บทที่ 203 มหาสมุทรคือ… 3 (1)

ราวกับฝูงนกอพยพย้ายถิ่น เรือเกือบ 300 ลําแล่นตัดผ่านมหาสมุทรเป็นรูปสามเหลี่ยม ฝูงเรือขนาดใหญ่เริ่มต้นจากฐานทัพเรือของอาณาจักรนอร์แลนด์ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธมิตรไร้พ่าย จุดกึ่งกลางของขบวนเรือมีเรือขนาดใหญ่ที่ถูกดัดแปลงให้สามารถทําลายธารน้ำแข็งที่ปกคลุมทั่วตอนเหนือของทวีป อัศวินหมวกเหล็กกําลังได้รับการรักษาบนห้องพักชั้นบนสุดของเรือลํานี้

“น่าสมเพชจริงๆ”

นักล่ามังกรเริ่มขมวดคิ้วหลังจากได้ยินคําวิจารณ์ของหมอที่กําลังรักษาตนอยู่แต่เขาไม่สามารถโต้กลับได้ หมอถอนหายใจยาวก่อนจะร่ายคาถารักษาอาการบาดเจ็บบริเวณหัวใจของนักล่ามังกร

ประมาณ 2/3 ของหัวใจถูกทําลาย มันต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์ถึงจะสามารถฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดขึ้นได้และต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 เดือนถึงจะกลับมาเป็นปกติ

นักล่ามังกรกลับมาในสภาพแขนขาด อย่างไรก็ตามแขนขาดไม่ใช่ประเด็นใหญ่เพราะหากแจ้งเรื่องนี้ไปยังองค์กรเขาก็สามารถต่อแขนข้างนี้ให้กลับมาเป็นปกติได้ทันที

หมอซึ่งกําลังรักษาอาการนักล่ามังกรเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย

“ดูเหมือนเจ้าคงถูกขังลืมเหมือนกับตาเฒ่าผู้ฝึกสัตว์แล้วกระมัง”

“หุบปากของ-!…อั่กกก!”

ยังไม่ทันที่นักล่ามังกรจะพูดจบความเจ็บปวดก็จู่โจมขึ้นมาอีกครั้ง กรงเล็บเวทย์ที่ขย้ำไปที่หัวใจของเขาในช่วงท้ายของการต่อสู้ยังคงทําให้เขาเจ็บปวดเป็นระยะๆ

เสียงของบุคลที่สามซึ่งนั่งมองนักล่ามังกรและหมอผู้รักษาเริ่มดังขึ้น มันเป็นเสียงของชายชราที่เรียบเย็นยิ่งนัก

“เจ้ากําลังจะบอกข้าว่าอาณาเขตเล็กๆแห่งนี้มีนักดาบที่มีฝีมือต่ำกว่าเจ้า มีหมอผีและมีผู้ที่ครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณที่สามารถป้องกันดาบของเจ้าได้งั้นรึ?”

“อืม”

นิสัยส่วนตัวของนักล่ามังกรค่อนข้างหยาบคายแต่นักเวทย์วัยชราที่เอ่ยถามเมื่อครู่ไม่ได้สนใจกับประเด็นนี้มากนักเมื่อเขายังคงพูดต่อไป

“แล้วยังมีนักเวทย์ที่แข็งแกร่งกว่าเจ้า?”

มีหลายอย่างที่อยู่ในใจของอัศวินหมวกเหล็กแต่เขาต้องเก็บอาการเอาไว้

“ใช่มันเป็นนักเวทย์ที่สามารถเลียนแบบดาบแห่งหายนะของข้าได้และยังพยายามทําลายหัวใจของข้าอีกด้วย”

มีช่วงหนึ่งที่อัศวินหมวกเหล็กเห็นดวงตามังกรปรากฏขึ้นแต่เขาก็ไม่คิดที่จะพูดเรื่องนี้ออกไปเช่นกัน

“ข้าต้องทําเพื่อตัวเอง”

หากเขาพูดเรื่องนี้ออกไปคนพวกนี้จะต้องไปตามล่ามังกรตนนี้มาเป็นของตัวเองทันที พวกเขาบอกจะมอบเส้นเลือดดําของมังกรให้แก่เขาในขณะที่ส่วนอื่นๆของมังกรพวกเขาจะเก็บเอาไว้ นั่นคือข้อตกลงเดิมก่อนที่มังกรของพวกเขาจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย อัศวินหมวกเหล็กนึกถึงดวงตามังกรคู่นั้น

“หากดูจากขนาดดวงตาแล้วไม่น่าจะใช้มังกรวัยชราหรือมังกรวัยผู้ใหญ่”

เขามั่นใจว่ามังกรตนนี้คือมังกรเด็กที่ยังไม่ผ่านการเติบโตในระยะแรก หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ไม่ใช่ว่ามังกรไม่เลือกใช้การคํารามหรือการพ่นไฟแต่เป็นเพราะมันไม่สามารถใช้งานสิ่งนี้ได้ ความจริงในข้อนี้ทําให้อัศวินหมวกเหล็กมีความสุข หากเขาทํางานอย่างระวังเขาย่อมมีโอกาสที่จะแข็งแกร่งขึ้นโดยที่หัวหน้าองค์กรไม่รู้เรื่องนี้

“ข้าจะต้องได้กินมังกรตัวที่สอง”

อัศวินหมวกเหล็กวาดฝันถึงอนาคตอันสวยงามก่อนที่เสียงของนักเวทย์วัยชราจะลอดเข้าหู

“นักดาบที่เจ้าพูดถึงฐานรองรับของเขาเป็นอย่างไรบ้าง?”

ฐานรองรับที่ใช้เรียกแทนขนาดของร่างกายเพื่อใช้รองรับพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณ

พลังศักดิ์สิทธิ์โบราณเป็นที่รู้กันทั่วไปว่าเป็นพลังที่อ่อนแอแต่นั่นเป็นเพียงสิ่งที่คนโง่ไม่รู้คุณค่าของมันเท่านั้น มันคือพลังที่ถูกสร้างขึ้นจากธรรมชาติและเป็นสิ่งที่มาจากธรรมชาติโดยตรงไม่ได้มาจากฝีมือมนุษย์แต่อย่างใด พลังเช่นนี้จะอ่อนแอได้อย่างไร? คนพวกนั้นคิดว่ามันอ่อนแอเพราะไม่รู้วิธีใช้งานของมันต่างหาก แน่นอนว่าพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณที่มนุษย์เป็นคนสร้างขึ้นจะอ่อนแอกว่าพลังที่ถูกสรรสร้างจากธรรมชาติมากนัก

อัศวินหมวกเหล็กตกใจเล็กน้อยแต่ก็ตอบกลับด้วยท่าทางสงบ

“ ฐานรองรับของเขาไม่ได้ใหญ่มากนัก”

อัศวินหมวกเหล็กโกหกหน้าตาเฉย ทั้งๆที่นักดาบคนนี้มีฐานรองรับราวกับถอดแบบออกมาจากเขาด้วยซ้ำ มันมีเหตุผลที่เขาไม่สามารถบอกคนพวกนี้ได้ หากเขาบอกไปคนพวกนี้จะไม่รักษาอาการบาดเจ็บให้กับเขาและไปหาคนที่มีฐานรองรับแบบเดียวกันกับเขาขึ้นมาแทน

“อืม…”

คิ้วของนักเวทย์วัยชราเริ่มผูกเป็นปมราวกับใคร่ครวญบางอย่างอยู่

“เราต้องมุ่งหน้าไปยังอาณาเขตเฮนิตัสทันทีที่เราสามารถยึดชายฝั่งอาณาจักรโรมันได้…เราต้องกําจัดพวกเขาโดยเร็วที่สุด”

อัศวินหมวกเหล็กกุมหน้าอกของตนไว้เมื่อพยุงกายลุกขึ้นนั่งอย่างโมโห

“เจ้าขุนนางบ้านั่น! ข้าจะกําจัดเจ้านั่งผมแดงให้ได้!”

“เจ้านั่นถูกมังกรคุ้มครองอยู่ข้าจะสามารถแย่งมังกรตนนั้นมาได้หากเจ้านั่นถูกขากําจัดแล้ว”

ถึงแม้เขาจะมีแขนเพียงข้างเดียวก็สามารถกําจัดคนที่มีเพียงพลังแห่งการฟื้นฟูและโล่ป้องกันได้เช่นกัน

นักเวทย์ตอบกลับนักล่ามังกรที่ดูจะแค้นเคืองขุนนางที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณคนนั้นยิ่งนัก

“แน่นอนมันไม่ใช่เรื่องยากเลยสักนิดหากข้าและท่านหมอไปกับเจ้าด้วย”

นักล่ามังกรไม่ได้เห็นด้วยมากนักแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตาเฒ่านักเวทย์และหมอผู้นี้มีประโยชน์ต่อเขาแม้จะมีกําลังและความสามารถด้อยกว่าเขาก็ตาม

นักเวทย์ลอบมองหมอและนักล่ามังกรอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ประตูห้องจะถูกเปิดเข้ามา ผู้ที่เข้ามาใหม่โค้งคํานับนักเวทย์จากด้านนอกประตูทันที

“นายท่านขอรับตอนนี้เราเกือบจะถึงชายฝั่งทะเลตะวันออกเฉียงเหนือของอาณาจักรโรมันแล้ว”

ผู้ที่โค้งคํานับและกล่าวรายงานต่อนักเวทย์วัยชราคือนักหอกเวทย์ เขาเป็นหนึ่งในศัตรูที่เผชิญหน้ากับกลุ่มของคาร์ลมากที่สุด เขาคือนักเวทย์ที่เชี่ยวชาญในการใช้หอกและเป็นคนเดียวกับที่เคยหักหลังฮันนาห์

เขาเงยหน้าขึ้นก่อนจะกวาดสายตามองบุคคลทั้งสามที่อยู่ในห้อง คนเหล่านี้มีตําแหน่งสูงกว่าเขาและเป็นคนสําคัญในระดับต้นๆ ขององค์กร มันสามารถระบุได้ง่ายจากดาวสีแดงที่ประดับอยู่บนเสื้อคลุมของนักเวทย์วัยชรา มันต่างจากดาวสีขาวและดาวสีแดงห้าดวงบนชุดของนักหอกเวทย์ พวกเขาทั้งสามมีดาวสีแดงเพียงหนึ่งดวงประดับอยู่บนชุดเท่านั้น

มีเพียงห้าคนเท่านั้นที่มีเครื่องแต่งกายประดับด้วยดาวสีแดง

นี่คือห้าคนที่คอยรับใช้ผู้ที่มีเครื่องแต่งกายประดับด้วยดาวสีขาว

“เราจะออกไปเดี๋ยวนี้ละข้าจะไปสํารวจบริเวณด้านหน้าเรือสักหน่อย”

“ขอรับ..ข้าน้อยจะนําทางท่านไปเดี๋ยวนี้”

นักหอกเวทย์น้อมรับคําสั่งของนักเวทย์วัยชราในขณะที่หมอหนุ่มซึ่งดูอาการของนักล่ามังกรอยู่ก็เริ่มบ่นขึ้น

“ท่านเป็นคนพูดเองไม่ใช่หรือว่าฐานทัพเรือของอาณาจักรโรมันค่อนข้างทรุดโทรม. แล้วทําไมเราต้องนํากองทัพเรือของเรามามากขนาดนี้ด้วยล่ะทั้งๆที่พวกเขาแทบจะสู้เราไม่ได้เลยด้วยซ้ำ?”

“เพราะเราจะเข้ายึดชายฝั่งทะเลของอาณาจักรวิปเปอร์ในคราวเดียวกันไงล่ะ..มันถือเป็นการเตรียมพร้อมที่ดีไม่ใช่หรือ?ในเมื่ออาณาจักรโรมันแข็งแกร่งกว่าที่เราคาดไว้”

นักเวทย์วัยชราตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจนักก่อนจะมุ่งหน้าไปยังประตู

“ที่สําคัญกว่านั้นไม่ใช่ว่าเราต้องรีบกําจัดอาณาจักรโรมันทันทีที่พวกเขาเพิ่งเสร็จสิ้นจากศึกครั้งแรกหรอกหรือ?.เราไม่ควรปล่อยให้พวกเขาชะล่าใจจนเกินไป ศัตรูจะต้องถูกกําจัดโดยเร็วที่สุด”

หมอหนุ่มแสยะยิ้มก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย

“ข้าก็คิดเช่นนั้นอาณาจักรโรมันอาจคิดว่ามีเพียงพันธมิตรไร้พ่ายเท่านั้นแต่พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่าพวกเราก็อยู่บนเรือนี้ด้วย.น่าสนุกดีนี่! ฮ่าฮ่าฮ่า”

ภาพที่หมอหนุ่มเลียริมฝีปากของตนอย่างตื่นเต้นถือเป็นภาพอันคุ้นตาของคนที่เหลือ แน่นอนว่าไม่มีใครโต้แย้งสิ่งที่หมอหนุ่มพูดเพราะพวกเขาต่างคิดไปในทิศทางเดียวกัน

อย่างไรก็ตามมีคนที่กําลังสนุกที่สุดในตอนนี้

ลึกลงไปใต้มหาสมุทรซึ่งห่างจากจุดใต้ท้องเรือทั้งสามร้อยลําไม่มากนัก มีวาฬหลังค่อมตัวใหญ่กําลังแหวกว่ายอย่างอารมณ์ดี วาฬหลังค่อมตัวนี้มีแผลเป็นรูปตัว X อยู่ทางด้านหลัง แน่นอนว่าจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก “วิเทียร์” ว่าที่ราชินีคนต่อไปของเผ่าวาฬ เธอเหลือบมองไปยังทิศใต้ของตน

“พวกเขาใกล้ถึงจุดผ่านแดนที่สี่แล้วสินะ”

วาฬหลังค่อมเริ่มฉีกยิ้ม

เธอยังจําสิ่งที่คาร์ลพูดไว้เมื่อคืนนี้ได้

“ท่านวิเทียร์..ช่วยนําสมาชิกในเผ่าของท่านบุกไปทําลายชายฝั่งอาณาจักรพารันให้ข้าที”

จากนั้นเขาก็พูดต่อ

“ส่วนเราจะรับหน้าที่กําจัดศัตรูให้สิ้นซาก!”

“น่าสนุกชะมัด!”

วิเทียร์เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นเมื่อเห็นความมั่นใจจากสายตาคาร์ล เขาเป็นคนที่รักษาคําพูดของตัวเองเสมอจึงเป็นสาเหตุให้วิเทียร์ตัดสินใจไม่อยู่รอดูว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง

หางขนาดใหญ่ขยับเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว

มันเปลี่ยนไปยังทิศเหนือ

วาฬหลังค่อมหันหน้าหนีจากกองทัพเรือและมุ่งหน้าไปยังทิศตรงข้ามทันที สมาชิกจากเผ่าวาฬและฝูงวาฬจํานวนมากเริ่มเคลื่อนตัวไปทางทิศเหนือพร้อมๆกับเธออย่างรวดเร็ว

สัตว์ที่ถูกลืมเหล่านี้เริ่มเคลื่อนย้ายไปยังทิศเหนืออย่างเงียบๆ

ในเวลาเดียวกันเสียงบางอย่างก็ลอดเข้ามาในหูคาร์ล

คลิ๊ก!

มันเป็นสัญญาณที่ส่งตรงมาจากนักเวทย์

มันเป็นสัญญาณที่ระบุว่าศัตรูเดินทางมาถึงแล้ว

คาร์ลเริ่มอมยิ้ม

หมอกปกคลุมทั่วบริเวณและเข้าบดบังระยะสายตาของศัตรู แน่นอนว่าฝั่งของคาร์ลก็ประสบภาวะนี้เช่นกัน

คาร์ลไม่มีเหตุผลที่จะต้องซ่อนไฟของเขาอีกต่อไป คนอื่นๆในอาณาจักรโรมันยกเว้นพียงกลุ่มของคาร์ลเท่านั้นที่คิดว่ามีเพียงโล่ที่ใช้ป้องกันอันตรายให้กับพวกเขา คาร์ลไม่เสียเวลาที่จะแก้ไขความเข้าใจผิดเหล่านั้น มันมีวิธีที่ง่ายกว่านั้น คนเราไม่จําเป็นต้องแสดงความแข็งแกร่งเพื่อให้ได้มาซึ่งความสงบสุขในชีวิตเสมอไป แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นคาร์ลก็ไม่เห็นถึงข้อเสียที่จะแสดงมันออกไปภายใต้หมอกที่บเช่นนี้

ลมเริ่มพัดผ่านมหาสมุทรอันเงียบสงบอีกครั้ง

ฟรู่!!!

หมอกก็เริ่มกระจายเป็นวงกว้างมากขึ้นเมื่อคาร์ลเริ่มเคลื่อนไหว

หมอกหนาทึบกระจายเป็นวงกว้างอย่างเงียบๆราวกับรอยเท้าแมวไม่มีผิด

“หืม? หมอก?”

นักเวทย์วัยชราที่ออกจากห้องพักได้ครูใหญ่เริ่มขมวดคิ้วสงสัย ตอนนี้เขาอยู่บนดาดฟ้าเรือซึ่งเป็นด่านหน้าสุดของเรือลํานี้

หมอกสีขาวปกคลุมทั่วทั้งมหาสมุทร

“ชายฝั่งทะเลในอาณาจักรโรมันมักจะมีหมอกเข้าปกคลุมงั้นรึ?”

นักหอกเวทย์ที่ยืนอยู่ข้างๆก็เริ่มกังวลเช่นกัน

นักเวทย์วัยชราเริ่มเอ่ยขึ้น

“มันไม่ใช่พลังเวทย์”

“อ่า.อย่างนั้นหรือขอรับ?”

“ใช่แล้ว.หมอกนี้ไม่ได้เกิดจากพลังเวทย์”

เพราะมันไม่ได้เกิดจากการใช้พลังเวทย์ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ หากไม่ใช่พลังเวทย์แล้วยังมีสิ่งที่สามารถสร้างหมอกขึ้นมาได้ด้วยหรือ?

นักหอกเวทย์โล่งใจก่อนจะหันไปออกคําสั่งแก่ทหารที่ประจําการอยู่ใกล้ๆเมื่อเรือแล่นเข้าสู่พื้นที่หมอกทึบแล้ว

“ถึงน้ำจะนิ่งแต่เราก็เข้าสู่พื้นที่ที่ปกคุลมไปด้วยหมอกทึบแล้วเปลี่ยนสัญญาณเตือนเป็นระดับที่ 1 เพื่อให้ทุกคนเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น!”

“ขอรับ!”

ทหารนอร์แลนด์โค้งคํานับและรีบไปทําตามคําสั่งของนักหอกเวทย์ทันที

เรือลํานี้ส่วนใหญ่จะเป็นคนของอาร์มในขณะที่เรือสองลําที่อยู่ด้านหลังจะเป็นทหารจากพันธมิตรไร้พ่าย ทหารนายนี้รีบหยิบเครื่องเป่าเขาสัตว์ออกมาเพื่อประกาศคําสั่งของนักหอกเวทย์ เขาต้องรีบส่งสัญญาณให้กับเรือที่เหลือทราบ

ในขณะที่เขาเริ่มสูดลมหายใจเข้าปอดหมอกหนาทึบก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว

“ข้าคิดว่ามันยังอยู่อีกไกลแล้วทําไมหมอกถึงได้อยู่ตรงหน้าข้าล่ะ? นี่เราเข้าสู่บริเวณหมอกทึบแล้วรึ?”

นั่นคือสิ่งที่เขาคิดเมื่อเริ่มอ้าปากเพื่อเป่าลมเข้าไปในเครื่องเป่าเขาสัตว์ สิ่งที่เขาต้องทําคือการแจ้งสัญญาณเตือนโดยด่วน

ทันใดนั้นเอง

ฟริ้วววววว!!

ลมที่พัดเข้ามาทําให้หมอกเริ่มกระจายตัว นักเวทย์วัยชราตะโกนขึ้นทันทีเมื่อได้ยินเสียงลม

“ลมพวกนี้สร้างขึ้นจากพลังเวทย์!”

เขาได้ยินเสียงอีกอย่างดังขึ้นในเวลานั้น

เคร้ง!!

เครื่องเป่าเขาสัตว์ร่วงลงไปกองกับพื้น

นักหอกเวทย์รีบหันไปมองอย่างรวดเร็ว

“อั่กกกก! อึกกก”

ทหารที่เตรียมตัวเป่าส่งสัญญาณเตือนเมื่อครู่นี้เริ่มกระอักออกมาเป็นเลือด

นักหอกเวทย์ยังสามารถหายใจได้ตามปกติแต่ทันทีที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นร่างของเขาก็เริ่มสั่นไหวเมื่อตระหนักได้ถึงบางอย่าง

“ยาพิษ?! ศัตรู?!”

เขารีบยกมือขึ้นปิดปากและจมูกทันที อย่างไรก็ตามลมได้พัดเข้าล้อมรอบร่างกายของพวกเขาแล้ว

ฟริ้วววววววว

ลมพัดเอาหมอกเข้ามาใกล้จุดที่พวกเขายืนอยู่ บริเวณโดยรอบถูกปกคุลมไปด้วยหมอกสีขาวทันที ดวงตาของนักหอกเวทย์เริ่มเบิกกว้างก่อนจะตะโกนออกมาด้วยความตกใจ

“อะไรกัน?!…”