ยวข้องกับหานเจวี๋ยเองก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งใต้หล้าเช่นกัน

แน่นอนว่าภาพวาดไม่ค่อยตรงนัก รูปปั้นและตัวจริงของหานเจวี๋ยก็ห่างชั้นกันเกินไปเช่นกัน

ช่วงสิบปีนี้ เทพเซียนไม่ลงมายังโลกมนุษย์อีกเลย

หานเจวี๋ยเองก็สงบจิตใจบำเพ็ญตบะเป็นเวลาสิบปีแล้ว

วันนี้เอง

จี้เซียนเสินเดินทางมาเยี่ยมเยียน

ทั้งสองนัดพบกันที่ป่าผืนเล็ก

“เจ้าจะขึ้นสวรรค์?” หานเจวี๋ยกล่าวอย่างประหลาดใจ

จี้เซียนเสินพยักหน้ากล่าว “เคราะห์แห่งเทพเซียนผ่านไปแล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องรั้งอยู่ที่โลกมนุษย์ต่อไป อีกอย่างข้าไม่เหมือนกับเจ้า ข้าไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องอยู่ในโลกมนุษย์ และข้าก็ไม่ได้อยากกราบเจ้าเป็นอาจารย์”

หานเจวี๋ยนิ่งเงียบ

จี้เซียนเสินเอ่ยถาม “เจ้าจะขึ้นสวรรค์เมื่อใด”

หานเจวี๋ยเอ่ยตอบ “ค่อยดูอีกที”

‘เมื่อเข้าสู่วังสวรรค์ เช่นนั้นก็ต้องเป็นทหาร วุ่นวายจะตาย’

จี้เซียนเสินแค่นเสียงกล่าว “เช่นนั้นข้าไปอยู่ที่วังสวรรค์ก่อน ภายภาคหน้าจะได้คุ้มครองเจ้า”

กล่าวจบ เขาก็นึกเสียใจขึ้นมา

หานเจวี๋ยในตอนนี้ไม่รู้ว่าแข็งแกร่งถึงขั้นใดแล้ว ต่อให้เขาสำเร็จมรรคผลขึ้นสู่สวรรค์ ก็ไม่แน่ว่าจะเหนือกว่าหานเจวี๋ยได้

‘ไม่ได้! ข้าจะคิดเช่นนี้ไม่ได้!

ไม่ช้าก็เร็วข้าต้องเหนือกว่าเขา!

ข้าเกิดมาเพื่อเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด!’

สายตาของจี้เซียนเสินแน่วแน่

หานเจวี๋ยกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นขอให้หนทางเบื้องหน้าของเจ้าราบรื่น”

จี้เซียนเสินอารมณ์ดีขึ้น เอ่ยถามว่า “ฟางเหลียงจะสำเร็จมรรคผลขึ้นสู่สวรรค์เมื่อใด”

“ค่อยดูอีกทีแล้วกัน”

“อืม”

ทั้งสองจมสู่ความนิ่งเงียบ

สุดท้าย จี้เซียนเสินถึงได้จากไป

หานเจวี๋ยเพิ่งเตรียมจะหันกายออกไป ผลปรากฏว่ากลับชนเข้ากับอีกคนอย่างจัง

จักรพรรดิสวรรค์!

หานเจวี๋ยตกใจจนถอยกรูดเป็นพัลวัน

ภาพประจำตัวของจักรพรรดิสวรรค์เขาจำได้ขึ้นใจ อย่างไรเสียก็เป็นเจ้าพ่อ

ดูแล้วจักรพรรดิสวรรค์สูงเหมือนเขา สวมชุดคลุมสีขาว ไม่ได้เผด็จการเหมือนภาพประจำตัวเพียงนั้น แต่มีกลิ่นอายของปราชญ์เมธีมากกว่า

หานเจวี๋ยสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ต้องนิ่งเข้าไว้

‘จักรพรรดิสวรรค์มีความประทับใจในตัวเขาถึง 3 ดาว น่าจะไม่ทำร้ายเขากระมัง’

จักรพรรดิสวรรค์เอ่ยพลางยิ้มเล็กน้อย “หานเจวี๋ย ยามที่เราให้ซั่นเอ๋อร์จัดการเจ้า ให้เขาบุกหน้าเต็มกำลัง สู้กับเจ้าด้วยใจมุ่งมั่นสังหารเจ้า”

หานเจวี๋ยนิ่งเงียบ ทอดมองเขาไม่กล่าววาจา

“เราก็ไม่ได้อยากให้เขาสังหารเจ้าจริงๆ เพียงแต่อยากเห็นพลังในตัวเจ้า และเจ้าก็ไม่ได้ทรยศต่อความคาดหวังของเรา” รอยยิ้มของจักรพรรดิสวรรค์โอบอ้อมอารี ไม่มีความรู้สึกกดดันแต่อย่างใด

หานเจวี๋ยเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “ท่านคาดหวังในตัวข้า?”

จักรพรรดิสวรรค์สองพระหัตถ์ไพล่หลัง กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าไม่ธรรมดายิ่งนัก ที่เจ้าบำเพ็ญไม่ใช่มรรคไท่อี่ แต่กลับสามารถดึงดูดผู้ที่มีดวงชะตายิ่งใหญ่ได้ไม่น้อย แม้กระทั่งดาวตัวซวยของวังสวรรค์ของเราก็ยังกราบเจ้าเป็นอาจารย์ บางทีเจ้าก็มีลิขิตชะตาที่แม้แต่เราเองก็มองไม่เห็น”

หานเจวี๋ยลอบตกใจกับตัวเอง

เมื่อคิดดูอีกที ก็เป็นเรื่องปกติ

จักรพรรดิสวรรค์เป็นบุคคลระดับใด จะมองไม่เห็นแก่นเดิมของซูฉีได้อย่างไรกัน

“เจ้ากลัวความวุ่นวายจึงไม่อยากเข้าสู่วังสวรรค์ ดังนั้นจึงจงใจถ่วงเวลาใช่หรือไม่”

“จะเป็นไปได้อย่างไร”

“ข้าเห็นผลกรรมชั่วชีวิตของเจ้า น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย จำนวนคนที่ข้องเกี่ยวกับเจ้าน้อยยิ่งกว่าคนที่มนุษย์ธรรมดาข้องเกี่ยวทั้งชีวิตเสียอีก เราแปลกใจ เช่นนั้นจึงคำนวณดูครึ่งชีวิตแรกของเจ้า คิดไม่ถึงว่าเจ้าถึงกับเป็นครรภ์ประหลาดที่เพียรบำเพ็ญมาตั้งแต่เด็ก”

‘ครรภ์ประหลาด?’

หานเจวี๋ยรู้สึกว่าตัวเองถูกหยามเข้าเสียแล้ว

จักรพรรดิสวรรค์กล่าวยิ้มๆ “หากเจ้าไม่อยากเข้าสู่วังสวรรค์ พัวพันอยู่ในปัญหา ก็ได้เหมือนกัน”

หานเจวี๋ยอึ้งไป ‘จักรพรรดิสวรรค์จะปล่อยเขาไปหรือ’

“เราจะให้เจ้าแทนที่เซียนเมฆาแดง เป็นขุนนางเซียนของโลกมนุษย์แห่งนี้ เป็นอย่างไร ส่วนเซียนเมฆาแดง เรารู้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเจ้าไม่เลว เขาเองก็จะได้เลื่อนลำดับขั้น ยามปกติจะไม่มีเทพเซียนมารบกวนเจ้า ในเรื่องค่าตอบแทน เราจะให้เจ้าเสพสุขกับทรัพยากรในการบำเพ็ญตบะเช่นเดียวกับซั่นเอ๋อร์ รอกระทั่งเจ้าแข็งแกร่งขึ้นแล้ว จะกลายเป็นยอดแม่ทัพเทพคนที่สองของวังสวรรค์”

‘แทนที่เซียนเมฆาแดง?’

หานเจวี๋ยใจเต้นขึ้นมาแล้ว

จักรพรรดิสวรรค์กล่าวต่อไปว่า “ในยามปกติ เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าเฝ้าในพระราชวังเทียมเมฆา เราจะส่งคนไปพบเจ้า หากมีคำขออะไรเพิ่มเติม ก็ไปขอความช่วยเหลือจากเขาได้ อย่างไรเสียเราก็เป็นจักรพรรดิสวรรค์ ไม่อาจวนเวียนอยู่รอบกายเจ้าได้ตลอดเวลา”

หานเจวี๋ยฟังความหมายที่แฝงอยู่ในวาจานั้นออกแล้ว เอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “เท่ากับว่าท่านจะให้ข้าหลบซ่อนหรือ”

ค่าตอบแทนเช่นนี้ช่างดีเหลือเกิน ตรงความต้องการของหานเจวี๋ยมาก

แต่มองจากอีกมุมหนึ่ง นี่ก็เท่ากับว่าพรากความหวังในการโต้แย้งในแง่ของอำนาจและชื่อเสียงของหานเจวี๋ยไป

จักรพรรดิสวรรค์กล่าวอย่างเรียบนิ่งว่า “ วังสวรรค์ลึกล้ำดั่งสายน้ำ ขุมอำนาจเกี่ยวพันซับซ้อน เราอยากให้เจ้ามาเป็นคนของเรา หาใช่คนของวังสวรรค์ เจ้ายินดีหรือไม่”

หานเจวี๋ยไม่ได้เขลา นี่ก็คือปัญหาด้านจุดยืน

หากเขาปฏิเสธ เช่นนั้นเท่ากับตายเป็นแน่แท้

หนำซ้ำ จักรพรรดิสวรรค์มีความจริงใจอย่างมาก และไม่ได้อ้อมค้อมวนโลก ตรงใจหานเจวี๋ยอย่างยิ่ง

อยู่ข้างจักรพรรดิสวรรค์ น่าจะไม่แย่เท่าไรนัก

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “ย่อมยินดีอยู่แล้ว กล่าวตามตรง ที่ข้าไม่กล้าขึ้นสวรรค์ นั่นก็เป็นเพราะบนโลกเบื้องบนไม่มีที่พึ่งพิง ข้ายังมีศัตรูคู่แค้นอีกไม่น้อย”

จักรพรรดิสวรรค์กล่าวคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “เจ้าสังหารบริวารที่พวกเขาเหลือไว้ในโลกมนุษย์ ถูกต้องหรือไม่”

“นับจากนี้ต่อไป เราก็จะเป็นที่พึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเจ้า ตระกูลจูเชวี่ย หมู่เกาะเซียนมังกรล้วนไม่อาจหาเรื่องเจ้าได้อีก แน่นอนว่าเจ้าเองก็ไม่อาจสร้างเรื่องวุ่นวายให้เราได้ด้วยเช่นกัน เว้นแต่ผู้อื่นมาหาเรื่องเจ้า อีกอย่าง บทสนทนาระหว่างเรากับเจ้า อย่าได้เปิดเผยออกไป และห้ามบอกกล่าวกับเซียนเมฆาแดง”

‘เจ้าแห่งวังสวรรค์ผู้สูงส่งยังต้องรักษาความลับ น้ำของวังสวรรค์นี่ช่างลึกล้ำเสียจริงเชียว’

หานเจวี๋ยพยักหน้า กล่าวว่า “วางพระทัยเถิด คุณธรรมของข้า ท่านน่าจะได้เห็นจากครึ่งชีวิตแรกของข้าแล้ว”

[ความประทับใจที่จักรพรรดิสวรรค์มีต่อท่านเพิ่มขึ้น ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 4 ดาว]

จักรพรรดิสวรรค์ยกพระหัตถ์ขวาขึ้น กลางฝ่ามือปรากฏม้วนตำราเล่มหนึ่งขึ้นมา

“นี่คือมรดกตกทอดมรรคกระบี่ของวังสวรรค์ เจ้าน่าจะชอบ”

หานเจวี๋ยรับม้วนตำราไว้ กำลังคิดที่จะเอ่ย เมื่อเหลือบสายตาขึ้น จักรพรรดิสวรรค์ก็หายไปเสียแล้ว

สมกับเป็นมหาจักรพรรดิไร้ขอบเขต มาไร้เงาไปไม่ทิ้งร่องรอยจริงๆ!

หานเจวี๋ยเปิดม้วนตำราออก มองเห็นอักขระสี่ตัวก่อนเป็นอย่างแรก

มรรคกระบี่เทียมฟ้า!

………………………………………………………………………..