ภาค-1-จ้วงหยวนแห่งหนานฉู่-บทนำ ตอนที่ 9 ชิงตำแหน่งรัชทายาท (1)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

รัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่สิบเก้า ปีเกิงอู่[1] เดือนสาม จ้าวเซิ่งสวรรคต พระนามหลังสวรรคตคือฉู่หลิงอ๋อง จ้าวเจียรัชทายาทรับสืบทอดราชบัลลังก์ ทรงมีรับสั่งให้ใช้ปีเสี่ยนเต๋อต่อไป แต่งตั้งองค์หญิงฉางเล่อแห่งต้ายงเป็นพระมเหสี ต้ายงส่งราชทูตร่วมยินดี พระราชทานม้าพันธุ์ดีพันตัวและผ้าไหมทองคำนับไม่ถ้วน

ตำแหน่งพระมเหสีถูกกำหนดแล้ว ผู้คนทั้งบนล่าง ทั้งราชสำนักและประชาชนทั่วไปต่างคำนึงถึงตำแหน่งรัชทายาท แพทย์หลัวเหวินซู่ถวายคำแนะนำให้แต่งตั้งองค์ชายสามจ้าวหล่งเป็นรัชทายาท

แรกเริ่มเดิมที เจ้าแคว้นพระองค์ก่อนแต่งตั้งองค์หญิงฉางเล่อเป็นพระชายาเอกขององค์รัชทายาท ทว่าพระชายามิได้ให้กำเนิดโอรส จึงส่งนางในที่แต่งเข้ามาด้วยกันไปปรนนิบัติองค์รัชทายาท รัชทายาททรงโปรดปรานสตรีต้ายง รู้สึกยินดียิ่ง ภายหลังมีพระโอรสสามพระองค์และพระธิดาสี่พระองค์ หลังฉู่หลิงอ๋องสิ้น จึงแต่งตั้งบุตรีของอัครมหาเสนาบดีซั่งเหวยจวินเป็นชายารอง สิบสี่เดือนต่อมาให้กำเนิดโอรส เมื่อจ้าวเจียสืบราชบัลลังก์ จึงแต่งตั้งซั่งซื่อเป็นสนมชั้นกุ้ยเฟย(สนมเอก) ซั่งซื่อเกิดในตระกูลใหญ่ มากคุณธรรม ไร้ริษยา ดั่งคำโบราณกล่าวว่า ‘บุตรได้ดีเพราะมารดา’ ราชสำนักและปวงประชาต่างเรียกร้องให้แต่งตั้งตำแหน่งแก่บุตรชายของนาง

พระมเหสีได้ยิน จึงตรัสอย่างโกรธกริ้วว่า ‘แม้ข้าไร้บุตร แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าวันหน้าจะไม่มี หรือแม้สุดท้ายไม่มี นางข้าหลวงที่แต่งเข้ามาพร้อมข้าล้วนเป็นสตรีตระกูลใหญ่แห่งต้ายง วันนี้ให้กำเนิดองค์ชายสองพระองค์แล้ว หากเอ่ยถึงความสูงศักดิ์ย่อมมิแพ้ซั่งซื่อ หากต้องการแต่งตั้งรัชทายาท แต่งตั้งองค์ชายใหญ่ก็ย่อมได้’

…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน บันทึกธาราเคียงเมฆ

รัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่สิบเก้า เจ้าผู้ครองแคว้นสวรรคต หากคนธรรมดาตายก็ตายไปเถิด ทว่าเจ้าผู้ครองแคว้นคนหนึ่งตายย่อมเป็นเรื่องใหญ่ ก่อนเจ้าแคว้นสิ้นใจ สำนักฮั่นหลินของพวกเรานำรายการ ‘ของสะสมลับแห่งฉงเหวิน’ ของตำหนักฉงเหวินที่ใกล้สร้างเสร็จแล้วขึ้นถวาย เจ้าผู้ครองแคว้นยินดียิ่ง แม้มิได้เห็นตำหนักฉงเหวินสร้างเสร็จ ทว่าสมควรตายตาหลับได้กระมัง

รัชทายาทจ้าวเจียขึ้นสืบทอดราชบัลลังก์หน้าป้ายพระวิญญาณโดยไม่มีคำคัดค้านแม้แต่น้อย จากนั้นจึงเป็นเรื่องจำพวกเปลี่ยนศักราชใหม่และอภัยโทษทั่วแผ่นดินเหล่านั้น สำนักฮั่นหลินของพวกเรายุ่งจนหัวหมุน นอกจากนี้ ยังมีเรื่องสำคัญมากอีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่แม้ขุนนางตัวเล็กๆ อย่างพวกเราจะไม่มีที่ให้สอดปากมากนัก ทว่าก็ใส่ใจยิ่ง ซึ่งก็คือเรื่องการแต่งตั้งพระมเหสีและรัชทายาทนั่นเอง

ด้านการแต่งตั้งพระมเหสีไม่มีข้อคิดเห็นขัดแย้งอันใด แม้องค์หญิงฉางเล่อจะพักรักษาตัวอยู่ที่ราชนิเวศน์มานานปี ไม่นับว่ารับผิดชอบหน้าที่อย่างเต็มกำลัง แต่เพราะหนานฉู่ยอมจำนนต่อต้ายง อีกทั้งองค์หญิงฉางเล่อก็เป็นพระชายารัชทายาทที่เจ้าแคว้นพระองค์ก่อนทรงแต่งตั้งด้วยตัวเอง ดังนั้นองค์หญิงฉางเล่อจึงกุมอำนาจในวังกลาง[2] อย่างสะดวกราบรื่น

ทว่าเรื่องการแต่งตั้งรัชทายาทกลับยุ่งยากยิ่ง องค์หญิงฉางเล่อมิได้ให้กำเนิดบุตรชาย แม้นางเพิ่งอายุสิบเก้า แต่นอนป่วยตลอดปี ทุกคนจึงสงสัยว่านางจะยังตั้งครรภ์ให้กำเนิดบุตรได้อีกหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้น แคว้นที่ไร้รัชทายาทจะต้องไม่สงบเป็นแน่ เหล่าขุนนางจึงหวังให้แต่งตั้งรัชทายาทขึ้นมาก่อน

จ้าวเจียมีโอรสสี่พระองค์ธิดาเจ็ดพระองค์ เนื่องจากองค์หญิงฉางเล่อให้นางข้าหลวงที่แต่งมาพร้อมกันไปปรนนิบัติรัชทายาท บุตรธิดาส่วนใหญ่ของรัชทายาทจึงกำเนิดมาจากสตรีชาวต้ายง เรื่องนี้ทำให้เจ้าขุนมูลนายในวังไม่พอใจ โชคดีที่เจ้าแคว้นพระองค์ก่อนพระราชทานสมรสให้ซั่งจื่อ หลานผู้เป็นบุตรีของอัครมหาเสนาบดี ให้นางแต่งเข้ามาเป็นชายารองตั้งแต่เมื่อสองปีก่อนแล้ว แม้รัชทายาทจะโปรดปรานสตรีต้ายง แต่ท้องของซั่งเฟยเอาการเอางานยิ่ง คลอดองค์ชายสามให้แก่จ้าวเจียได้ในที่สุด

ในความเห็นของขุนนาง หากองค์หญิงฉางเล่อให้ให้กำเนิดองค์ชายย่อมสูงศักดิ์มากพอ ทว่าหากเป็นบุตรธิดาของสตรีต้ายงคนอื่นๆ ในสายตาของพวกเขากลับมองว่าสายเลือดไม่บริสุทธิ์ ดังนั้นทุกคนจึงเรียกร้องให้แต่งตั้งจ้าวหล่งเป็นรัชทายาท

แม้เจ้าแคว้นจะมากตัณหา บ้าสตรี แต่ยังนับเป็นผู้ฉลาดเฉลียวคนหนึ่ง ย่อมรู้ว่าเรื่องนี้เหล่าขุนนางเป็นฝ่ายถูก ดังนั้นแม้จะไม่โปรดปรานซั่งซื่อก็ยังแต่งตั้งนางเป็นชายารอง และเห็นด้วยกับการแต่งตั้งจ้าวหล่งเป็นรัชทายาท ทว่าองค์หญิงฉางเล่อกลับบันดาลโทสะเพราะเรื่องนี้ กระทั่งทะเลาะกับเจ้าแคว้นเป็นการใหญ่ ถึงขั้นเสด็จกลับราชนิเวศน์ด้วยตัวคนเดียว คราวนี้เจ้าแคว้นจึงตกที่นั่งลำบาก แม้เขาและองค์หญิงฉางเล่อจะอยู่ด้วยกันน้อยครั้ง ทว่าองค์หญิงเปี่ยมคุณธรรมยิ่ง ไม่เพียงส่งสตรีงามของต้ายงที่แต่งมาพร้อมกันมาปรนนิบัติตน และยังสนับสนุนการคัดเลือกสาวงามเข้าวังหลังอยู่บ่อยๆ ด้วย ดังนั้นเขาจึงให้เกียรติองค์หญิงอย่างยิ่งจนถึงขั้นหวาดกลัวเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้น เหตุผลที่ว่าซั่งซื่อเป็นสตรีสูงศักดิ์ของหนานฉู่เป็นเหตุผลที่เหล่าขุนนางและเจ้าแคว้นรู้กันแก่ใจ แต่มิอาจป่าวประกาศ ดังนั้นจ้าวเจียจึงหยุดเรื่องแต่งตั้งรัชทายาทชั่วคราว ทั้งยังบอกขุนนางเป็นนัยว่า หากโน้มน้าวพระมเหสีมิได้ เช่นนั้นจะไม่แต่งตั้งรัชทายาท

เรื่องนี้ทำเอาเหล่าอำมาตย์ลำบากใจแทบตาย ตั้งแต่องค์หญิงฉางเล่อแต่งมาหนานฉู่ก็มักปลีกวิเวกอยู่ที่ราชนิเวศน์ เหล่าขุนนางอำมาตย์ของหนานฉู่คิดให้สตรีในบ้านไปประจบประแจงก็มิอาจทำได้ นางข้าหลวงคนสนิทขององค์หญิงส่วนใหญ่ก็กลายเป็นสนมคนโปรดของเจ้าแคว้นไปแล้ว บุตรชายของพวกนางไม่มีคุณสมบัติเป็นรัชทายาท พวกนางสมควรขุ่นเคืองอยู่แล้ว ไหนเลยจะมีกะจิตกะใจไปโน้มน้าวองค์หญิงอีก ดังนั้นสายตาของทุกคนจึงค่อยๆ เบนมาที่คนผู้หนึ่งทีละเล็ก ทีละน้อย…เหลียงหวั่น

เหลียงหวั่นเป็นทั้งสหายสนิทขององค์หญิงฉางเล่อและบุตรบุญธรรมของเจ้าแคว้นพระองค์ก่อน แม้การหาคู่ที่หนานฉู่จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่นางคบหากับคนสำคัญทั้งบุ๋นบู๊ของหนานฉู่ไม่ตื้นเขิน ตามเหตุผลแล้วนางเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุด ทว่านางกลับปฏิเสธ ดังนั้นหลายวันมานี้หอหมิงเยว่อันสงบสุขจึงค่อยๆ กลายเป็นสถานที่ที่รถม้าแน่นขนัดอีกครั้ง

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ข้ามาเยือนหอหมิงเยว่อีกครั้ง เดิมทีข้าไม่คิดมา ทว่าจู่ๆ เหลียงหวั่นก็ส่งเทียบเชิญมาให้ข้า แม้ข้ามิได้คิดวางแผนอันใดกับนาง ทว่ายังยากจะหลีกเลี่ยงความคิดเพ้อฝัน ยิ่งไปกว่านั้นหากข้าปฏิเสธเทียบเชิญของนางอีกคงเป็นการเสียมารยาท

ข้าเดินทอดน่องเข้าสู่ประตูลานเรือน เดินอ้อมบึงที่มีน้ำกระเพื่อม ตอนนี้หน้าหอหมิงเยว่ปลูกดอกหลีไว้เต็มลาน ยามนี้เป็นเดือนสี่ เป็นฤดูเบ่งบานของดอกหลีพอดี ดอกหลีจึงบานสะพรั่งเต็มสวนราวปุยเมฆราวหิมะ ข้าสูดหายใจลึกดอมดมกลิ่นหอมจรุงใจคน เอ่ยถามหญิงรับใช้ผู้นำทางว่า “แม่นาง มิทราบว่าคุณหนูเหลียงเชิญข้ามา มีสิ่งใดจะสั่งการหรือ”

หญิงรับใช้นางนั้นกล่าวอย่างซุกซน “นั่นต้องถามคุณหนูแล้วเจ้าค่ะ ข้าเป็นเพียงสาวใช้จะทราบได้อย่างไร ใต้เท้าให้ความเคารพเช่นนี้ บ่าวหวาดกลัวจนมิกล้ารับจริงๆ”

ข้ากล่าวอย่างเคร่งขรึม “กล่าวกันว่า บ่าวรับใช้ของอัครมหาเสนาบดีนับเป็นขุนนางขั้นเจ็ด คุณหนูเหลียงเป็นธิดาบุญธรรมของเจ้าแคว้นองค์ก่อน ทั้งยังเป็นพระสหายของพระมเหสี เกรงว่าคงมีอำนาจเหนืออัครมหาเสนาบดีด้วยซ้ำ เช่นนั้นกล่าวไปกล่าวมา อย่างไรแม่นางก็ควรเป็นขุนนางขั้นหก ส่วนข้าเพิ่งจะขั้นเจ็ดย่อมต้องให้ความเคารพเป็นธรรมดา”

หญิงรับใช้ผู้นั้นชะงัก ก่อนส่งเสียงหัวเราะคิกคัก กระซิบว่า “บ่าวได้ยินคุณหนูกล่าวกับใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีว่า หากต้องการโน้มน้าวพระมเหสี เช่นนั้นก็ต้องให้ใต้เท้าออกหน้า”

คราวนี้ถึงทีข้าตะลึงงันบ้างแล้ว ข้าที่เป็นเปียนซิวตัวเล็กๆ แห่งสำนักฮั่นหลิน สามารถโน้มน้าวองค์หญิงต้ายงอันยิ่งใหญ่ผู้มีตำแหน่งเป็นพระมเหสีแห่งหนานฉู่ได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน

ข้าเดินเข้าสู่หอหมิงเยว่อย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง มองไปเพียงปราดเดียวก็เห็นอัครมหาเสนาบดีและหัวหน้าสำนักฮั่นหลินนั่งอยู่เบื้องหน้าโดยมีเหลียงหวั่นนั่งเป็นเพื่อนด้านข้าง ข้าคิดอยากหมุนตัววิ่งหนีไปเสียเดี๋ยวนั้น ทว่ารู้ดีแก่ใจว่ามิอาจทำได้ จึงได้แต่เดินเข้าไปกล่าวอย่างนอบน้อม “คารวะท่านอัครมหาเสนาบดี ท่านหัวหน้าสำนัก”

อัครมหาเสนาบดีซั่งเหวยจวินผงกศีรษะ “ดี ดี ได้ยินใต้เท้าเซี่ยกล่าวว่า ท่านเอาการเอางานยิ่ง อีกไม่นานจะได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว นับเป็นเสาหลักแห่งแคว้นจริงๆ คุณหนูเหลียง คนก็มาถึงแล้ว คราวที่แล้วคุณหนูกล่าวว่า มีเพียงเจียงฮั่นหลินที่สามารถจะโน้มน้าวพระมเหสีได้ ตกลงมีสาเหตุอันใดกันแน่”

ข้ามองไปทางเหลียงหวั่นโดยพลัน ที่ผ่านมาข้ากับนางไร้ซึ่งความแค้น ระยะนี้ก็ไร้ความขุ่นเคือง เหตุใดนางจึงต้องคิดร้ายต่อข้าเช่นนี้ด้วย

เหลียงหวั่นจิบชาหอมกรุ่นอย่างสงบนิ่งภายใต้สายตาจับจ้องของพวกเราสามคน จากนั้นจึงค่อยเอ่ยปาก “ขอกล่าวจากใจ เดิมข้าเป็นคนต้ายง ใต้เท้าทุกท่านเสนอให้องค์ชายจ้าวหล่งเป็นรัชทายาท ความหมายที่ฝังลึกอยู่ในเรื่องนี้แม้เป็นผู้ผ่านทางก็ยังประจักษ์ชัด พระมเหสีจะไม่กระจ่างแจ้งได้อย่างไร ตอนนี้ทรงกริ้วจนไปจากตำหนักแล้ว นับเป็นช่วงที่เดือดดาลที่สุด องค์หญิงมีบุญคุณอันใหญ่หลวงกับข้า อีกทั้งยังเห็นข้าเป็นดั่งพี่น้อง หากโน้มน้าวให้นางเชื่อฟังเจ้าแคว้นและใต้เท้าทุกท่าน มิใช่ทำให้องค์หญิงผิดหวังหรือไร ถึงตอนนั้น ต่อให้องค์หญิงมีทางถอยย่อมไม่ตอบตกลงแน่ จะอย่างไร เหลียงหวั่นก็ไม่อาจโน้มน้าวเป็นอันขาด แต่ข้าเคยได้รับพระเมตตาจากท่านเจ้าแคว้นองค์ก่อน รู้สึกซาบซึ้งเหลือประมาณ จะทนเห็นเขาตายตาไม่หลับอยู่ในปรโลกได้อย่างไร ดังนั้นจึงทำได้เพียงหาทางดึงสถานการณ์กลับมา ข้าใคร่ครวญซ้ำแล้วซ้ำเล่า คิดได้ว่าเมื่อครั้นองค์หญิงมาที่หนานฉู่ ทรงโปรดปรานบทกวียิ่ง ทุกวันล้วนถือม้วนตำราไม่ห่างมือ ทั้งยังเคยกล่าวกับข้าว่า ผู้เลื่องชื่อในอดีตกลับสู่ดินหมดแล้ว ไม่อาจพานพบ ตอนนี้หนานฉู่มีเพียงจ้วงหยวนเจียงเจ๋อผู้เดียวแล้ว อ่านบทกวีของเขาทำให้ประทับใจยิ่ง อีกทั้งยังอยู่ในหนานฉู่ด้วยกันจึงอยากพบสักครั้ง ทว่าเจ้านายผู้น้อยแตกต่าง บุรุษสตรีแตกต่าง แม้ใกล้แค่เอื้อมกลับไม่อาจพบ กลายเป็นความเสียใจชั่วชีวิต ข้าคิดว่าหากเจียงจ้วงหยวนไปพบพระมเหสี ทำให้พระมเหสีสมปรารถนา จากนั้นให้จ้วงหยวนเอ่ยโน้มน้าวอย่างแนบเนียนสักนิด พระมเหสีต้องหวั่นไหวเป็นแน่”

[1] เกิงอู่ ปีที่เจ็ดในหกสิบปีของแผนภูมิฟ้า

[2] วังกลาง สื่อถึงตำแหน่งพระมเหสี (ฮองเฮา)

ตอนต่อไป