บทที่ 263 อีกครั้งหนึ่ง

บทที่ 263 อีกครั้งหนึ่ง

“กระหม่อมน้อมรับราชโองการ!” หลี่หยางประสานมือตอบรับ

หลี่หยางเองก็มีความเห็นเช่นเดียวกับจักรพรรดิ นั่นคือไม่ได้สนใจทัพกบฏอย่างจริงจัง ในใจของเขานั้น อีกฝ่ายคือคนที่แทบไม่มีอาวุธด้วยซ้ำ ทั้งยังไม่ได้รับการฝึกฝน พวกเขาไม่มีทางถูกเรียกว่าเป็นทหาร หากไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้พวกเขากระหายในชัยชนะ และปะทะกับฝ่ายปกครอง กองทัพกบฏอาจถูกปราบปรามไปนานแล้ว คงไม่พัฒนามาจนถึงที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ศัตรูหนึ่งเดียวในใจของหลี่หยางคือกองทัพโลกอสูร ตอนนี้กองทัพโลกอสูรกำลังเริ่มรุกรานเข้ามาใกล้ มันไม่ใช่เรื่องดีสำหรับมนุษย์ทุกคน ทว่าสำหรับเขาที่เป็นทหาร มันคือโอกาสสร้างความดีความชอบ นับว่าไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรมากนัก

ก่อนหน้านี้องค์เหนือหัวยังได้พระราชทานรางวัลบรรดาศักดิ์หนานเจี๋ยแก่ทหารคนหนึ่งในหน่วยขนส่ง เรื่องราวนี้จึงทำให้หลี่หยางเกิดความหวัง ปัจจุบันเขามีบรรดาศักดิ์เป็นปั๋วเจวี๋ย*[1] ตราบใดที่สามารถนำกองทัพสร้างความดีความชอบ สถานะของเขาในใจจักรพรรดิย่อมสูงส่งขึ้น และเมื่อนั้นการได้เลื่อนบรรดาศักดิ์ก็ไม่ใช่เรื่องไกลอีกต่อไป

“มีเรื่องอื่นที่อยากกล่าวกันอีกหรือไม่?” จักรพรรดิชราถาม

ตอนนี้เองก็มีเสนาบดีการปกครองก้าวออกมา หลังทำความเคารพองค์จักรพรรดิ เขาก็เอ่ย “กระหม่อมมีเรื่องต้องทูลให้ทราบ!”

“เรื่องอะไร?”

“ไม่นานมานี้ องค์เหนือหัวได้พระราชทานรางวัลให้แก่หัวหน้าหน่วยคนหนึ่งของหน่วยขนส่งเสบียงเป็นหนานเจี๋ย กระหม่อมคิดว่ามันไม่เหมาะสม!” เสนาบดีการปกครองเอ่ยขึ้น “หัวหน้าหน่วยคนนั้นทำหน้าที่สังหารศัตรูรับใช้ราชสำนัก และจับกุมตัวหนึ่งในผู้นำกองทัพกบฏมาได้ เป็นเรื่องที่เขาสมควรทำแล้วพ่ะย่ะค่ะ ดังนั้นบรรดาศักดิ์หนานเจี๋ยที่มอบให้เขานั้น กระหม่อมมองว่าออกจะเป็นรางวัลที่มากเกินไป”

“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

ขุนนางฝ่ายการปกครองอีกคนหนึ่งลุกขึ้นยืน “หากองค์เหนือหัวต้องการที่จะพระราชทานรางวัล ขอเพียงพระราชทานเงินทองแก่เขามากขึ้นสักหน่อยก็เพียงพอแล้วพ่ะย่ะค่ะ ไม่จำเป็นต้องพระราชทานรางวัลเป็นบรรดาศักดิ์หนานเจี๋ย สำหรับราชสำนักแล้ว เขาเป็นเพียงแค่บุคคลที่สร้างความดีความชอบอยู่บ้าง แค่มอบรางวัลเป็นยศตำแหน่ง และถือเป็นความดีความชอบของหน่วยจนพ้นการรับใช้กองทัพนั้นก็เป็นพระมหากรุณาธิคุณแล้ว ไม่เห็นควรให้ถึงขั้นต้องเป็นหนานเจี๋ยพ่ะย่ะค่ะ”

“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

หลังอีกคนหนึ่งพูด อีกคนหนึ่งก็ลุกขึ้นมาประสานมือเอ่ยเห็นพ้อง

ถัดจากนั้น ขุนนางฝ่ายงานปกครองราวห้าถึงหกคนต่างก็เร่งรุดกันเข้ามาตอบรับเห็นพ้องกับประเด็นนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาวางแผนตกลงกันมาก่อนแล้ว พวกเขาไม่ทราบนามของอู๋ฝาน และเป้าหมายของพวกเขาก็ไม่ใช่ชายหนุ่ม ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเพราะพวกเขาไม่ต้องการให้องค์เหนือหัวพระราชทานบรรดาศักดิ์แก่คนของกองทัพสำรองจนเกินควรถึงเพียงนั้น เพราะการพระราชทานบรรดาศักดิ์ มันเป็นรางวัลอันทรงเกียรติจนเกินไป

“ข้าคิดว่าคำของพวกท่านไม่ถูกต้องอยู่บ้าง” ขุนพลฝ่ายการทหารลุกขึ้นยืนตอบโต้ “แม้ว่าชายผู้นั้นจะเป็นเพียงหัวหน้าหน่วย แต่เมื่อเผชิญหน้าศัตรูที่แข็งแกร่ง เขาก็หาได้หวาดเกรงย่อท้อไม่ ทั้งยังสามารถพลิกเปลี่ยนกระแสการสู้รบ จับกุมตัวผู้นำกองทัพของศัตรูในสถานการณ์ชวนสิ้นหวังได้ เพราะศักยภาพที่แสดงให้เห็น สถานการณ์จึงเปลี่ยนกลับ ไม่เช่นนั้นหน่วยขนส่งเสบียงของพวกเขาคงตายสิ้นระหว่างทาง เหมือนดังหน่วยขนส่งเสบียงอื่นที่ไม่อาจมาถึงแล้ว”

“ถูกต้อง ข้าไม่คิดว่าการพระราชทานรางวัลขององค์เหนือหัวมีปัญหาใดทั้งสิ้น รางวัลเช่นนั้น ในยามที่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ตนไม่เห็นทางชนะ หากเป็นคนอื่นคงถูกศัตรูสังหาร แต่เขากลับกล้าพอจนคว้าความดีความชอบนั้นมาได้” ขุนพลอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

การเห็นพ้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าจึงเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

จักรพรรดิชรารู้สึกหางคิ้วกระตุกอยู่ตลอดเวลา เขากำลังพยายามสะกดข่มโทสะในใจ เขาทราบดีว่านี่คือศึกระหว่างสองฝ่ายที่ขัดแย้งกัน ไม่เกี่ยวข้องกับหัวหน้าหน่วยคนดังกล่าวแต่อย่างใด

สาเหตุที่ว่าทำไมจักรพรรดิจึงพระราชทานรางวัลบรรดาศักดิ์หนานเจี๋ยแก่อู๋ฝานนั้น ก็เพราะเขาหวังจะให้คนอื่นลุกขึ้นต่อกรกับศัตรูด้วยความกล้าเช่นอีกฝ่าย ตอนนี้คือช่วงที่ราชสำนักเผชิญทั้งศึกในและศึกนอก หากมีคนอย่างชายหนุ่มเพิ่มมากขึ้น วิกฤตของอาณาจักรเหยียนเฟิงก็อาจทุเลาลงได้บ้าง กระทั่งว่าอาจสามารถคลี่คลาย ถ้ารางวัลเช่นบรรดาศักดิ์สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้ จักรพรรดิชราก็ไม่เสียดายการพระราชทานรางวัล

ทว่าคนเหล่านี้ทราบเพียงอีกฝ่ายกำลังข้ามหน้าข้ามตา ทำให้ตอนนี้จักรพรรดิชรายิ่งรู้สึกผิดหวัง

“ยุติประเด็นนี้เสีย!” จักรพรรดิชราเอ่ยขึ้น เขาทราบดีว่าหากตนเองยังเงียบต่อไป จะกลายเป็นการปล่อยให้ทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันรุนแรงมากขึ้น “เรื่องนี้ตัดสินแล้ว พระราชโองการก็ออกไปแล้ว หรือพวกเจ้ากำลังจะบอกให้ข้าตบหน้าตนเอง?”

เหล่าขุนพลมองขุนนางฝ่ายปกครองอย่างเหนือกว่า ในใจขุนนางฝ่ายการปกครองเองก็ไม่พอใจ ทว่าพวกเขาไม่กล้าที่จะเอ่ยคำใดออกมาอีก

“ตราบใดที่ทำความดีความชอบให้ข้าด้วยใจ ข้าก็ยินดีที่จะตอบแทนความกล้าหาญนั้น การจะให้บรรดาศักดิ์ภรรยาหรือว่าบุตรก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้” จักรพรรดิชราเอ่ยต่อ

แน่นอนว่าใบหน้าของเหล่าขุนนางในที่นี้ต่างแสดงความยินดีกันออกมา เรื่องของบรรดาศักดิ์ หากตกแก่ภรรยาหรือว่าบุตร ภายหน้าพวกเขาก็จะยิ่งได้เป็นใหญ่มากขึ้น ตอนนี้อาณาจักรเหยียนเฟิงมีปัญหาทั้งภายนอกและภายใน มันคือช่วงเวลาที่ดีสำหรับการสร้างความดีความชอบ

“ก็ตามนี้ ประชุมตอนเช้าของราชสำนักจบลงเท่านี้แล้ว แยกย้าย!” จักรพรรดิชราเอ่ย ก่อนจะลุกจากบัลลังก์มังกรของตนเองโดยมีขันทีข้างกายช่วยพยุง และออกไปจากโถงใหญ่บราวนี่ออนไลน์

เหล่าขุนนางต่างเร่งคุกเข่าลง

ขณะเดินออกจากโถงใหญ่ เมื่อพ้นจากสายตาเหล่าขุนนาง ความยิ่งใหญ่ที่จักรพรรดิแสดงออกมาก่อนหน้านี้พลันเลือนหาย และถูกแทนที่ด้วยความอิดโรยและความกังวล

“องค์เหนือหัว ร่างมังกรของพระองค์สำคัญยิ่งนัก พระองค์ได้โปรดพักผ่อนให้มากกว่านี้เถอะพ่ะย่ะค่ะ” มหาขันทีข้างกายบอก

“พักหรือ? เจ้าคิดว่าข้าจะเอาอะไรไปพัก? ปัญหาทั้งภายในภายนอกขนาดนี้ ไม่มีใครช่วยข้าแบ่งเบาได้สักคน พวกมันรู้ก็เพียงแต่การตักตวงเข้าหาตนเอง แล้วเช่นนั้นจะให้ข้าพักได้ยังไง?” จักรพรรดิชราเอ่ยถาม

เรื่องทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับการปกครอง มหาขันทีข้างกายจึงไม่กล้าโต้แย้ง เพียงแต่ลดศีรษะลงต่ำ

“พวกลูกชายของข้าก็เหลือเกิน แต่ละคนไม่ได้ดีกันสักคน! ไม่รู้เลยว่าขุนเขาทะเลมันเป็นยังไง ภายหน้าจะให้พวกมันปกครองได้ยังไง” จักรพรรดิชรายังคงบ่น

“องค์ชายสามก็ไม่แย่นะพ่ะย่ะค่ะ” มหาขันทีตอบโดยทันที

“หืม?” จักรพรรดิชราหยุดชะงักเล็กน้อย สายตาเฉียบคมของเขามองมหาขันที ความอ่อนล้าที่มีเมื่อครู่ลดเลือนหายไปครึ่งหนึ่ง “เจ้ากับเจ้าสามของข้าใกล้ชิดกันงั้นหรือ?”

“ข้าน้อยไม่บังอาจ ข้าน้อยไม่บังอาจ!” มหาขันทีหวาดกลัวจนต้องคุกเข่าลง โขกศีรษะซ้ำไปมาด้วยสีหน้าซีดเผือด

“จะไปไหนก็ไป อย่าโผล่หน้ามาให้ข้าเห็นอีก” จักรพรรดิชราตอบกลับ

“องค์เหนือหัวโปรดประทานอภัย ข้าน้อยไม่ควรเอ่ยคำจนเกินควร ข้าน้อยไม่กล้าอีกแล้ว ครั้งนี้ละเว้นข้าน้อยด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” มหาขันทียังคงโขกศีรษะอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเป็นขันที แต่ก็มีลำดับที่แตกต่างกันไป การได้รับใช้ข้างกายองค์จักรพรรดิ ย่อมเป็นอะไรที่ขันทีคนอื่นปรารถนาจะขึ้นมาเป็น หากอยู่ไกลจากองค์จักรพรรดิ ก็เป็นได้เพียงแค่ขันทีธรรมดา คิดใช้ชีวิตในวังหลวงก็ยังถือเป็นเรื่องยากลำบาก

ทว่าจักรพรรดิชราไม่คิดสนใจ เขาหันหลังกลับและเดินจากไป หากไม่เห็นแก่ความจริงที่ว่ามหาขันทีผู้นี้ติดตามรับใช้มานาน เขาอาจสั่งประหารแล้วเสียด้วยซ้ำ เรื่องของราชบัลลังก์ ใช่เรื่องที่ขันทีผู้หนึ่งจะออกความเห็นได้อย่างนั้นหรือ?

จักรพรรดิทราบดี อายุของตนเองมีแต่เฒ่าชราไม่หยุด บรรดาบุตรชายก็คาดหวังในราชบัลลังก์ เรื่องนี้ภายหน้าจะยิ่งรุนแรง กระทั่งใช้วิธีการต่าง ๆ หากต้องการตำแหน่ง ก็จำเป็นต้องดึงเสนาบดีไปเกี่ยวข้อง ขันทีก็ด้วยเช่นกัน พวกเขาเหล่านั้นจะคอยเป็นกระบอกเสียงเกลี้ยกล่อมทางอ้อม

แต่จักรพรรดิชราทราบความคิดเหล่านั้นเป็นอย่างดี เขาจึงไม่ต้องการเก็บคนเหล่านั้นที่เข้าไปข้องเกี่ยวไว้ข้างกาย เพราะมันอาจทำให้การตัดสินใจเกิดเอนเอียงได้

[1] ปั๋วเจวี๋ย หมายถึง ตำแหน่งขุนนางชนชั้นเอิร์ล