ตอนที่ 54 การพบเจอและเผชิญหน้า
「ว๊าว……!」
พวกเรามาถึงเมืองหลวงฮอรัสขณะที่รถม้ากำลังวิ่งผ่านประตูเมือง
ซูซูเมะก็เปล่งเสียงชื่นชมออกมาขณะชำเลืองมองไปยังนอกหน้าต่างรถม้า
เข้าใจว่าเธอยังคงกดดันไม่ต่างจากเดิมนัก แต่เพราะทิวทัศน์ของเมืองหลวงที่แปลกตาจึงทำให้เธอระงับความตื่นเต้นไม่ไหว
สำหรับเด็กสาวที่อาศัยอยู่ในป่าตามลำพังมานาน เมืองหลวงที่ดูเจริญรุ่งเรืองแบบนี้ย่อมอยู่ไกลตัวเธอราวกับดินแดนในฝัน
หากจะให้นับสิ่งที่น่าตื่นตาในฮอรัลก็คงมากเกินจะนับไหว
จะให้พูดแค่ถนนของพวกเขาอย่างเดียวก็เห็นได้ชัดว่าต่างจากเมืองอื่นโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะถนนสำหรับคนเดิน ถนนสำหรับรถม้าและยานพาหนะเรียกได้ว่าอาณาจักรคานาเรียแห่งนี้นี่จะเป็นที่เดียวที่ถนนถูกสร้างมาเป็นระเบียบ เพราะขนาดจักรวรรดิแอด แอสเทอร่ายังไม่มีของแบบนี้เลย
นอกจากนั้นถนนสำหรับยานพาหนะยังสร้างไว้ถึง 2 เลน และมีการบังคับใช้ให้รถม้าชิดไปทางเลนซ้ายของทางที่ตนไปทำให้ไม่มีความแออัดบนท้องถนน แม้จะมีรถม้ากว่าหลายร้อยคันเคลื่อนตัวบนถนน
แถมทางเดินเท้าก็ยังกว้างพอจะทำให้ไหล่ของคนที่เดินสวนกันไม่ชนกันเลย อีกทั้งยังมีการปลูกต้นไม้เอาไว้ริมทางซึ่งมาพร้อมกับหญ้าหอมที่เรียงรายตามข้างทางเท้า ทำให้วิวและกลิ่นที่ได้รับจากท้องถนนน่าหลงใหล
มีถนน10สายที่ตัดไปทางทิศตะวันออกสู่ตะวันตก และ10สายที่ตัดทิศเหนือสู่ทิศใต้ ถ้าให้อธิบายง่ายๆ เส้นตัดของเมืองฮอรัสจะมีแผนผังเมืองเหมือนกับตาราง
นอกจากนี้เมืองหลวงของอาณาจักรคานาเรียยังไม่เคยมีการขยายเมืองจากจำนวนของประชากรที่เพิ่มขึ้น ก็หมายความว่าพวกเขามีการวางแผนเมืองที่ซับซ้อนซึ่งถูกคำนวณมาเป็นอย่างดีแล้ว
กษัตริย์องค์แรกที่สร้างเมืองหลวงนี้ขึ้นมาต้องเป็นคนที่เฉียบแหลมและมีความสามารถมากแน่นอน
พูดตามตรงว่าจากที่ผมเห็นเมืองหลวงนี้ ผมกล้าพูดเลยนะว่าอาณาจักรคานาเรียนี่เข้าท่ากว่าจักรวรรดิแอด แอสเทอร่าเยอะ
ไม่นานนักผมก็ได้ยินเสียงเครื่องดนตรีกำลังบรรเลงมาจากข้างนอกรถม้า
พอผมหันไปดู ผมก็เห็นชายแก่คนหนึ่งที่สวมเสื้อผ้าขาดวิ่นกำลังเล่นเครื่องดนตรีบางอย่างที่คล้ายกับพิณอยู่บนทางเท้า
นักกวีหรือเปล่านะ….ไม่สิ ชุดที่ใส่มันแย่กว่าที่จะเป็นนักกวีได้…
ระหว่างที่ผมกำลังจ้องมองเขา เขาก็เริ่มร้องเพลงออกมาด้วยเสียงที่แหลมสูง
「โซระ คนคนนั้นกำลังทำอะไรอยู่เหรอ? ? 」
「อืมมม ตอนแรกก็คิดว่าเป็นนักกวี แต่ลักษณะของเขาถ้าอยากให้คนชมมากกว่านี้ก็ไม่น่าแต่งตัวแบบนั้น…ดังนั้นฉันว่าน่าจะเป็นบิวะ โฮชิ」
「บิวะ…? 」
「อ๋อ นั่นเป็นคำที่ใช้เรียกกันของประเทศฉันน่ะ เอ่อ..จะว่าไงดีละพวกเขาเหมือนกับนักบวชที่เดินทางไปมาพร้อมกับเครื่องดนตรีเพื่อเผยแพร่คำสอนของศาสนาตนน่ะ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์อีกที บางทีเขาอาจจะเป็นแค่ผู้ลี้ภัยก็ได้มั้ง…」
นักบวชที่เดินทางท่องโลกไปพร้อมกับเครื่องดนตรีเพื่อขับขานคำสอนของพระผู้เป็นเจ้าผ่านเสียงเพลง
ส่วนมากพวกเขาก็มักจะเป็นสาวกของเทพแห่งความงาม (เทพแห่งศิลป์) ไม่ก็เทพแห่งโชคลาภ (เทพแห่งการค้าและการเดินทาง) แต่การใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายโดยเดินทางไปตามสถานที่ต่าง ๆ และการเผยแผ่คำสอนของเทพเจ้า ก็มีกันให้เห็นทุกนิกายอยู่แล้ว จึงอาจจะเป็นนักบวชที่เป็นสาวกของเทพเจ้าแห่งกฎหมายหรือเทพเจ้าแห่งความเมตตาก็เป็นไปได้
และเนื่องจากพวกนักบวชเป็นผู้มีความรู้และสามารถใช้เวทมนตร์ได้ นอกจากพวกเขาจะทำการเทศนาเผยแพร่คำสอนของเทพเจ้าตนแล้ว บางครั้งพวกเขาก็เล่าเรื่องการเดินทางของตนเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ฟังได้ไม่ต่างจากนักกวี ด้วยเหตุนี้บิวะ โฮชิจึงเป็นที่ต้อนรับของเหล่าชาวเมืองทุกหนแห่ง
แต่ก็ย้ำอีกครั้งว่าสถานการณ์ดังกล่าวอาจจะแตกต่างออกไปบ้างหากเป็นภายในเมืองหลวงที่ผู้คนหลากหลายรวมตัวกัน แต่อย่างน้อยก็ไม่มีที่ไหนจะทำร้ายนักบวชและข่มเหงนักบวชแน่นอน ไม่งั้นก็คงจะต้องรับผลกรรมจากทางวิหารของพวกเขาที่ตามมาเอาเรื่องภายหลัง
….ด้วยเหตุนี้เอง พวกผู้ลี้ภัยบางคนก็เลยปลอมตัวเป็นนักบวชให้เห็นบางในเมืองแบบนี้ ผมก็เลยไม่แน่ใจว่าคนที่ผมเห็นเขาเป็นอย่างไหนกันแน่
ระหว่างที่ผมกำลังคิด รถม้าของพวกผมก็เดินทางไปข้างหน้าเรื่อยๆ จนนักบวชคนนั้นพ้นสายตาไป
แต่ไม่นานนักผมก็เห็นคนประเภทนี้ตามท้องถนนได้อีกมากพอสมควรเลย
ลักษณะก็คือใส่เสื้อผ้าที่ขาดวิ่น ดูมอมแมมไม่ต่างกัน บางทีอาจจะเป็นพวกที่เดินทางมาจากบ้านนอกเพื่อมาหางานก็ได้ ที่แต่งตัวเหมือนพวกบิวะ โฮชิก็น่าจะเพื่อเลี่ยงการจ่ายค่าผ่านทาง
แต่การทำแบบนี้มันก็ได้แค่สิทธิ์เข้ามาในเมืองหลวง พวกเขาไม่สามารถหาที่อาศัยหรืออาหารได้ฟรีหรอก…เอาเถอะเพราะเป็นเมืองหลวงอย่างฮอรัส พวกเขาก็เลยพอจะหาเงินได้จากการเล่นดนตรีหรือร้องเพลง
ช่างเป็นลักษณะที่ไม่เหมือนใครของเมืองหลวงที่มีผู้คนมากมายจริงๆ
◆◆◆
จากนั้น พวกผมก็ถูกนำทางไปยังอาหารหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ใจกลางของเมืองหลวง
ทำเลเยี่ยม วิวก็สวย นี่มันคฤหาสน์ของชนชั้นสูงชัดๆ ยิ่งไปกว่านั้นผมมั่นใจเลยว่าของระดับนี้น่าจะสูงกว่าเอิร์ลแน่ หากบอกว่าเป็นที่พักของพวกราชวงศ์บางคนผมจะไม่แปลกใจเลย
นอกจากนั้นยังมีคนมารอรับพวกผมอยู่ที่หน้าคฤหาสน์ ก็หมายความว่ามีคนส่งสารล่วงหน้ามาแจ้ง การมาถึงของพวกเราแล้ว
มีทั้งอัศวินและทหาร พ่อบ้านและเมด แม้จะมีหน้าที่แตกต่างกันออกไป แต่ทุกคนก็แสดงสีหน้าจริงจังที่พร้อมต้อนรับพวกเรา ราวกับตนกำลังรอการมาเยือนของกษัตริย์
และคนที่โดดเด่นที่สุดซึ่งรออยู่บริเวณหน้าประตูเช่นกัน เขาเป็นบุรุษผมสีเงิน ผมเดาว่าน่าจะเป็นเจ้านายของคนพวกนั้น
ลักษณะบุคลิกรูปร่างหน้าตาและพลังของเขาดูไม่ธรรมดาเลยทีเดียว จนทำให้เชื่อว่าสามารถสยบเสือร้ายที่อยู่ในป่าด้วยการมองเพียงครั้งเดียว
จากที่เห็นเขาน่าจะอายุราวๆ 50 ปีได้แล้วมั้ง แต่ความรู้สึกที่ว่าแก่แล้วทำอะไรเขาไม่ได้เลย
คนคนนี้….น่าจะแข็งแกร่งกว่าเอลการ์ดที่เป็นกิลด์มาสเตอร์ของเมืองอิชกะเสียอีก
เป็นใครกันแน่นะ
…เอาเถอะ ถ้าให้ผมคิดก็พอจะเดาออกแล้วบ้างว่าเขาเป็นใคร…
ทันทีที่ผมลงมาจากรถม้า ผมก็ได้รู้ทันทีว่าที่ผมเดาเอาไว้นั้นถูกต้องหรือไม่
「ข้าคือข้ารับใช้ของกษัตริย์คานาเรีย โทบาร์ด ปาสคาล เจม ดรากูนอท ยินดีต้อนรับเหล่าวีรบุรุษผู้กอบกู้เมืองอิชกะสู่เมืองหลวงฮอรัส ตระกูลดรากูนอทของข้าขอต้อนรับทุกท่านด้วยความจริงใจ」
ทันทีที่ดยุกปาสคาล ดรากูนอทพูดจบ คนที่อยู่ข้างหลังของดยุกก็เริ่มทักทายพวกเรา
เหล่าอัศวินและทหารซึ่งอยู่ทางขวาของดยุกพร้อมใจกันเอามือวางไว้แนบอกของพวกเขา
พ่อบ้านและเมดที่อยู่ทางซ้ายของดยุกก็พร้อมใจกันโค้งคำนับ
การกระทำของพวกเขาช่างประสานกันอย่างพร้อมเพรียงราวกับกองกำลังที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
พอเห็นแบบนี้ก็อดหวั่นใจไม่ได้เลยแฮะ
เดี๋ยวนะ….หรือว่านี่พวกผม…ต้องอาศัยอยู่ที่คฤหาสน์ของท่านดยุกระหว่างอยู่เมืองหลวงกัน?
ในคฤหาสน์ของผู้ทรงอำนาจแห่งอาณาจักรคานาเรียที่แม้แต่เด็กที่ร้องไห้ก็ยังเงียบ
ชักแอบคิดแล้วสิว่าขอเปลี่ยนไปพักโรงแรมเล็กๆ ในเมืองแทนได้ไหม จะผมคนเดียวก็ได้ แต่ถ้าพูดงั้นจริงอีกสามคนก็คงตามไปไม่ผิดแน่
แม้นั่นจะเป็นความปรารถนาจริงๆ ของผม แต่หากคิดตามสามัญสำนึกใครมันจะไปตอบดยุกที่อุตส่าห์ออกมาต้อนรับพวกเราว่า “เอ่อ ไม่ดีกว่าครับ” ได้กันเล่า
ระดับมันเกินกว่าคำว่าหยาบคายไปเยอะเลย
ช่วยไม่ได้ หวังว่าคนของตระกูลดรากูนอทจะไม่บ่นเรื่องมารยาทอะไรทำนองนั้นนะ
ถึงมันจะสายไปแล้ว แต่ผมก็ควรสอนซูซูเมะกับชีลเรื่องมารยาทพื้นฐานไว้บ้างแล้วสิ อย่างน้อยก็มารยาทพื้นฐานของจักรวรรดิติดตัวพวกเขาไว้ น่าจะดีกว่าไม่รู้อะไรเลย
ไม่สิถ้าเป็นงั้น
ลูนามาเรียที่ได้รับการศึกษามาเป็นอย่างดีจากสถาบันปราชญ์ น่าจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม แถมผมยังสามารถเรียนรู้แนวปฏิบัติของอาณาจักรจากเธอได้ด้วย
แต่ก็อย่างว่า ให้มาสอนตอนนี้ก็ไม่น่าทันแล้ว
ระหว่างที่ผมกำลังคิด ประตูก็เปิดออกและพวกเราจะเดินตามดยุกเข้าไปในคฤหาสน์ของเขา โดยผ่านสวนที่ยืดยาว
พอถึงปลายทางก็มีเหล่าคนในครอบครัวของเขากำลังรออยู่
หญิงสาวที่ผมเจอในคอกของคราส โซราสก็เป็นหนึ่งในคนที่ยืนรอตรงนั้น นั่นทำให้ผมเบิกตากว้างขึ้นมาทันทีเมื่อเห็น
ดูเหมือนเธอก็จะเห็นผมแล้วเหมือนกัน…หรือว่าเธอรู้อยู่แล้วว่าผมจะมากันนะ เพราะเธอยิ้มให้ผมโดยไม่ได้สนใจสายตารอบข้างเลยด้วย
ไม่นานนักผมก็ได้รู้ว่าเธอคือลูกสาวคนโตของดยุกดรากูนอท ซึ่งมีชื่อว่าแอสทริด ดรากูนอท
ส่วนอีกคนที่ดึงดูดสายตาผมนอกเหนือจากแอสทริดก็คือ
หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ แอสทริดโดยมีแอสทริดกำลังช่วยประคอง
เธอยิ้มให้กับพวกผมอย่างอบอุ่น แม้สีหน้าของเธอจะดูเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก
บางทีเธอน่าจะเป็นลูกสาวอีกคนของดยุกที่ป่วยอยู่ จากที่ฟีโอดอร์บอกก่อนหน้า รู้สึกจะชื่อคลอเดีย ดรากูนอท
ผมไม่สามารถละสายตาไปจากเธอได้เลย แน่นอนว่าไม่ใช่ในด้านดีด้วย
วิญญาณของคลอเดียนั้นมีความผิดปกติเป็นอย่างมาก ซึ่งแตกต่างจากวิญญาณที่สว่างไสวของแอสทริดอย่างเห็นได้ชัด
วิญญาณของเธอช่างดูเบาบางและน้อยนิด
มันดูเบาบางและเล็กจนผมกินไม่ลงเลย จะให้พูดผมว่าวิญญาณของเธอคงได้สลายหายไปหมดแน่ แค่ผมเลียมันสักครั้งหนึ่ง
หากเป็นสภาพนี้ผมว่าเธอคงอยู่ได้อีกไม่นานแน่…ไม่ได้บอกนะว่าจะตายในวันสองวันนี้เลย
…แต่ถ้าเป็นอีกสักเดือนหนึ่ง ผมคงจะไม่แปลกใจอะไร
อาการของคลอเดียมันหนักระดับนั้นเลยแหละ…หรืออย่างน้อยนั่นก็คือสิ่งที่ผมเห็นจากมุมของผม
———
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code