ตอนที่ 68-4 ติดโรคระบาด
ฮูหยินสามหมดสติเช่นนั้นหรือ?
หลี่เว่ยหยางมีความรู้สึกตกใจมาก และเกิดความสงสัยว่าเหตุใดฮูหยินจึงหมดสติ?
แต่ทันใดนั้นความรู้สึกของลางสังหรณ์ที่มิดีก็ล่องลอยเข้ามาในความคิดของนาง
จากนั้นทุกคนจึงทราบว่า ฮูหยินสามได้รับการวินิจฉัยว่า นางติดโรคระบาดร้ายแรงที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้
เมื่อท่านผู้อาวุโสหลี่ทราบเรื่องนี้จึงไปเยี่ยมนางด้วยตนเองถึงสองครั้ง
และหญิงชราพยายามทำทุกวิถีทาง แม้กระทั่งนำแพทย์ที่มีชื่อเสียงมารักษาเพื่อให้ฮูหยินสามสามารถฟื้นตัวให้เร็วที่สุด
หลี่หมินเต๋อเฝ้าอยู่ข้างเตียงของมารดาตนเองตลอดเวลาโดยมิยอมห่างไปไหนเลย
ทำให้หลี่เว่ยหยางกลัวว่าเขาจะติดเชื้อ และพยายามอ้อนวอนอยู่หลายครั้งเพื่อให้เขาได้พักผ่อนบ้าง
แต่เขายังคงยืนกรานที่จะอยู่เคียงข้างมารดา และปฏิเสธที่จะจากไป
หลี่เว่ยหยางจึงมิมีทางเลือกอี่น นางทำได้แค่เพียงอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอให้ฮูหยินสามฟื้นตัวในเร็ววัน
ตลอดทางที่เดินผ่านมา นางมองดูกระเบื้องอิฐสีเทาที่เรียบง่าย ขณะที่ใบหน้าของหลี่เว่ยหยางบ่งบอกถึงความหนักใจอยู่ตลอดเวลา
แม้ว่าแพทย์จะกล่าวหลายครั้งแล้วว่าอาการของฮูหยินสามดีขึ้นบ้างแล้ว
แต่อีกมินานก็จะถึงสิ้นปี หากอาการของฮูหยินสามดีขึ้นจริง แล้วเหตุใดตอนนี้นางจึงมิสามารถออกมาจากห้องนอนได้?
ในห้องนั้น หน้าต่างทั้งหมดถูกปิดด้วยผ้าม่านหนาทึบ ทำให้แสงแดดมิสามารถส่องผ่านเข้ามาจากภายนอกได้ ทำให้ห้องนั้นมืดครึ้มและบรรยากาศขมุกขมัวยิ่งนัก
มิไกลจากบริเวณหน้าต่างมีพิณวางตั้งอยู่ และมีฝุ่นหนาเกาะอยู่ด้านบน ซึ่งสามารถเห็นได้ชัดว่า มิมีผู้ใดแตะต้องมันมาเป็นเวลานานแล้ว
เมื่อเห็นหลี่เว่ยหยางเดินเข้ามาในห้อง หลี่หมินเต๋อจึงรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้านข้างเตียงนั้น ขณะที่ใบหน้าของเขาขาวซีดมาก แม้จะอยู่ในห้องที่มืดมนก็ตาม
ในดวงตาสีดำสนิทของเขา บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าตอนนี้ภายในหัวใจของเขามีความรู้สึกท้อแท้และสิ้นหวังเป็นอย่างมาก
ทันใดนั้นหลี่เว่ยหยางจึงรู้สึกเป็นทุกข์ใจโดยมิทราบสาเหตุ
เมื่อเห็นหลี่เว่ยหยางมาถึง สาวใช้จึงเปิดผ้าม่านสีเขียว ที่ปกปิดเตียงเอาไว้ทันที
ฮูหยินสามนอนอยู่บนเตียงนั้น และหลี่เว่ยหยางสามารถมองเห็นได้ชัดเจนภายในเวลาชั่วพริบตาว่า นางผ่ายผอมลงจนเสียรูปร่างไป
ใบหน้าของนางซีดขาวราวกับแผ่นกระดาษ ร่างกายของนางซูบผอมและบอบบางเหมือนใบไม้ ราวกับว่าเมื่อถูกลมกระโชกแรงอาจพัดพานางให้ตกลงมาจากเตียงได้
ฮูหยินสามมีอาการป่วยหนักโดยที่มิมีผู้ใดคาดคิดมาก่อน!
หัวใจของหลี่เว่ยหยางรู้สึกเป็นทุกข์ และเป็นกังวลอยู่ตลอดเวลา
สุขภาพของนางแข็งแรงดี แล้วนางติดโรคระบาดได้อย่างไรกัน?!
หลี่เว่ยหยางมิสามารถเก็บความสงสัยในใจเอาไว้ได้ จึงรีบก้าวไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว และเอ่ยว่า:
“ท่านอาสะใภ้สาม”
นับตั้งแต่ฮูหยินสามมีอาการป่วย นางมิเคยเห็นผู้อื่นมาเยี่ยมเยียนนอกจาก
หลี่หมินเต๋อและท่านผู้อาวุโสหลี่
เมื่อฮูหยินใหญ่และคนอื่น ๆ มาเยี่ยม พวกเขาทั้งหมดจะถูกปิดกั้นที่บริเวณประตูทางเข้า
สาวใช้คนสนิทของฮูหยินสามกล่าวอย่างแผ่วเบาขณะที่ดวงตาของผู้ป่วยปิดสนิทว่า
“ฮูหยินสาม คุณหนูสามมาหาท่าน”
ฮูหยินสามพยายามเปิดเปลือกตาอย่างยากเย็น และเมื่อนางได้เห็นหลี่เว่ยหยาง จึงแสดงรอยยิ้มเล็กน้อย
จากนั้นนางได้พยักหน้าให้ผู้ที่อยู่ด้านข้างนาง เพื่อให้ช่วยพยุงร่างของนางให้นั่งบนเตียง:
“เว่ยหยาง ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่?” ฮูหยินสามเอ่ยถาม
แน่นอนว่าหลี่เว่ยหยางรู้ดีว่า นางกำลังเอ่ยถามเกี่ยวกับเรื่องใด หลานสาวผู้นี้จึงยิ้มกว้างและกล่าวว่า:
“แม้ว่าอาการบาดเจ็บที่หน้าผากของพี่ใหญ่จะมิร้ายแรง แต่นางก็ยังคงมิได้สติ
ท่านหมอกล่าวว่า นางได้รับบาดเจ็บที่เส้นประสาท จึงต้องใช้เวลารักษานานถึงหนึ่งร้อยวัน
ในตอนนั้นศีรษะของพี่ใหญ่ถูกกระแทกอย่างแรง ดังนั้นจึงมิทราบว่าจะมีผลข้างเคียงหรือไม่..”
เมื่อได้ยินดังนั้นฮูหยินสามจึงยิ้มอย่างอ่อนโยนและกล่าวว่า:
“ด้วยวิธีนี้ พวกเขาจึงหยุดรบรากับพวกเราชั่วคราว”
ฮูหยินสามสามารถรู้ได้อย่างชัดเจนว่า ในตอนนี้ฮูหยินใหญ่ กำลังสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
ดูเหมือนว่า ผู้เป็นบิดาจะมิได้ไปเยี่ยมหลี่จางเล่อเพื่อดูอาการเลยแม้แต่ครั้งเดียว
และเขาทำตัวเหินห่างกับ
หลี่หมินเฟิง ผู้ซึ่งเป็นบุตรชายคนโตอย่างชัดเจน
เป็นที่ทราบกันดีว่า เมื่อมองสะท้อนกลับไป จะเห็นได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างนายท่านกับซื่อหยินเหนียงนั้นยังคงราบรื่นดีอยู่
แม้ตอนนี้ท่านอำมาตย์หลี่อาจจะสงสัยว่าการใช้คาถานั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่
แต่น่าเสียดาย ที่หลี่จางเล่อมิได้รับการลงโทษจากเหตุการณ์นี้
ดูผิวเผินแล้ว เหมือนว่าหลี่จางเล่อจะอยู่ในบ้านตระกูลหลี่ แต่การอยู่ของนาง อาจจะมิได้รับความใส่ใจเหมือนเช่นเคย
ความสำคัญของนางในใจของบิดานั้นลดลงอย่างมาก และต่อไปนี้วันเวลาของนางจะมิสามารถผ่านไปได้อย่างงดงาม
“ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
ฮูหยินสามจ้องมองไปที่นาง ก่อนที่จะกล่าวว่า
“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของเจ้า ข้าสบายดี”
“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของข้า?”
ฮูหยินสามยิ้มเล็กน้อย ขณะที่รอยยิ้มของนางช่างขมขื่น
“ข้ามิสามารถปกป้องตนเองได้ ความช่วยเหลือของเจ้าในครั้งนี้ถ้าเจอมิอาจลืมบุญคุณ ข้าเพียงต้องการช่วยเจ้าล้างแค้นฮูหยินใหญ่….”
“ท่านอาสะใภ้สามช่วยขัามามากแล้ว ท่านควรเลิกกังวลใจ และพักผ่อนเพื่อฟื้นตัวให้หาย”
“ข้ารู้ว่าเจ้าฉลาดและมีความสามารถมาก
ตอนนี้เจ้าเป็นเซียนจูแล้ว ฮูหยินใหญ่มิสามารถสร้างความยุ่งยากในเรื่องการแต่งงานของเจ้าได้
และตอนนี้นางยังมิสามารถเข้าไปจัดการกับเรื่องของผู้อื่นได้อีก นั่นคือสิ่งที่โชคดีมาก”
ฮูหยินสามกล่าวราวกับต้องการที่จะสั่งสอนนางว่า
“ฟังคำแนะนำของข้า คิดหาวิธีที่จะพบชีวิตแต่งงานที่ดีในวันข้างหน้า
และจงอยู่ให้ไกลจากหมาป่าพวกนั้น….
ชีวิตของผู้หญิงเช่นเรา สิ่งนี้คือสุดยอดปรารถนา เจ้าคิดว่าข้ากล่าวถูกต้องหรือไม่?”
หลี่เว่ยหยางจ้องมองไปที่ฮูหยินสาม และมิสามารถหักล้างความหมายเบื้องหลังคำกล่าวของนางได้ จึงกล่าวว่า:
“คำสั่งสอนของท่านอาสะใภ้สาม เว่ยหยางจะจำใส่ใจ”
มิแน่ใจว่าด้วยเหตุใด แต่นางรู้สึกราวกับว่า คำกล่าวเหล่านั้นเป็นเหมือนกับคำสั่งเสียครั้งสุดท้ายของนาง
แต่ … จะเป็นไปได้อย่างไร?
เหตุการณ์ที่กะทันหันเช่นนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไร!
ฮูหยินสามเอนกายพิงหัวเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง และความคิดแรกที่ผู้ใดก็ตามที่ได้มาเห็นนางในตอนนี้ คงจะต้องนึกถึงดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาและโรยรา